BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สมโภชนักบุญทั้งหลาย 2011

ความสุข ใน พระเจ้า


พี่น้องที่เคารพรัก  วันนี้ พระศาสนจักรเชิญชวนให้เราทำการสมโภชบรรดานักบุญทั้งหลาย 
ซึ่งท่านเหล่านั้นอยู่บนสวรรค์กับพระเจ้า เป็นสภาพที่มีความสุขที่สุด 
และการอยู่กับพระเจ้านี้เองที่เป็นเป้าหมายสำหรับชีวิตของมนุษย์ทุกคนที่จะต้องมุ่งไปสู่สภาพเช่นนั้น


นักบุญ เป็นใคร?   
นักบุญ คือ ทุกคนที่อยู่บนโลกนี้ที่ยอมหลั่งเลือดเพื่อพระเจ้า  
ซึ่งในศต.แรก ๆ มีการเบียดเบียนคริสตชน ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า 
ผู้คนที่ยอมสละชีวิตแต่ไม่ยอมทิ้งความเชื่อ เรียกว่า มรณสักขี


นักบุญ คือ คนที่แยกตัวออกจากโลกและทำตัวเองให้ศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าพระเจ้า 
นั่นคือ คนที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยการปฏิญาณตัวเองและด้วยคำสัญญาต่อพระเจ้า 
และเป็นผู้ที่เชื่อในพระคริสตเจ้า  เช่น บรรดานักพรต


สังคายนาวาติกันที่ 2  นักบุญ คือ ผู้ที่ได้อยู่บนสวรรค์ เราเรียกว่า ชาวสวรรค์ เป็นผู้ที่ที่ได้อยู่กับพระเจ้า 
เป็นผู้ที่ได้เห็นพระเจ้าแบบที่พระองค์ทรงเป็น ถึงแม้ว่าเขาเหล่านั้นยังไม่ได้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย 
ก็ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์แล้ว และเห็นพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ทั้งสามพระบุคคลในพระเจ้าเดียว


ในพระศาสนจักรคาทอลิกของเรามีนักบุญว่า 800 องค์ และในจำนวนที่มากกว่าครึ่งหนึ่ง
ได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญในสมณสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่2


ทำไมพระองค์จึงให้ความสำคัญกับการแต่งตั้งนักบุญ 
เพราะว่า พระองค์ต้องการให้คาทอลิกหรือโลก มีความมั่นใจว่า
 ความศักดิ์สิทธิ์มิใช่สิ่งที่หายากหรือเป็นคุณสมบัติของกลุ่มบุคคลที่ได้รับสิทธิพิเศษจริง ๆ 
 พระองค์ปรารถนาจะแต่งตั้งแม้บุคคลที่เพิ่งสิ้นชีวิตไม่นานก็ตาม เพื่อให้มีความสำนึกมากขึ้นว่า 
 ความศักดิ์สิทธิ์นั้นสามารถอยู่ในท่ามกลางพวกเรา


พี่น้องที่เคารพรัก บรรดานักบุญมีทั้งที่พระศาสนจักรแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ
   เพราะว่าชีวิตของท่านนั้นเป็นแบบอย่างที่ชัดเจนในความรัก ในความเชื่อที่มีต่อพระเจ้า 
        ที่บรรดาคริสตชนควรที่จะเลียนแบบ และยังมีบรรดานักบุญอีกเยอะแยะ
        ที่พระศาสนจักรไม่ได้แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ


บรรดานักบุญไม่ใช่ทุกคนที่เกิดมาแล้วเป็นนักบุญทันที ทุกคนมีความอ่อนแอ มีความบกพร่อง  
มีบาปเหมือนกันกับเรา แต่ท่านก็สามารถเป็นนักบุญได้ 
เพราะการดำเนินชีวิตที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า และดำเนินชีวิตอยู่ในหนทางของพระคริสตเจ้า
อีกทั้ง การปรับปรุงแก้ไขตัวเอง อยู่เสมอ



วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เสกสุสานวัดพระคริสตราชา นาจาร

วันที่ 30 ตุลาคม 2011
ได้รับเกียรติจากเจ้าอาวาสวัดนาจาร คือ คุณพ่อชัยวิชิต บรรเทา ให้มาช่วยในการสมโภช
นักบุญทั้งหลายและระลึกถึงผู้ล่วงลับ สิ่งที่ได้ทำคือ ให้มาช่วยฟังแก้บาป และร่วมในมิสซา
ที่สำคัญอีกอย่างคือ ให้นำโต๊ะเก้าอี้มาให้ด้วย (แลกกับของถวาย)..
ก็ตอบรับด้วยความยินดี พร้อมที่จะให้ความร่วมมืออยู่แล้ว..

