BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เข้าเงียบประจำปี ๒๐๑๑ ที่ท่าแร่

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2011

เวลา 09.00 น.  เทศน์โดย คุณพ่อวัชรินทร์  ต้นปรึกษา





ความสุขแห่งชีวิตของการเป็นสงฆ์

น.ออกัสติน  "จิตใจข้าพเจ้าจะไม่ได้พักผ่อน จนกว่าจะพบกับพระเจ้า"
คำพังเพยอินเดีย "ปลากระหายน้ำ"

ความสุขคือ อะไร?
ความสุขคือการล้นเหลือ
ความสุขคือ สิ่งที่เราแสวงหา
ความสุขเป็นสิ่งภายนอก
นี่คือ สิ่งที่เป็นแนวความคิดตามประสาโลก

ข้อแนะนำ
จงเปลี่ยนทัศนะที่เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง กลายเป็นการเอาพระคริสตเจ้าเป็นศูนย์กลาง
          จงอย่าเอาตัวเองเป็นมาตรการในการวัดความสุขของตนเอง
           อย่ามีเงื่อนไขในการดำเนินชีวิต
            จงดำเนินชีวิตแต่ละวันโดยการสำนึกถึงพระเจ้า


อย่าผูกมัดตัวเองกับสิ่งที่ไม่ดี หรือในแง่ลบ
        เราเชื่อว่าพระเจ้าประทานให้สิ่งดีดีเกิดขึ้นในชีวิตของเราเสมอ

ค่านิยมพระวรสาร 12 ประการ
1. รักกันและกัน
2. รักแม้กระทั่งศัตรู
3. บุญคุณต้องทดแทน แค้นไม่ต้องชำระ
4. ยกโทษให้คนอื่น และพยายามคืนดีกัน
5. หลีกเลี่ยงการติหนิกัน
6. หลีกเลี่ยงการยกย่องตนเอง ยกตนข่มคนอื่น
7. เป็นมิตกับคนที่ถูกทอดทิ้ง ตีนที่รอโอกาส
8. รับใช้คนอื่น สุภาพถ่อมตน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
9. ช่วยเหลือคนยากจน
10. อย่าโลภในทรัพย์สมบัติ
11. อย่าหน้าไหว้หลังหลอก
12. ภาวนาอยู่เสมอ มอบความวางใจในพระเจ้า

เรื่องเล่าน่าคิด

หลังจากที่พระเจ้าได้สร้างโลก สร้างมนุษย์เรียบร้อยแล้ว
พระองค์ก็สร้างสิ่งหนึ่ง ลูกกลม ๆ สีแดง เรียกว่า ความสุข
พระองค์พยายามซ่อนความสุขนี้ไว้ให้ห่างไกลจากมนุษย์
   สิ่งแรกพระองค์ซ่อนไว้บนภูเขา  มนุษย์ก็ หาเจอ
     ครั้งที่สอง พระองค์ซ่อนไว้ในทะเล  มนุษย์ก็ หาเจอ
       ครั้งที่สาม พระองค์ซ่อนความสุขไว้ใจหัวใจของมนุษย์
       ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ก็หาความสุขไม่เจออีกเลย...

ความสุข..อยู่ที่ใจ
ความสุข..อยู่ในตัวเรา
ความสุข..เป็นของเรา
ความสุข..ที่แท้จริง เป็นความสุขกับพระเจ้า และมาจากพระเจ้า...


ทุกวัน..หลังเทศน์
มีการตั้งศีลมหาสนิททุกวัน เพื่อชิดสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า





บรรยากาศทั่ว ๆ ไปในสิ่งที่หลายคนมองไม่เห็น










พบกัน ปีหน้าเด้อ.....

