BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

บาปของกษัตริย์ดาวิด

บทเรียน บทสอนจากกษัตริย์ดาวิด


การไตร่ตรองเกี่ยวกับการแต่งงานในพันธสัญญาเดิม

๑. การกระทำ

+  เอาภรรยาของคนอื่นมาเป็นภรรยาของตน  เท่ากับเป็นการทำผิดประเวณี
+  พยายามปกปิดการกระทำที่ผิดประเวณี และปัดความรับผิดชอบ  เท่ากับเป็นการไม่รับผิดชอบ
+  สั่งฆ่าสามีของภรรยาคนอื่น เพื่อต้องการภรรยาของเขา เท่ากับเป็นฆาตกร


๒. สาเหตุ

+  จิตใจ หัวใจ  ใจ ของกษัตริย์ดาวิดที่มีความปรารารถ
+  ตามองเห็นสิ่งที่ตนเองปรารถนา
+  เมื่อ หัวใจ  กับ การมองเห็น ประสานกัน จึงทำให้เกิดการผิดประเวณี
+  หากใจไม่เห็นด้วย ตาก็ได้แค่มองเห็น
+  หากใจเห็นด้วย แต่ถ้าตาไม่มองเห็น ก็ไม่เกิดการกระทำที่ผิด

แต่สำหรับ กษัตริย์ดาวิด มีความปรารารถนาภายในใจ บวกกับมีโอกาส..ทำให้เกิดบาป..

เป็นการทำตามใจของตนเอง
เป็นการทำตามความต้องการของตนเอง
เป็นการทำตามความพึงพอใจทางเนื้อหนังของตนเอง

หลงความงามของหญิงคนหนึ่ง
หลงความสวยของหญิงคนหนึ่ง

จนลืมพระบัญญัติของพระเจ้า
จนลืมความดีความชั่ว
จนลืมพระประสงค์ของพระเจ้า
จนลืมถึงศีลธรรมจริยธรรม


๓. ผลที่ตามมา

+  ดาวิดได้ให้กำเนิดบุตร    แต่บุตรนั้นก็ได้ตายไป
+  เห็นพี่น้องฆ่ากันเอง
+  เห็นพี่น้องทำผิดประเวณีด้วยกันเอง
+  อาณาจักรที่สร้างมาต้องถูกแบ่งแยกจากบุตรหลานของตน


ปัจจุบันนี้.. เป็นอย่างไร??

มนุษย์ทุกวันนี้มีลักษณะคล้ายกับการกระทำของกษัติรย์ดาวิดหรือ??

ชายมีภรรยาแล้ว  ต้องการที่จะมีอีกคนหนึ่ง.. เพื่อ อะไร???
หญิงสาวคนหนึ่ง ต้องการสามี แต่ เป็นสามีคนอื่น... เพื่ออะไร??

ชายเต็มใจ หญิงก็เต็มใจ
ชายพอใจ  หญิงก็พอใจ

ชายชอบพอใจ หญิงก็ชอบพอใจเช่นกัน
ชายให้ความสุข หญิงก็ได้รับความสุข..

ก็เหมาะสมกันดี หรือ ก็พอเพียงแล้ว???

การกระทำเช่นนี้..เป็นการกระทำที่ผิดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า
เป็นการกระทำที่ยกตัวเองขึ้นเป็นพระเจ้า.. เพราะเป็นการกระทำที่คิดว่าตัวเองทำถูกต้อง

พระบัญญัติของพระเจ้า ยังคงต้องรักษาไว้ไม่ให้สูญเสียไปเสมอในชีวิตของเรา
พระบัญญัติของพระเจ้า ยังคงต้องเอาใจใส่ และพึงปฏิบัติให้ดีเสมอในชีวิตของเรา



การดำเนินชีวิต...ให้มีชีวิต.. มันก็ยากเสมอไป นั่นแหละ

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การมีภรรยาหลายคน

การมีภรรยาหลายคนในพระคัมภีร์
การไตร่ตรองเกี่ยวกับการแต่งงานผ่านทางพระคัมภีร์พันธสัญาเดิม

บิดาของซามูเอลมีภรรยา ๒ คน คนแรก เป็นหญิงหมัน และคนที่สองได้ให้กำเนิดบุตรแก่เขา
แต่ว่า เขาไม่ได้ขับไล่ภรรยาคนแรกออกจากบ้าน เพราะว่า เขารักภรรยาคนแรก
กษัตริย์ดาวิด มีภรรยา ๗ คน
กษัตริย์ซาโลมอน มีภรรยา ๗๐๐ คน
ถือว่า การมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับกษัตริย์ หรือ ขุนนาง ..