สิ่งที่ได้เห็นคือ บรรยากาศของการฉลองหรือการเสกป่าของชาวบ้านอีกแบบหนึ่ง
ได้เห็นบรรยากาศของความเป็นครอบครัว
การช่วยกันทำงาน ทั้งเด็ก เยาวชน และพ่อบ้านแม่บ้าน
โดยเฉพาะที่หลุมของบรรดาญาติพี่น้องที่ล่วงลับ

เป็นบรรยากาศในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่แตกต่างจากบ้านอื่น ๆ
ลูกหลานมาจากที่ต่างจังหวัด มาแก้บาป มารับศีลฯ มารับพร
มาเป็นครอบครัวเดียวกัน ทั้งผู้เป็นและผู้ล่วงลับ



บรรยากาศโดยทั่ว ๆ ไปของป่าศักดิ์สิทธิ์วัดนาจาร
มีต้องจำปาเต็มไปหมดเลย..



ลักษณะหลุมศพก็มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน ทั้งสมัยใหม่ สมัยนิยม และดั่งเดิม





นอกจากนี้ ยังมีแนวความคิดว่า จะต้องนำสิ่งที่ผู้ล่วงชอบมาวางไว้บนหลุมศพอีกด้วย




ภายในศาลากลางป่าศักดิ์สิทธิ์..พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ




ที่ฟังแก้บาป..



บรรยากาศหลังมิสซา
ชาวบ้านจะพากันรับประทานอาหารร่วมกันทั้งคนเป็นและผู้ล่วงลับ























นี่คือธรรมประเพณีอันดีงามที่ชาวบ้านแห่งนี้ได้กระทำร่วมกันและตกทอดมาสู่ลูก ๆ หลาน ๆ 
เพื่อสืบสานความดีงามนี้ไว้ จนกว่า ดินจะกลบหน้าของตนเอง..

รักษาไว้ซึ่งบรรยากาศของความเป็นครอบครัว
และการเป็นครอบครัวเดียวกัน


วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บทเทศน์ผู้ล่วงลับ

แบ่งปันความคิด..


พี่น้องที่เคารพรัก ในค่ำคืนนี้เราพากันมาที่สุสานของหมู่บ้านของเรา
ซึ่งเป็นที่ที่ฝังร่างกายของบรรดาผุ้มีความเชื่อ คือ บรรพบุรุษของเราไว้ที่นี่
ฝั่งร่างกายของผู้มี่เรารู้จักไว้ที่นี่ และจะฝังร่างกายของเราไว้ ณ ที่นี้ด้วยในอนาคต
เราพากันมาในค่ำคืนนี้เพื่อสวดภาวนาอุทิศให้กับผู้ล่วงลับทุกคน
ซึ่งได้เดินทางจากพวกเราไปก่อน ไปยังบ้านแท้ ไปยังบ้านของพระบิดาเจ้า
ล่วงหน้าเราไปก่อน อีกทั้งยังเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูรู้คุณ
เป็นการบ่งบอกว่า เรายังคิดถึง มีความสัมพันธ์กับญาติพี่น้องของเราที่ล่วงลับไปแล้ว
เพราะว่า โดยอาศัยคำภาวนา โดยอาศัยมิสซาอุทิศให้ผู้ล่วงลับนี้
เป็นการวอนขอพระเมตตาจากพระเจ้าเพื่อผู้ล่วงลับทุกคนจะได้มีความพร้อมที่จะอยู่กับพระองค์
ในพระสมณสาส์น พระศาสนจักรในโลกปัจจุบัน ซึ่งเป็นสมณสาส์นหลังสังคายนาวาติกันที่ 2  
ได้อธิบายความเชื่อเกี่ยวกับปัญหาความตายโดยรวมความคิด 3 ประการคือ
1.  มนุษย์มีชะตากรรม ที่จะบรรลุถึงความสุขหลังจากความตาย มนุษย์จึงจะมีชีวิตอยู่อย่างต่อเนื่อง
                         พระเจ้าไม่ต้องการให้มนุษย์ต้องตาย  และพระองค์ได้พิชิตความตาย
2.  โดยการสิ้นพระชนม์และกลับคืนชีพ และ จะทำให้มนุษย์กลับคืนชีพด้วย
                          เพื่อมนุษย์จะได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
3.  มนุษย์สามารถชิดสนิทกับพี่น้องผู้ล่วงลับไปได้ โดยอาศัยความสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้า