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เข้าเงียบประจำปี ๒๐๑๑ ที่ท่าแร่

วันพฤหัสบดี ที่ 24 พฤศจิกายน 2011

เวลา 09.00  น. เทศน์โดย คุณพ่อวีระเดช   ใจเสรี
                        อุปสังฆราช




หัวข้อเรื่อง ชีวิตสงฆ์กับความเรียบง่าย

การเข้าเงียบเป็นการมาไตร่ตรองดูว่า ฉันเป็นใคร?  และ ฉันอยู่ที่ไหน?
เริ่มต้นด้วยพระวรสารนักบุญมาระโก พระเยซูเจ้าส่งสาวกไปเป็นคู่  ๆ โดยไม่ให้นำอะไรติดตัวไปด้วย
มีเพียงบางอย่างเท่านั้น แม้แต่อาหารก็ไม่ให้นำสำรองไปด้วย
เพราะภาระกิจหลักก็คือ การประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า

นี่คือ  ภาพชีวิตที่เรียบง่ายของการเป็นศิษย์ของพระองค์

ให้เรามามองดู พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงมีชีวิตที่เรียบง่าย
ตั้งแต่เกิด พระองค์เกิดในที่ยากจน
ในเรื่องการเทศน์สอน พระองค์ดำเนินชีวิตแบบง่าย ๆ ไปหาทุกคน ทั้งคนบาป คนต่ำต้อย คนจน
เพราะพระองค์รู้ว่า พระองค์เป็นใคร? และพระองค์เสด็จมาเพื่ออะไร?
พระองค์จึงปฏิเสธสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นเป้าหมาย
พระองค์จึงปฏิเสธสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนของพระองค์..

ความเรียบง่าย..เป็นรูปแบบชีวิตของสงฆ์  อย่างแท้จริง

อ่าน มก 6:6-13


พระองค์เสด็จไปทรงสั่งสอนตามหมู่บ้านต่าง ในบริเวณนั้น  
ทรงเรียกอัครสาวกสิบสองคนเข้ามาพบ และทรงเริ่มส่งเขาเป็นคู่  
ประทานอำนาจเหนือปีศาจ  ทรงกำชับเขามิให้นำสิ่งใดไปด้วย นอกจากไม้เท้าเท่านั้น 
ไม่ให้มีอาหาร ไม่ให้มีย่าม  ไม่ให้มีเศษเงินใส่ไถ้  
ให้สวมรองเท้าได้ แต่ไมให้เอาเสื้อสำรองไปด้วย  
พระองค์ตรัสกับเขาว่า ถ้าท่านเข้าไปในบ้านใด จงพักอยู่ที่นั่นจนกว่าจะออกเดินทางต่อไป  
ถ้าที่ใดไม่ต้อนรับท่าน หรือไม่ฟังท่าน จงออกจากที่นั่น 
พลางสลัดฝุ่นจากเท้าไว้เป็นพยานปรักปรำเขา  
บรรดาอัครสาวกจึงไปเทศน์สอนคนทั้งหลายให้กลับใจ 
ขับไล่ปีศาจจำนวนมาก เจิมน้ำมันผู้เจ็บป่วยหลายคน  และรักษาเขาให้หายจากโรคภัย



เราจะเห็นได้ว่า
1. พระเยซูเจ้าต้องการให้เราเป็นอิสระจากสิ่งต่าง ๆ ภายนอก
                 มุ่งสู่การประกาศ และเป็นหนึ่งเดียวกับชาวบ้าน

2. ความเรียบง่ายไม่ยึดติดกับสิ่งที่ทำให้เราเป็นทาส (ทรัพย์สิน)
                 แต่ให้วางชีวิตไว้กับพระเยซูเจ้าอย่างมั่นคง
                 ดูตัวอย่างหนุ่มเศรษฐีที่เข้ามาถาม เรื่องชีวิตนิรันดร คำเชื้อเชิญของพระเยซูเจ้า
                           ก็คือ ไปขายทุกสิ่งที่มี แจกจ่ายคนยากจน และตามเรามา..
                           เพราะว่า การเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า เริ่มต้นด้วยการเสียสละ โดยเฉพาะน้ำใจตน..