ทำไมจึงต้องมีภรรยาหลายคน?
มีบุตรไว้สำหรับสืบสกุล
มีบุตรไว้เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ของตนเอง
มีบุตรไว้เพื่อจะได้แสดงถึงความต่อเนื่องของชีวิตของตนเอง
มีบุตรแสดงออกถึงการอวยพรของพระเจ้า
เพราะบุตรเป็นพระพร และพระหรรษทานของพระเจ้า
บุตร เป็นของขวัญอันล้ำค่าจากพระเจ้า

บุตรเป็นคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้หญิง
หญิงจะได้รับการเคารพอย่างมีคุณค่าและอย่างมีศักดิ์ศรี ก็ต่อเมื่อให้กำเนิดบุตร
การเป็นหมัน หรือ การไม่มีบุตร ก็เหมือนกับหญิงที่ไม่มีชีวิต.. เหมือนหญิงที่ตายแล้ว

การแต่งงาน..ในสมัยนั้น มิใช่เพราะเกิดจากความรัก
การแต่งงาน..ในสมัยนั้น เพราะต้องการบุตร  ต้องการผู้สืบสกุล ต้องการทายาท

เพราะว่า การมีบุตร มีผู้สืบสกุล หมายถึง ความต่อเนื่องของชีวิต
คนหนึ่งตาย..แต่มีชีวิตอยู่ต่อไปในตัวของบุตร
คนหนึ่งตาย..โดยปราศจากการมีบุตร..
ประวัติศาสตร์ชีวิตของเขาก็.. จบสิ้น.. ก็ สิ้นสุด

ครอบครัวต้องต่อเนื่องในกาลเวลา และบุตรนี่แหละคือการต่อเนื่อง
บุตรนี่แหละ.. แสดงถึง การมีชีวิต

คนตาย ไม่สามารถสรรเสริญพระเจ้าได้
คนตาย ไม่มีประวัติศาสตร์ของชีวิต
คนตาย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาเลย
มีแต่ความว่างเปล่า  มีแต่ความมืดมิด
และพระเจ้าไม่ได้ทำอะไร เพื่อคนตาย

เพราะว่า พระเจ้าเป็นพระเจ้าของผู้มีชีวิต
ไม่ใช่พระเจ้าของคนตาย

ปัจจุบันนี้
วัฒนธรรมไทย สังคมไทย เน้น การมีผัวเดียว เมียเดียว
และพระศาสนจักรก็เน้น การซื่อสัตย์ต่อสามี และภรรยาคนเดียวของตน

การมีภรรยาหลายคนของมนุษย์  เพื่ออะไร??
ตอบสนองความต้องการ ความพึงพอใจส่วนตัว
แสดงออกถึงอำนาจที่มีเหนือคนที่อ่อนแอกว่า
แสดงถึงความเก่ง ความชำนาญ

การมีบุตรหลายคน.. ในความคิดของมนุษย์ยุคใหม่ เป็นเหมือนกับยาขม
เป็นเหมือนกับทุกข์ยากลำบาก  เป็นเหมือนกับแอกที่ต้องแบกตลอดชีวิต
เป็นเหมือนกับบ่วงที่รัดคอ ที่ขว้างออกไม่พ้นตัว

มีลูกแค่คนเดียว  ก็พอแล้ว
มีลูกแค่สองคน  ก็มากพอแล้ว
ที่ซ้ำร้าย..อย่ามีลูกกันเลยนะ..
ที่หนักกว่านั้น คือ การทำแท้ง 

เพื่อกำจัดลูก..ออกไปให้พ้นทาง

แต่ก็ยังต้องการจะมีภรรยาหลายคนเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัว
เพื่อตอบสนองความพึงพอใจของตนเอง

นี่แหละคือความแตกต่างของคนในพระคัมภีร์ และคนยุคนี้..


วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การผิดประเวณี

การไตร่ตรองเกี่ยวกับการแต่งงานผ่านทางพระคัมภีร์พันธสัญาเดิม

การผิดประเวณี

ในพระคัมภีร์..ถือว่าเป็นการกระทำที่รุนแรงอย่างมาก
ถือได้ว่า เท่ากับเป็นการฆาตกรรมอย่างหนึ่ง
ถือได้ว่า  เป็นการกระทำของอาชญากรคนหนึ่ง
ในพระคัมภีร์..เป็นการกระทำที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
มิใช่เรื่องศีลธรรมจริยธรรมเท่านั้น
แต่กฎหมายและศีลธรรมเดินไปด้วยกัน

เพราะว่า การผิดประเวณี  เป็นความรู้สึกร่วมกันของคนในสังคม
เพราะว่า การผิดประเวณี เป็นการกระทำกระทบต่อคนทุกคนในสังคม
เพราะว่า การผิดประเวณี มิใช่ เรื่องของส่วนตัว

สำหรับการลงโทษผู้กระทำผิดนี้.. หนักที่สุดก็คือ การถูกขว้างด้วยก้อนหิน จน ตาย ...
เพราะถือว่า เป็นความผิดร้ายแรงต่อสังคม และต่อครอบครัว

การผิดประเวณีถือว่า เป็นการแย่งชิงสิทธิของสามีคนหนึ่ง
การผิดประเวณีถือว่า เป็นการทรยศต่อเพื่อนร่วมชาติเดียวกัน
การผิดประเวณีถือว่า เป็นการดูถูก เหยียดหยาม สามีคนหนึ่ง
เท่ากับเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของสามีคนนั้น..

หญิงสาว..ควรที่จะรักษาตัวเอง
หญิงสาว..ควรที่จะเก็บตัวเอง
หญิงสาว..ควรจะสงวนตัวเอง
ไว้สำหรับสามีของตนเองเท่านั้น  สำหรับสามีตนเองเท่านั้น
จะมีใครนอกจากสามีของตนเองไม่ได้

เพราะว่า การแต่งงาน เป็นการรับประกันถึงอนาคต นั่นคือ การมีบุตร หรือ การมีผู้สืบสกุล
เพราะว่า การแต่งงาน เป็นการมีอยู่เพื่อ ชายจะได้กลายเป็น บิดา
เพราะว่า ชายแต่งงาน กลายเป็นสามี เพื่อ เป็นบิดา
และหญิงก็เช่นเดียวกัน..

ปัจจุบันนี้ ..
เป็นเหมือนกับบาปของสังคม
ที่ใครใครก็รู้ แต่ไม่มีใครกล้า ไม่มีใครสักคนเป็นปากเป็นเสียงของความจริง

ปัจจุบันนี้.. การผิดประเวณี..
เป็นเรื่องส่วนตัว
ไม่มีใครต้องการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่มีใครต้องการเข้าไปก้าวก่าย

ปัจจุบันนี้ การผิดประเวณี..
เป็นเรื่องของสองคน
คนหนึ่ง ฉันเต็มใจ  และอีกคนหนึ่ง ฉันก็เต็มใจ 
และคนในสังคม ฉันก็เต็มใจด้วย
ไม่เห็นชอบ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร   รู้ว่าผิดศีลธรรม แต่ก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร
ไม่ได้ส่งเสริม หรือสนับสนุน แต่ก็ไม่ได้ขัดขวาง หรือ ตำหนิ

น่าสนใจที่ว่า ..
การผิดประเวณี กลายเป็น เอกลักษณ์ของมนุษย์ยุคนี้ไปแล้วหรือ?
การผิดประเวณรี กลายเป็น เรื่องธรรมดาของสังคมไปแล้วหรือ?
การผิดประเวณี กลายเป็น เรื่องไร้สาระสำหรับสังคมหรือ??

แล้วใครล่ะ?? จะเป็นเสียงของความดี และความถูกต้อง
แล้วใครล่ะ??จะเป็นเสียงของคุณธรรม และศีลธรรม
แล้วใครล่ะ??จะเป็นเสียงของมโนธรรม และพระเจ้า..

ชายและหญิง    หนุ่มและสาว
พึงรักษาตัวเองไว้ให้อยู่ในเส้นทางของพระเจ้า 
พึงระมัดระวัง
พึงรู้จักบังคับใจของตนเองไว้ตามพระสงค์ของพระเจ้า

เพราะว่า การกระทำสิ่งใด ย่อมเกิดผลในสิ่งนั้น

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

บ้านของเรา..