นี่คือคำสอนของพระศาสนจักรที่ถ่ายทอดมาถึงเรา เพื่อให้เรามั่นใจว่า
1.   มีความสุขที่แท้จริง และจริงแท้แน่นอนอยู่เบื้องหลังของความตาย
           ในความหมายของพระศาสนจักรได้บอกว่ามนุษย์ไม่ได้ตาย
            แต่จะมีชีวิตต่อเนื่องต่อไปในอีกลักษณะหนึ่ง เป็นลักษณะที่แตกต่างจากโลกนี้
                     เป็นลักษณะที่สมบูรณ์มากกว่า เป็นลักษณะที่แท้จริงของชีวิต คนที่ตายไปในเวลานี้
เขาตายอันเนื่องมาจากร่างกาย แต่แก่นคือ วิญญาณของเขานั้นไม่ได้ตาย เพราะเป็นชีวิตที่เป็นนิรันดร
2.   การไถ่กู้หรือการช่วยให้รอดพ้นจากความตาย โดยการตายและการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า
            เป็นเครื่องหมายและเครื่องบ่งบอกว่า มนุษย์เป็นผู้มีชีวิต เพราะว่า แม้ว่ามนุษย์จะต้องตาย
            แต่พระเจ้าก็ยังกระทำให้มนุษย์ชีวิตอีก 
            ผ่านทางความตาย
           พระเจ้าจะทำให้มนุษย์กลับมีชีวิตอีกครั้ง ซึ่งจะไม่เหมือนกับชีวิตในปัจจุบันนี้
          แต่จะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์และดีกว่า เพราะว่า พระเจ้าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของผู้เป็น
                          เป็นพระเจ้าของผู้มีชีวิต ไม่ใช่พระเจ้าของผู้ตาย
3.   อาศัยความสัมพันธ์ ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า ผ่านทางการร่วมมิสซา
             การสวดภาวนา เราผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ เรามีสามารถชิดสนิทสัมพันธ์กับพี่น้องที่ล่วงลับได้
            เช่น การขอมิสซาให้กับผู้ล่วงลับ การสวดภาวนาถึงพวกเขา การทำความดี 
             ทำบุญทำทานอุทิศความดี หรือการอดทน การพลีกรรมใช้โทษบาปในชีวิตปัจจุบันนี้ถวายทดแทน
              ชดเชยบาปของพี่น้องของเราที่ล่วงลับไปแล้วได้..

ดังนั้น พี่น้องที่เคารพรัก คนที่ตายกับคนที่มีชีวิตอยู่จึงเป็นหนึ่งเดียวกันอาศัยพระเยซูคริสตเจ้า
ซึ่งเป็นศูนย์กลางและเป็นแก่นของชีวิตทั้งของเราและของผู้ล่วงลับ
และผ่านทางพระองค์เราชิดสนิทสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

พี่น้องที่เคารพรัก เราพากันมาสวดภาวนาอุทิศให้กับผู้ล่วงลับในวันนี้
เป็นการมาเพื่อยืนยันถึงความเชื่อในพระเจ้า เชื่อในความรักของพระเจ้า
เชื่อในชีวิตหลังความตาย เชื่อในการกลับคืนชีพของผู้ตาย เป็นความเชื่อของคริสตชนของเรา
อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นเตือนจิตเตือนใจของเราด้วยว่า สักวันหนึ่งเราก็จะต้องตาย
ไม่มีใครอยู่ยืนยง อยู่ค้ำฟ้า ไม่มีใครสักคนเดียวที่จะไม่ตาย เมื่อคิดถึงความตายที่จะมาถึงตัวเราเอง
ขณะที่เรามีชีวิตอยู่ เรามีเวลาที่จะกระทำความดี สะสมบุญกุศลเอาไว้
เพราะว่า มีเพียงความดีงาม ความเชื่อ ความรัก ความไว้วางใจในพระเจ้าเท่านั้นที่จะอยู่กับเรา
ที่จะติดตัวของเราไปตลอดชีวิต