สภาพสังคมทุกวันนี้..
        เป็นสังคมที่ซับซ้อน
        ไม่เรียบง่ายเหมือนสมัยก่อน
        คิดดู..แม้แต่เวลาเงียบสักนาที ก็ยังไม่มี
        มีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมนั้นมีน้อยลง และมักจะคิดถึงแต่ตัวเอง

สภาพสังคมทุกวันนี้
       ท้าทายชีวิตของการเป็นสงฆ์
       และมีอิทธิพลต่อชีวิตของสงฆ์เป็นอย่างมาก

ความเรียบง่าย เป็นคำตอบสำหรับสังคมปัจจุบัน นั่นคือ
ความเรียบง่ายเป็นการทำหน้าที่ของตนในแต่ละวันให้ดีที่สุด
ความเรียบง่ายมีความพอใจและพอเพียง
ความเรียบง่ายเป็นการรู้จักปล่อยวาง
ความเรียบง่ายเป็นการรู้จักมีความสมดุลย์ในชีวิต
ความเรียบง่ายเป็นเหมือนกับคนที่คิดในแง่บวก

อ่าน อฟ 4:1-3


ข้าพเจ้าผู้ถูกจองจำเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า 
วอนขอท่านทั้งหลายให้ดำเนินชีวิตสมกับการที่ท่านได้รับเรียก  
จงถ่อมตนอยู่เสมอ จงมีความอ่อนโยน พากเพียรอดทนต่อกันด้วยความรัก  
พยายามรักษาเอกภาพแห่งพระจิตเจ้าด้วยสายสัมพันธ์แห่งสันติ  



*************************************************************


เวลา15.00 น.  เทศน์โดย คุณพ่อสุรพงศ์  นาแว่น
             


หัวข้อ ชีวิตสงฆ์กับโลกเทคโนโลยีสื่อสาร

1. เครื่องแบบของสงฆ์
               ตามกฎเกี่ยวกับการแต่งกายของพระสงฆ์ ม.284
                     พระสงฆ์ต้องสวมเสื้อหล่อ
                     พระสงฆ์ต้องสวมเสื้อเคอร์ยีแมน
                     ต้องมีกางเขนติดเสื้อเสมอ
การแต่งกายของพระสงฆ์ ถือเป็นเอกลักษณ์ ที่บ่งบอกชีวิตของการเป็นสงฆ์
การแต่งกายให้ถูกต้อง เป็นการแสดงออกถึงการเป็นประจักษ์พยานของการดำนเนินชีวิตสงฆ์
พระสงฆ์ต้องเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นและชี้ชัดให้เห็นถึงพระคริสตเจ้า

แซว..พ่อเสือใส่กางเกงยีนส์ (อนุโลมให้เพราะอยู่ตามดอย)
         พ่อเต้งใส่เสื้อสีลาย
         พ่อสำราญใส่เคอร์ยีตลอด  เป็นแบบอย่าง
        ส่วนพระคุณเจ้าไม่ต้องพูดถึง เพราะใส่เป็นประจำอยู่แล้ว

       
2.  การใช้คำพูด
    หากจะมองดูชีวิตของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงเป็นนักพูดที่สุดยอดที่สุด
    พระองค์พูดได้ในทุกสถานการณ์ของชีวิต ในทุกรูปแบบของผู้คน
    เป็นนักปรัชญาก็ว่าได้ เป็นนักเทววิทยา ก็ใช่ เป็นนักวิพากวิจารณ์ ก็ไม่ผิด
       พระองค์ปรับเปลี่ยนการพูดของพระองค์ให้เข้ากับทุกสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม

สงฆ์ต่างก็เป็นประกาศก และ การใช้คำพูดก็เป็นสิ่งที่สำคัญ
เขาบอกว่า "ปากเป็นเอก เลขเป็นโท"

แซว.. พ่อทวีชัย  พูดจาหวานหยดย้อย  คพ.เอ็มก็ไม่ธรรมดา  คพ.กรไกร กับประโยคที่ว่า "พระคุณเจ้า บิดาที่เคารพรัก"  เป็นต้น

คำพูด เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะการพูดเป็นการบ่งบอกถึงตัวตนของเรา..