"ที่ไหน ไหน ก็ไม่เท่าบ้านเกิดของเรา"

"จะมีที่ใดในโลกนี้ สวยเท่ากับบ้านของเราเอง"

"จะมีที่ใดในที่นี่ สร้างความสุขเท่ากับบ้านของเรา"


บ้านไม้โทรม ๆ .. ก็บ้านเรา
บ้านมุงสังกะสีเก่า ๆ ... ก็บ้านเรา
บ้านไม้โยกซ้ายทั้งหลัวแล้ว.. ก็บ้านเรา
บ้านไม้กำลังจะพังแล้ว .. ก็บ้านเรา










นี่คือ ท่านแม่..กำลังห่อข้าวต้ม (ข้าวต้มโคม) สำหรับงานฉลองนักบุญทั้งหลาย







นี่คือ ดอกไม้สำหรับพ่อ พี่ ตา ยาย หลาน ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว
ในโอกาสระลึกถึงในวันนักบุญทั้งหลาย..และผู้ล่วงลับ









ความคิดถึงบ้าน..
คิดถึงความเป็นบ้าน..
คิดถึงผู้คนที่อาศัยในบ้าน..
คิดถึง..ทุกสิ่งที่เป็นบ้าน..
บ้าน..ที่มองเห็น
บ้าน..ที่มองไม่เห็น

"อีกสักหน่อยก็คงได้กลับบ้าน..อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง"

ณ  บ้านของเรา..








วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อาหารเกาหลี..อีหลี

อยู่ที่กรุงโรม..มีอาหารมากมายที่เราสามารถเลือกได้
แต่วันนี้..อยากกินอาหารเกาหลี..ทำอย่างไร??

ไม่ยาก..สำหรับคนมีเงิน(ยูโร) ไปที่ร้านค้าของจีน เห็นปั๊บก็หยิบมา แล้วจ่ายตังค์
แต่นี้ก็ได้กินอาหารเกาหลีแล้ว.. ไม่ต้องไปไกลถึงเกาหลีก็ได้..เน๊าะ..

นี่คือ รูปโฉมหน้าของอาหารเกาหลี



นี่คือ โฉมหลังของอาหารเกาหลี


นี่คือ ภายในอาหารเกาหลี



นี่ก็คือ เครื่องปรุงรส


นำเครื่องปรุงรสมาผสมกับไข่ไก่


หลังจากต้มเสร็จแล้ว..ก็ปะหน้าด้วยไข่สุกอีกฟอง (เพราะมีแค่นี้)
ก็จะได้อหารเกาหลีที่แสนจะอร่อย.. เส้นนุ่ม  หนา ใหญ่ด้วย


และนี่ไม่ใช่หนุ่มเกาหลี... แต่ก็กำลังจะกินอหารเกาหลี ที่ทำด้วยมืออีหลีเด้อ..


หน้าตาอาจจะไม่ใช่เกาหลี..แต่หลายคนก็ทักว่าเป็นคนเกาหลี
ทั้ง ๆ ที่บอกว่า ไม่ใช่ ไม่ใช่.. คนก็มาทักผิดอยู่เรื่อยเลย.. ไม่รู้จะว่าอย่างไร??
ความจริง..มีหนุ่มเกาหลีอยู่แล้วในกลุ่มสงฆ์คนไทยของเรานี่แหละ..เน๊าะ??


สุดท้ายแล้ว..
อาหารเกาหลีที่ว่า ก็คือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเรานี่เอง..
แต่ว่า ราคาแพงกว่า และซองก็ใหญ่กว่า กินก็อิ่มกว่า  ก็แค่นั้นเอง
บางคนชอบ บางคนไม่ชอบก็ว่ากันไป..
รู้ไหมราคาซองนี้เท่าไหร่.... ๑ ยูโร   หรือ ประมาณ ๔๐  บาท  นั่นเอง

แต่ที่สำคัญก็คือ "รอดตายไปอีกวันแล้วเรา"..

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

มิสซาเปิดปีการศึกษา 2010

เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๐๑๐ ที่หอนักบุญเปโตร..

มีมิสซาเปิดปีการศึกษาเพื่อขอพรจากพระเจ้าสำหรับปีการศึกษาใหม่
และภาวนาให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วด้วย
ปีนี้มีพระสงฆ์นักศึกษาใหม่ ๕ ท่าน
พระสงฆ์ที่เตรียมภาษาที่อิตาลี ๒ ท่าน
พระสงฆ์ที่เก่าแล้ว ๕ ท่าน
และมีครูคำสอนและชาวบ้านอีกหลายครอบครัว..