สักวันหนึ่งเราต้องตาย หากเรามัวแต่หลง หมกมุ่นแต่สิ่งของของโลกนี้
เราก็จะเป็นเหมือนกับหญิงโง่ที่ไม่เตรียมน้ำมันสำรองไว้รอรับเจ้าบ่าว
ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็รู้ว่าต้องออกมารอรับเจ้าบ่าว เราความโง่เขลา เพราะความเฉยฉา
เพราะความไม่รู้ จึงไม่ได้เตรียมพร้อม เราเองก็เช่นกัน เราก็รู้ว่า สักวันเราต้องตาย
เราจึงจำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมไว้เสมอ มีน้ำมันแห่งความรัก ความดี
ความชอบธรรมไว้ติดตัวเสมอ เหมือนกับหญิงฉลาดที่พร้อมเสมอสำหรับการรอรับเจ้าบ่าว..

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บทเทศน์เกี่ยวกับบัญญัติเอก


ถ้าหากเราพูดถึงความรัก เราคิดถึงอะไรและอย่างไร?

ตามธรรมดาของมนุษย์ทั่ว ๆ มักจะคิดถึงความรักในระดับของมนุษย์ด้วยกัน
และในระดับของมนุษย์กับบรรดาสัตว์ สิ่งของ ธรรมชาติ นั่นคือ

ในระดับของมนุษย์ด้วยกัน เราก็คิดถึง การไม่เบียดเบียนกัน การไม่เอารัดเอาเปรียบกัน 
การช่วยเหลือจุนเจือ ให้ความยุติธรรม สร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในสังคมของกันและกัน 
ซึ่งเป็นในเรื่องของสังคมสงเคราะห์ หรือ งานเมตตาจิตบ้าง เป็นต้น

ในระดับของมนุษย์กับธรรมชาติ สัตว์ สิ่งของ มนุษย์ก็จะให้ความรัก ความเคารพ 
การดูแลเอาใจใส่ การครอบครอง การถนุถนอม เป็นต้น
ซึ่งถ้าทำเช่นนี้ได้ก็ถือว่า เป็นคนดี   แต่ยังไม่สมบูรณ์

สำหรับเราคริสตชน เมื่อพูดถึงความรัก เราคิดถึงแก่นของความเป็นคริสตชน เป็นแก่นแท้
เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตคริสตชน เพราะเมื่อเราพูดถึงความรัก 
เราคิดถึงพระเจ้า เพราะว่า พระเจ้าทรงเป็นความรัก

วันนี้พระเยซูเจ้าสอนเราว่า จงรักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ สุดวิญญาณ และสุดสติปัญญา 
และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตัวเอง..

พระเยซูเจ้าตรัสว่า จงรักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ สุดวิญญาณ และสุดสติปัญญา และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตัวเอง..

ให้เราพิจารณาดู อันดับแรกคือ ให้รักพระเจ้า หมายความว่า 
เราจะต้องเอาพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง เอาพระเจ้าเป็นจุดตั้งในการที่จะรักสิ่งอื่นใด  
หมายความว่า เราจะต้องรักพระเจ้าให้ได้เสียก่อน นั่นคือ การสร้างจิตสำนึก
และการตระหนักรู้ตัวอยู่เสมอว่า พระเจ้าทรงรักเรา พระเจ้าทรงรักเรา 
และความรักของพระองค์ดึงดูดจิตใจของเราให้รักพระองค์ 
ความรักของพระเจ้าดึงเราให้เราเข้ามาอยู่ในห้วงแห่งความรักของพระองค์


ให้เรารักพระเจ้าเป็นอันดับแรก ไม่ได้หมายความว่า จุดเริ่มต้นมาจากเรา เรารักเพราะเราอยากจะรัก เรารักเพราะว่าเราปรารถนาที่จะรัก ไม่ใช่อย่างนั้น..