3.  การกินการดื่ม
นี่ก็สำคัญสำหรับการดำเนินชีวิตสงฆ์ นั่นคือ การรู้จักพอเพียง
ผีทั้ง 7 ตน
      ชอบสุรา
      ชอบเทียวยามวิกาล
      ชอบดูละคร ดูหนัง
      คบคนชั่ว  มั่วกับโจร
      ชอบเล่นม้า การพนัน
      เกียจคร้าน
      ใจโลภหลงวัตถุ

หากหนี หลีกพ้นได้ เป็นบุญเอย..

4. การใช้โทรศัพท์มือถือ
ประโยชน์ก็มี
ข้อเสียก็เยอะ
  เช่น  สูญเสียความสัมพันธ์ในกลุ่ม
          ไม่สนใจคนรอบข้าง
          เสียเวลา
          มีโลกส่วนตัว..

เข้าเงียบประจำปี ๒๐๑๑ ที่ท่าแร่

วันพุธ ที่ 23 พฤศจิกายน 2011

เวลา 09.00 น.  เทศน์โดย คุณพ่อประยูร   พงษ์พิศ

              

สติปัญญารับไม่ถึง จึงไม่สามารถที่จะบันทึก หรือ ขีดเขียนอะไรได้มาก


เวลา 15.00 น. เทศน์โดย คุณพ่อธีระยุทธ   อนุโรจน์
หัวข้อ..การเจริญชีวิตท่ามกลางโลกที่ฟุ่มเฟือย



มีกูรุสมัยก่อนพูดไว้ว่า พระสงฆ์มีสามประเภท
พระสงฆ์จบโรม   เป็น  พระสงฆ์จำพวกท่าดีทีเหลว
พระสงฆ์จบปีนัง  เป็น  พระสงฆ์จำพวกหนักเอาเบาสู้
พระสฆ์จบแสงธรรม เป็น พระสงฆ์จำพวกทำงานดีแต่ขาดวินัย (โดยเฉพาะเรื่องสตรี)

กูรุสมัยปัจจุบัน แบ่งพระสงฆ์ออกเป็น สาม ประเภท
หนึ่ง  เป็นสงฆ์แค่ทำตามหน้าที่
สอง  เป็นสงฆ์ที่ทำดีและเป็นแบบอย่าง
สาม  เป็นสงฆ์ที่บ่แตกต่างจากชาวบ้าน..

จากนั้น คุณพ่อผู้เทศน์ได้ยกสถิติเกี่ยวกับประชากรของโลก สถิติเกี่ยวกับการนับถือศาสนา
สถิติเกี่ยวกับการเป็นไปในยุคปัจจุบัน

ที่สำคัญ  คนที่ไม่เชื่อในศาสนามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
               คนที่นับถือศาสนามีจำนวนลดน้อยลง

อันตรายที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้าย


จงรู้เถิดว่า ยุคสุดท้ายจะมีช่วงเวลาความยุ่งยากเกิดขึ้น  
มนุษย์จะทำตามใจตน เห็นแก่เงิน อวดดี ยโสและหยาบคาย
 ดื้อด้านต่อบิดามารดา เนรคุณ ไม่นับถือศาสนา  ไร้มนุษยธรรมไม่ยอมให้อภัย 
นินทาว่าร้าย เสเพล เข้ากับใครไม่ได้ เกลียดชังความดี  ทรยศ ไม่คำนึงถึงผู้อื่น หยิ่งผยอง 
รักสนุกมากกว่ารักพระเจ้า  นับถือศาสนาแต่เพียงเปลือกนอก  แต่ไม่ยอมให้ศาสนามีอิทธิพลต่อชีวิต 
จงอย่าคบกับพวกนี้เลย



                                                                                                              2ทธ 3:1-5


คุณพ่อยังชี้ให้เห็นถึงสภาพความเป็นจริงของสังคมทุกวันนี้

1. สังคมไร้พรมแดน
              เน้นความรวดเร็ว  ไม่มีการบ่มเพาะ ไม่มีการไตร่ตรอง ไม่มีการหยุดคิด
              ความสัมพันธ์ลดลง มีค่าเพียงแค่ข้อมูล
              รักกันด้วยข้อมูล