ทุกคนก็เป็นเหมือนกับครอบครัวใหม่.. ครอบครัวคนไทยในโรม..

ภาคที่ ๑  บรรยากาศทั่วๆ ไป

เตรียมสถานที่ ก็ทำคนเดียวนี่แหละ..เพราะว่างานมีแค่นี้..



ภายในวัดน้อย


ระหว่างพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ
















สัตบุรุษที่มาร่วมก็มีเท่านี้แหละครับ.. อาจจะมากกว่านี้ (ถ้ามานะครับ)
มีความสุขกันทั่วหน้า..


ดีใจ..ที่มาเซอร์ก็มาเยี่ยมด้วย (มาจากเมืองไทย)


ภาค ๒  บรรยากาศ..ของการรับประทานอาหารร่วมกัน

อาหารต่าง ๆ เป็นของสัตบุรุษที่เตรียมมารับประทานด้วย คนละเล็กคนละมาก..ก็ว่ากันไป
แต่ทุกอย่างอร่อย.. แซบ อีหลี.. มีหลายประเภทอาหาร..
ไทย อีสาน ลาว.. ก็มีด้วย.. อร่อยกันจริง ๆ














นี่แหละวันฉลองของคนไทยในโรม..
ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แต่ละคนนำมาให้  นำมาแบ่งปัน รับเอาไปกัน..
ครอบครัวต่างแดนก็มีความสุข..ในบรรยากาศเดียวกันนี่แหละ

สุขกายสุขใจสุขไปกับพระเจ้าของเรา..


วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

บนเส้นทางแห่งรัก ๑๕

ชีวิตคู่.. คู่ชีวิต

มันยากและลำบากมากมายที่จะเดินไปด้วยกัน
มันมีสุขและน้ำตาตลอดเวลาในขณะที่เดินไปด้วยกัน
มันมีความเข้าใจและความขัดแย้งกันเสมอเมื่อใช้ชีวิตร่วมกัน
มันมีรอยยิ้มและความเศร้าเสมอปะปนกันไปในชีวิตของกันและกัน
มันมีการแบ่งปันและการเห็นแก่ตัวที่แอบแฝงอยู่เสมอ

มันไม่ง่ายเลยที่สองชีวิตจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
มันไม่ง่ายเลยที่สองชีวิตจะต้องหลอมรวมเป็นใจเดียวกัน
มันไม่ง่ายเลยที่จะต้องสละตัวตนของตนเองเพื่ออีกฝ่ายหนึ่ง
มันไม่งายเลยที่จะต้องรัก..คนที่เรารักเพียงคนเดียว โดยสละคนอื่นๆ อีก
มันไม่ง่ายเลยที่จะต้องยอมทุกอย่าง เพื่อคนคนเดียว
มันไม่ง่ายเลยที่จะเสียความเป็นตัวของตัวเอง เพื่อคู่ชีวิตของตนเอง

มันเป็นความสุขใจที่ร่วมทุกข์ด้วยกัน
มันเป็นความสุขใจที่ใช้ชีวิตร่วมกัน
มันเป็นความสุขใจที่แบ่งปันชีวิตให้แก่กันและกัน
มันเป็นความสุขใจที่ร้องไห้ด้วยกัน
มันเป็นความสุขใจที่ได้เคียงข้างกันไปแม้ในวันที่แสนจะลำบาก

ชีวิตคู่..ต้องเรียนรู้จักกันไปจนวันตาย
ชีวิตคู่..ต้องยอมซึ่งกันและกันตลอดไป
ชีวิตคู่..ต้องเอาใจเขามาใส่ใจของเราเสมอ
ชีวิตคู่..ต้องอดทนจนวันตาย
ชีวิตคู่..ไม่มีวันทิ้งกันไป
ชีวิตคู่..จะต้องอยู่เป็น คู่กันตลอดไป

และความรัก..สามารถแบ่งเบาภาระต่าง ๆ ได้
และความรัก..สามารถทำให้ชีวิตมีคุณค่า
และความรัก..เปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุขได้
และความรัก..เปลี่ยนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้เสมอ
และเพราะความรัก.. จึงมีชีวิตคู่..
เป็นคู่ชีวิต.. ที่คู่กันตลอดไป..