ที่สำคัญคือ พระเจ้าทรงรักเรา และเรียกเราให้เข้ามาสู่ความรักของพระองค์

พระเจ้าดึงดูดและเรียกเราให้เรามาสู่ความรักของพระองค์ ด้วยคำสอนและด้วยการกระทำ 
   พูดว่ารักมนุษย์และก็ทำให้มนุษย์ได้เห็นจะจะ เห็นเต็มหู เต็มตา 
นั่นคือ การมาบังเกิดเป็นมนุษย์ และการตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของมนุษย์  
สอนมนุษย์ให้รู้จักความรัก นั่นคือ รักแม้แต่ศัตรู รักแม้แต่คนที่เบียดเบียนเรา 
อีกทั้งยังบอกให้ราสวดภาวนาให้คนที่เบียดเบียนเราด้วย  
สอนมนุษย์ให้รู้จักให้อภัยไม่ใช่แค่ 3 หรือ 7 ครั้ง แต่ให้อภัยตลอดชีวิต ให้อภัยตลอดไป

แล้วเรายังต้องการอะไรอีก หรือ มีอะไรอีกที่พระองค์ยังไม่ได้กระทำเพื่อเรา 
มีอะไรอีกที่พระองค์ควรจะทำแล้วยังไม่ได้ทำเพื่อเรา

บัญญัติที่สองคือ รักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตัวเอง 
ลำดับความสำคัญเมื่อเรารักพระเจ้าสำนึกถึงความรักของพระเจ้าในชีวิตของเราแล้ว 
ยังไม่พอ ต้องรัก คนอื่น เหมือนรักตัวเองด้วย
รักคนอื่น ในลักษณะที่มองคนอื่นในสายตาของพระเจ้า รักคนอื่นตามจิตตารมณ์ของพระเจ้า คือ ไม่แบ่งแยก

รักคนอื่น หมายความว่า รักทุกคน ไม่แบ่งแยก ลักษณะภายนอก ภายใน
ไม่แบ่งแยกจากการกระทำ เพราะทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า ทุกคนเป็นประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า

รักคนอื่น หมายถึง รักในความเป็นบุคคลของเขา ในความเป็นแก่นของตัวของเรา 
คือ ความเป็นคนที่มาจากพระเจ้า

สุดท้าย รักตัวเอง..เคารพต่อตัวเอง เคารพต่อศักดิ์ศรีของตัวเอง

จงรักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ สุดวิญญาณ และสุดสติปัญญา และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตัวเอง..

เป็นความรักที่ไม่มีตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่ตัวเองเป็นจุดเริ่มต้น
 แต่เป็นเพราะ ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา ดึงดูดเรา
 และเรียกเราให้เข้ามาสู่ความรักของพระองค์ ความรักของพระเจ้าดึงดูดเราให้เรารักคนอื่น
 ความรักของพระเจ้าเรียกเราให้รักคนอื่นเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักเรา และรักมนุษย์ทุกคน..

เราจะปฏิบัติตนอย่างไร?

ภายในครอบครัว 
      สวดภาวนาภายในครอบครัว เช่น ภาวนาก่อนอาหาร หรือ หลังอาหาร ภาวนาก่อนนอน
      พากันไปวัดไปวา มิสซาวันอาทิตย์และวันสมโภชต่าง ๆ         
      พูดจาดีดี ช่วยเหลือกัน 
      พ่อแม่ลูกดูแลกันและกัน ที่สุดให้อภัย

ครอบครัวต่อครอบครัว..     
    ทักทาย สนใจ ห่วงใย ช่วยเหลือกันและกัน แบ่งปัน 
    ยามทุกข์เดือดร้อนไม่ทอดทิ้งกัน แต่พยายามให้กำลังใจกัน    
    ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน เล็กน้อย ๆ ก็เป็นความสุขแท้..  

นี่แหละคือการแพร่ธรรมที่ดีที่สุด..