2. สังคมแสวงหาประโยชน์สูงสุด
              เน้นประโยชน์นิยม และเลือกเฉพาะที่เป็นประโยชน์เท่านั้น
              สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ เป็นสิ่งไร้ค่า

3. สังคมเหตุผล
              เน้นการพิสูจน์
              เป็นการท้าทายต่อความจริง

4. สังคมที่มีอิสระสูง
              ไม่ง้อใคร
               มองศาสนาเป็นเรื่องไม่จำเป็น
               มองศาสนาเป็นเพียงสถาบันหนึ่งที่ส่งเสริมด้านศีลธรรมเท่านั้น

เราจะดำเนินชีวิตอย่างไร?
              จำเป็นต้องมี เอกลักษณ์ (Identity) และไม่ลืมเอกลักษณ์ของตนเอง

อ่าน ยน 17:14-16


ข้าพเจ้ามอบพระวาจาของพระองค์ให้เขาเหล่านั้นแล้ว
        และโลกเกลียดชังเขา
เพราะเขาไม่เป็นของโลก
          เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าไม่เป็นของโลก
ข้าพเจ้าไม่ได้วอนขอพระองค์ให้ทรงยกเขาออกจากโลก
         แต่วอนขอให้ทรงรักษาเขาให้พ้นจากมารร้าย
เขาไม่เป็นของโลก
        เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าไม่เป็นของโลก



อ่าน ยน 4:21-24

พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า

นางเอ๋ย เชื่อเราเถิด
ถึงเวลาแล้วที่ท่านทั้งหลายจะนมัสการพระบิดาเจ้า
ไม่ใช่เฉพาะบนภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม
ท่านนมัสการพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จัก
แต่เรานมัสการพระเจ้าที่เรารู้จัก
เพราะความรอดพ้นมาจากชาวยิว
แต่จะถึงเวลาคือเวลานี้
เมื่อผู้นมัสการแท้จริงจะนมัสการพระบิดาเจ้าเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง
เพราะพระบิดาทรงแสวงหาผู้นมัสการพระองค์เช่นนี้
พระเจ้าทรงเป็นจิต
ผู้ที่นมัสการพระองค์
จะต้องนมัสการเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง






วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เข้าเงียบประจำปี ๒๐๑๑ ที่ท่าแร่

วันอังคาร ที่ 22 พฤศจิกายน 2011

เวลา 09.00 น. เทศน์โดย คุณพ่อนรินทร์  ศิริวิริยานันท์
                       พระสงฆ์ผู้ซึ่งเต็มไปด้วยปรีชาญาณ และความรอบรู้

                             

คุณพ่อได้เทศน์เตือนใจเราในเรื่องของการ "สวดภาวนา"
เรามาดูพระเยซูเจ้าเป็นแบบอย่าง
พระองค์ทรงสวดภาวนาเสมอ
พระองค์สวดภาวนาก่อนที่จะออกไปประกาศ
พระองค์ทรงเพ่งพิศภาวนา เพื่อสนิทสัมพันธ์กับพระบิดา แล้วจึงทำพันธกิจของพระองค์

พระสงฆ์ที่ไม่สวดภาวนา เป็นพระสงฆ์ที่ตายแล้ว
มีการสำรวจพระสงฆ์อิตาลี ว่าทำไมจึงต้องออกจากการเป็นสงฆ์
และก็พบว่า พระสงฆ์เหล่านั้น ละเลยการสวดภาวนา คือ ไม่สวด นั่นเอง

คุณพ่อได้ยกตัวอย่างของตัวท่านเองว่า 
ท่านได้ใช้เวลาในการเฝ้าศีล 1 ชั่วโมง ทุกวัน
ท่านได้สวดทำวัตร โดยเฉพาะทำวัตรภาคบทอ่านเสมอ 
เพราะการสวดทำวัตร ภาคบทอ่าน เราจะได้รำพึง ไตร่ตรองพระวาจาของพระเจ้า
และเรายังได้อ่านความคิดทางเทววิทยาของบรรดาปิตาจารย์อีกด้วย