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บทเทศน์: อาทิตย์ 30 ธรรมดาปี A

พระบัญญัติแห่งความรัก

                                                                                                                  อพย 22:20-26
                                                                                                                 1ธส 1:5ค-10
                                                                                                                 มธ 22:34-40


         พี่น้องที่เคารพรัก พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ได้บอกกับเราว่า 
บทบัญญัติที่สำคัญที่สุดก็คือ ความรัก รักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญา 
และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง 
นี่คือบทสรุปขอธรรมบัญญัติทั้งหมด ไม่มีบัญญัติใดยิ่งใหญ่กว่า 2 ข้อนี้อีกแล้ว


ในหนังสืออพยพ ได้กล่าวถึงภาคปฏิบัติของความรัก ว่า เราจะต้องรักคนอื่นอย่างไร? นั่นคือ
1.       เจ้าอย่าบีบังคับหรือข่มเหงคนต่างด้าว
2.       อย่าข่มเหงหญิงม่ายหรือลูกกำพร้า
3.       จงให้คนจนยืมเงินโดยไม่คิดดอกเบี้ย

นี่คือ การแสดงออกถึงความรักต่อคนอื่น แม้แต่คนต่างด้าว คนที่เราไม่รู้จัก  
นี่คือการแสดงออกถึงความเมตตาต่อคนที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ แก่คนที่เดือดร้อน 
นี่คือการแสดงออกถึงความใจกว้างต่อกัน ต่อคนยากจน ต่อคนที่มีความทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิต
นี่คือกฎบัญญัติที่เป็นคำสั่งให้ชาวยิวแสดงออกถึงความรักต่อคนอื่น
เพราะตามปกติ ชาวยิวจะรักเฉพาะครอบครัว ญาติพี่น้อง ชุมชน หรือ ผู้ที่นับถือศาสนาเดียวกันเท่านั้น แต่บัญญัตินี้ได้สั่งไว้ว่า จะต้องรักคนที่อยู่ในดินแดน หรือประเทศเดียวกันด้วย  
และถือว่า เป็นความรักที่กว้างสุด ๆ แล้ว

ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าบอกว่า ให้รักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ สุดสติปัญญา 
นี่คือความรักที่เป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง  ความรักเช่นนี้เป็นความรักที่จำเป็นต้องมีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน เพราะความรักของพระเจ้าเป็นรูปแบบของความรักของมนุษย์ 
เพราะความรักของพระเจ้าเป็นความรักไม่มีเงื่อนไข ไม่ขอบเขต ไม่มีขีดจำกัด

มนุษย์จะรักคนอื่นได้ มนุษย์จะรักกันและกันได้ หรือมนุษย์รักคนที่เบียดเบียน ข่มเหง 
และแม้แต่ศัตรูของตนเองได้ ก็ย่อมมีพื้นฐานอยู่บนความรักต่อพระเจ้าเท่านั้น

และความรักที่ต้องตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ การรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง  
เราแยกความรักออกเป็น 2 อย่างคือ รักตนเอง และรักคนอื่น 

เราจำเป็นจะต้องรักตนเองก่อนที่จะรักคนอื่น เพราะความรักต่อตัวเองเป็นการแสดงให้เห็นว่า
ตัวเองมีคุณค่า ตัวเองก็ต้องการความรัก เมื่อเรามองว่าตัวเรามีคุณค่า มองว่าตัวเราก็มีดี 
      เราก็จะสามารถให้คุณค่า ให้สิ่งดี ๆ แก่คนอื่นได้  หากคนหนึ่งดูถูกตัวเอง 
      คิดเสมอว่าตัวเองไม่มีคุณค่า เขาก็จะให้แต่สิ่งที่ไม่ดีแก่คนอื่น 
เพราะคนเรา มีอะไร ก็ให้อย่างนั้น เรามีดี เราจึงให้ดี  
หากเราไม่มี เราก็ไม่สามารถให้ได้ และเรามนุษย์เป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้า 
ทั้งตัวเราเอง และเพื่อนพี่น้องด้วย

ดูพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงความรักมากเพียงใด พระองค์จึงยอมให้ชีวิตของตนเองเพื่อมนุษย์ 
ที่อ่อนแอ ที่หลอกลวง ที่ทำบาป ที่ทำให้พระองค์ต้องเสียพระทัยเสมอ ๆ  
พระองค์ตายเพื่อพวกเราก็เพราะความรัก เพราะพระองค์ทรงเข้าใจถึงคุณค่าของความรัก 
ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงมนุษย์ได้




วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บทเทศน์: อาทิตย์ 27 ธรรมดาปี A

                                                                                                                                   
                                                                                                                      อสย 5:1-7
                                                                                                                      ฟป 4:6-9
                                                                                                                      มธ 21:33-43

แบ่งปันความคิด (Omelia)

คนเช่าสวนที่โหดร้าย





                ในบทอ่านที่หนึ่ง จากหนังสือประกาศกอิสยาห์ ประกาศกได้พูดถึง ชายคนหนึ่งมีสวนองุ่นแปลงหนึ่ง
และพยายามที่จะทุกอย่างในสวนแห่งนั้นเพื่อให้ต้นองุ่นออกผล 
              นั่นคือ เตรียมดินอย่างดี คือ เขาขุดดิน พรวนดิน เก็บก้อนหินออกจนหมด  และปลูกต้นองุ่นชนิดดีไว้
              เขาสร้างการป้องกันต้นองุ่นของเขาอย่างดี คือ สร้างหอเฝ้าไม่ให้ใครเข้ามาเยียบย่ำ 
              สร้างรั้วรอบสวนองุ่นเพื่อป้องกันคน หรือสัตว์ไม่ให้เข้ามาทำอะไรในสวนแห่งนี้.. 
                                      แทนที่ต้อนองุ่นจะออกผลดี แต่กลับกลายเป็นว่า ต้นองุ่นนั้นออกผล เปรี้ยว..
เปรียบเหมือนกับชาวอิสราเอล ที่รับพระคุณพระพรต่าง ๆ มากมายจากพระเจ้า 
                 พวกเขาเป็นประชากรเลือกสรรของพระเจ้า พวกเขาเป็นคนพิเศษสำหรับพระเจ้า
                เพราะผ่านทางพวกเขา มนุษยชาติจะได้รับพระพรของพระเจ้า
                พระองค์ทำทุกอย่างเพื่อพวกเขา ช่วยเหลือพวกเขา ปกป้องชนชาติของพวกเขาจากศัตรู 
                                ประทับอยู่กับพวกเขา อวยพรชนชาติของพวกเขา ยามยากลำบากพระองค์ไม่ทอดทิ้ง 
                                ส่งประกาศก ผู้วินิจฉัย เพื่อมาช่วยพวกเขา
เปรียบเหมือนกับมนุษย์ โดยเฉพาะบรรดาคริสตชนที่ได้รับพระพรจากพระเจ้า 
               โดยผ่านทางศีลล้างบาป เราได้กลายเป็นบุตรของพระเจ้า

               พระเจ้าทำทุกอย่างเพื่อเรา พระเจ้าทรงรักเรา ทรงส่งพระบุตรลงมาเพื่อเรา ตายเพื่อเรา นำทาง บอกสอนเตือน 
               ให้สิ่งดีดีแก่พวกเรา

แต่ผลที่ได้.. กลายเป็นองุ่นเปรี้ยว.. เจ้าของสวนทำทุกอย่าง ดูแล และเอาใจใส่ หวังว่าองุ่นจะหวาน แต่...
แต่ผลที่ได้..ชาวอิสราเอลไม่เชื่อฟังพระเจ้า ชาวอิสราเอลหักหลัง ทรยศต่อพระเจ้า ทรยศต่อความรักของพระเจ้า 
                  พวกเขาหันไปกราบไหว้พระอื่น  พวกเขาหันหลังให้กับพระองค์ 
                  พระเจ้าหวังว่า ชาวอิสราเอลจะเห็นถึงความรักองค์และจะซื่อสัตย์ต่อความรักนั้น แต่...
แต่ผลที่ได้.. มนุษย์ หรือ คริสตชนออกนอกลู่นอกทาง ไม่สนใจพระเจ้า 
                ไม่เชื่อฟังพระองค์ วัดวาไม่สนใจ การช่วยเหลือซึ่งกันและกันกลายเป็นความยากลำบาก
                 การเสียสละกลายเป็นกางเขนหนักที่ต้องแบก การแบ่งปันกลายเป็นปัญหาที่ต้องคิดให้รอบคอบ  
พระเยซูเจ้าหวังว่า มนุษย์จะเดินตามทางของพระองค์ จะปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ 
                เพื่อสามารถเข้าถึงพระองค์ได้ แต่...

               ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าทรงเล่าเรื่องอุปมาเพื่อบอกกับพวกหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสของประชาชน 
และพวกเราด้วย โดยใช้อุปมาเรื่องคนเช่าสวนที่ชั่วร้าย นั่นคือ
                    ชายคนหนึ่งสร้างสวนองุ่นและปลูกองุ่นอย่างดีไว้ พร้อมกับสร้างสิ่งที่จำเป็นสำหรับสวนองุ่นไว้อย่างดี
                     และให้คนเช่าสวนมาเช่า เพื่อดูแล และเพื่อจะได้ผลิตจากสวนแห่งนี้
                     พอถึงเวลาเก็บเกี่ยวเจ้าของสวนต้องการผลผลิต จึงส่งคนใช้มาเก็บผลผลิต.. 
                               แทนที่คนเช่าสวนจะเก็บหรือ จ่ายผลผลิตให้เจ้าของสวน พวกเขากลับต้องการเก็บมันเอาไว้เอง 
                              พร้อมกับทำร้ายคนใช้ที่มาเก็บค่าเช่า คนแล้วคนเล่า  แม้แต่ลูกชายของเจ้าของสวน 
                              คนเช่าสวนก็ได้จัดการ   ด้วยการฆ่าทิ้งเสียเลย...

เจ้าของสวนจะทำอย่างไรกับสวนองุ่นสวนนี้?
เจ้าของสวนจะทำอย่างไรกับคนเช่าสวนที่โหดร้ายเช่นนี้?

เราได้ยินว่า เจ้าของสวนจะรื้อรั้วหนามออก จะพังกำแพงที่ล้อมลง 
              สวนจะถูกเหยียบย่ำ จะรกร้าง จะไม่มีใครสนใจ เอาใจใส่ 
              และที่สุดสวนแห่งนี้ก็จะพังและกลายเป็นสวนที่ไร้ประโยชน์
เราได้ยินว่า เจ้าของสวนจะจัดการกับพวกใจอำมหิตนี้อย่างโหดเหี้ยมและจะยกสวนให้คนเช่าอื่น..

เมื่อเรามองดู เจ้าของสวน ถ้าเราเป็นเจ้าของสวน เราจะเจ็บปวดแค่ไหน? 
             เราคงจะหมดหวัง ท้อแท้ อุตสาห์ทำอย่างดีกับสวนองุ่น แต่ผลที่ได้ขาดทุนหรือแย่กว่านั้น 
             อุตสาห์ฝากสวนไว้ให้คนอื่นดูแลให้ แต่กลับไม่ได้อะไรเลย มิหนำซ้ำต้องเจอกับคนเช่นที่เห็นแก่ตัว 
             และโหดร้ายทารุณอีก..
เราได้ข้อคิดอะไรจากเรื่องนี้..
·       เกี่ยวกับพระเจ้า
              พระเจ้าทรงวางใจในมนุษย์ ให้มนุษย์ดูแลตัวเอง ดำเนินชีวิตในโลกนี้ สร้างความดี สะสมความดีด้วยตัวเอง
              พระเจ้าทรงอดทน แม้มนุษย์จะทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องแต่พระเจ้าก็รอคอย การกลับใจ 
การสำนึกผิดและการเข้ามาหาพระองค์
              พระเจ้าทรงพิพากษา สุดท้ายพระเจ้าทรงยุติธรรมเสมอ พระองค์จะจัดการกับความไม่ดี 
จะจัดการกับความชั่วร้าย และจะจัดการกับคนที่ทำความชั่ว

·       เกี่ยวกับมนุษย์
               มนุษย์ได้รับอภิสิทธิ์ พระเจ้าเตรียมทุกอย่างไว้อย่างดีสำหรับเรา เพื่อให้เราดำเนินชีวิตเป็นคนดี 
ดำเนินชีวิตตามบทบาทหน้าที่ของตนในฐานะที่เป็นบุตรของพระองค์
              มนุษย์มีเสรีภาพ พระเจ้าให้มนุษย์มีอิสระทำทุกได้ตามใจตนเอง
 ตามบทบาทและขอบเขตของการเป็นมนุษย์ ของการเป็นบุตรของพระเจ้า นั่นคือ รักและช่วยเหลือกันและกัน
              มนุษย์ต้องรับผิดชอบ ในการกระทำของตนเอง ในการละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า 
ในการออกนอกเส้นทางของพระองค์ ในการถือตามใจตัวเอง ใช้อิสรภาพที่มีในทางที่ไม่ถูกต้อง..