พระสงฆ์ทุกวันนี้.. มักจะบอกว่า "ไม่มีเวลา"
ไม่มีเวลาสำหรับ "สวดภาวนา"
ไม่มีเวลาสำหรับ "พระเจ้า"
ไม่มีเวลาสำหรับ "ชีวิตภายใน"

แล้วคุณพ่อทำงานไปเพื่ออะไร? เพื่อใคร? ถ้าไม่ทำเพื่อพระเจ้า
การภาวนาจึงเป็นหัวใจของชีวิตสงฆ์
การติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้า เป็นชีวิตของสงฆ์
สงฆ์ผู้ซึ่งเป็นเหมือนชีวิตของพระคริสตเจ้า

คุณพ่อควรใช้เวลาในแต่ละวันสำหรับพระเจ้า 1 ชั่วโมง
เพื่อจะได้รู้จักพระเจ้ามากยิ่งขึ้น 
เพื่อจะได้อยู่กับพระเจ้า
เพื่อจะได้สัมผัสพระองค์
แล้วพระองค์พระองค์กับคุณพ่อเสมอ ตลอดไป

คุณพ่อเป็นทูตของพระเจ้ามิใช่หรือ?
คุณพ่อก็ต้องติดต่อกับพระเจ้า 
รับสารจากพระองค์ 
รับสารของพระองค์
เพื่อนำไปสู่คนอื่น ประชากรของพระเจ้า

พระเยซูเจ้าตรัสว่า "เราเป็นเถาอง่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้าน"

เราเป็นเพียงกิ่ง ที่ต้องยึดติดกับลำต้น 
เราเป็นได้แค่กิ่งที่ต้องได้รับการหล่อเลี้ยงจากลำต้น
กิ่งไม่สามารถอยู่ได้โดยลำพัง 
กิ่งต้องอาศัยลำต้น

ชีวิตสงฆ์เช่นกัน ต้องอาศัยพระเจ้า..





เวลา 15.00 น.  เทศน์โดย คุณพ่อสุพล  ยงบรรทม
                        สงฆ์ผู้ซึ่งมีวาทศิลป์โดดเด่น เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน



คุณพ่อได้เทศน์เรื่อง "ความเป็นพี่น้อง"

อ่าน บทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรม 12:3-13


อย่าคิดว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น แต่จงคิดให้ถูกต้องว่าพระเจ้าประทานความเชื่อ 
ให้แต่ละบุคคลมากน้อยต่างกัน  
เพราะร่างกายของเรามีองค์ประกอบหลายส่วน 
และส่วนต่าง ๆ เหล่านี้ไม่มีหน้าที่เดียวกันฉันใด  
แม้เราจะมีจำนวนมาก เราก็รวมเป็นร่างกายเดียวในพระคริสตเจ้าฉันนั้น 
โดยแต่ละคนต่างเป็นส่วนร่างกายของกันและกัน  
เรามีพระพรพิเศษแตกต่างกันตามพระหรรษทานที่พระองค์ประทานให้ 
ผู้ได้รับพระพรที่จะประกาศพระวาจา ก็จงใช้พระพรนั้นมากน้อยตามส่วนความเชื่อของตน  
ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะรับใช้ ก็จงรับใช้ ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะสอน ก็จงสอน   
ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะตักเตือน ก็จงตักเตือน ผู้ที่บริจาค ก็จงบริจาคด้วยความเอื้อเฟื้ออย่างจริงใจ 
ผู้ที่เป็นผู้นำ ก็จงทำหน้าที่ผู้นำด้วยความเอาใจใส่ 
ผู้ที่แสดงความเมตตากรุณา ก็จงแสดงความเมตตากรุณาด้วยใจยินดี  
จงรักด้วยใจจริง จงหลีกหนีความชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี  
จงรักกันฉันพี่น้อง จงคิดว่าผู้อื่นดีกว่าตน  
อย่าเฉื่อยชา จงมีจิตใจกระตือรือร้นในการรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า 
จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงมีความอดทนต่อความทุกข์ยาก 
จงพากเพียรในการภาวนา  จงเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือพี่น้องคริสตชนในยามขัดสน 
จงต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรี


จงเงียบ เพื่อ จะได้มองดูตัวเอง
จงปิดตาทั้งคู่
จงปิดหูสองข้าง
จงปิด "ปาก" ซะบ้าง
จะได้นอนสบาย..

หากต้องการเห็นโลกภายนอก จงมองออกไป
หากต้องการมองดูภายใน จงมองเข้ามาในใจตน

คนเราจะมีค่า ก็เมื่อ รู้จักกัน
การรู้จักกันจะมีค่า ก็เมื่อ รู้ใจกัน
การรู้ใจกันจะมีค่า ก็เมื่อ รักกัน
การรักกันจะมีค่า ก็เมื่อ ให้อภัยกัน..

บทเทศน์ได้อธิบายความหมายของจดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวโรม
สรุปสุดท้ายง่าย ๆ ก็คือ เราจงรักกันและกัน
ซึ่งแสดงออกทางการเคารพ และให้เกียรติกัน
เพราะโลกของความรักจะไม่มีความขัดแย้ง
โลกของความรักจะไม่มีการแย่งชิง
โลกของความรักมีแต่ความรัก...



วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เข้าเงียบประจำปี ๒๐๑๑ ที่ท่าแร่

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2011
เวลา 20.00 น.     วจนพิธีกรรมเปิดการเข้าเงียบ
                           โดย พระคุณเจ้าหลุยส์ จำเนียร สันติสุขนิรันดร์


ก่อนอื่นหมด พระคุณเจ้าเชิญชวนให้คณะสงฆ์อ่านเพลงสดุดี 2 บท นั่นคือ

สดุดีที่ 119
                     ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นส่วนมรดกของข้าพเจ้า

                     ข้าพเจ้าสัญญาจะปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์

สดุดีที่ 16

                    พระยาห์เวห์ทรงเป็นมรดกส่วนของข้าพเจ้า
                    และทรงเป็นชะตากรรมของข้าพเจ้า
                    พระองค์เท่านั้นทรงคุ้มครองชะตาชีวิตของข้าพเจ้าให้ปลอดภัย


มรดก ก็คือ ส่วนแบ่งของดินแดนแห่งพันธสัญญา
สำหรับชนเลวีจะไม่ได้รับส่วนแบ่งของดินแดน เพราะว่า พระเจ้าทรงเป็นมรดกของเขา
เพราะชีวิตของเราอยู่ในการดูแลของพระเจ้า

สำหรับเราสงฆ์
เราได้รับการเรียกและการเลือกมาเพื่อปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า

พระสงฆ์ไม่ใช่อาชีพ เพราะเราถูกเลือกมาเพื่อให้อยู่ต่างหาก
พระสงฆ์เป็นชีวิตของการรับใช้ และอุทิศตนเพื่อคนอื่น


โดยเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง เป็นพยานถึงพระทรมานของพระคริสตเจ้า 
และมีส่วนจะรับพระสิริรุ่งโรจน์ที่จะปรากฏในอนาคตด้วย ข้าพเจ้าขอร้องบรรดาผู้อาวุโสในกลุ่มของท่านทั้งหลาย  
จงเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ในความดูแลของท่าน จงดูแลด้วยความเต็มใจตามพระประสงค์ของพระเจ้ามิใช่ดูแลด้วยจำใจ 
จงดูแลด้วยความสมัครใจ มิใช่ดูแลเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้าง  
จงเป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะมิใช่เป็นเหมือนเจ้านายเหนือผู้ที่อยู่ใต้ปกครอง  
เมื่อพระคริสตเจ้าพระผู้เลี้ยงสูงสุดจะทรงแสดงพระองค์ ท่านจะได้รับสิริรุ่งโรจน์เป็นมงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย                                                                                                                                                        

                                                                                        (1 ปต 5:1-4)

และจากนั้น พระคุณเจ้าได้เตือนพระสงฆ์ให้ไตร่ตรองถึงชีวิตของการเป็นสงฆ์ของตน
นั้นคือ พิจารณาจากชีวิตในการรับใช้สัตบุรุษ

พระสงฆ์ มีเวลาให้สัตบุรุษของตนเอง มากน้อยแค่ไหน?
พระสงฆ์ เงียบ ส่วนตัวหรือเปล่า?
พระสงฆ์ คุยโทรศัพท์ มากกว่าอ่านพระคัมภีร์หรือไม่?
พระสงฆ์ยืมเงิน และไม่คืนหรือเปล่า?
พระสงฆ์ชอบร้องเพลงคาราโอเกะหรือ?
พระสงฆ์ค้าขายหรือมีทรัพย์สินในครอบครองมากมายหรือ?
พระสงฆ์อยู่วัดเฉพาะวันอาทิตย์แค่นี้หรือ?
พระสงฆ์เทศน์พระวาจาของพระเจ้า หรือ วาจาของข้าพเจ้า
พระสงฆ์ทำหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ?

พระสงฆ์เปิดเผยพระคริสตเจ้าในชีวิตตนเองอย่างไร??



วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

มนุษย์เป็นความรัก.

การเดินทางอาศัยแสงสว่างแห่งความรัก..

มนุษย์เป็นความรัก
ทำไมจึงพูดว่า มนุษย์เป็นความรัก?
ตรงจุดไหนที่แสดงออกถึงความรักของมนุษย์??
หรือ อวัยวะส่วนไหนที่แสดงออกถึงความรักของมนุษย์??

มนุษย์เป็นความรัก
ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ
ร่างกายทั้งครบ
อวัยวะทุกส่วนทุกชิ้นของร่างกาย...เป็นความรัก
ไม่มีส่วนไหนที่ไม่มาจากความรัก
ไม่มีส่วนไหนที่ไม่เป็นความรัก

มนุษย์จึงเป็นความรักหมดทั้งตัว
จะตัดส่วนใด ส่วนหนึ่งออกไปไม่ได้
หรือจะขาดส่วนใด ส่วนหนึ่งไม่ได้
เพราะร่างกายทุกส่วนเป็นองค์ประกอบของความรัก

เพราะความรัก เป็นการมอบชีวิตทั้งชีวิตให้แก่กันและกัน
เพราะความรัก เป็นการให้จนหมด..แก่กันและกัน

การจะรักใครสักคน
จะรักเพียงแค่ร่างกาย เพียงแค่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้
เพราะจะเป็นความรักที่ไม่สมบูรณ์

การจะรักใครสักคน
จะต้องรักจนหมด
จะต้องรักแม้กระทั่งกระดูกซี่โครง เข้าใจข้างในหัวใจ

การจับมือถือแขนเป็นการแสดงออกความรักอย่างหนึ่ง
การแตะต้องสัมผัสร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง เป็นการแสดงออกความรักอย่างหนึ่ง
แค่ลักษณะภายนอก และความรู้สึกเท่านั้น
ไม่ใช่แก่นของความรัก

เพราะแก่นของความรัก
คือการมอบความรักให้แก่กันและกันทั้งครบ
และทั้งหมด โดยไม่เหลืออะไรเลย

จงมองดูพระเยซูเจ้า..บนไม้กางเขน
นี่คือ แก่นของความรัก
ยอมให้ และยอมรับ และยอมสละ ทั้งหมด ทั้งครบ
มิใช่เพื่อตัวเอง แต่พื่อมนุษย์ทุกคน

นี่คือ ความรักของเจ้าบ่าวตัวจริงเสียงจริง
ที่มอบให้แก่เจ้าสาว คือ พระศาสนจักร หรือ พวกเขาทุกคน

จงขอบคุณ จงสรรเสริญ และจงทำให้ความรักของพระองค์เป็นจริง
ในชีวิตของเราเถิด....

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เสกสุสานวัดนักบุญเปาโล นามน

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2011
คุณพ่อเจ้าอาวาส (คพ.โกวิทย์ จันทรังษี) พร้อมกับพระสงฆ์ลูกวัดบ้านนามน
(คพ.วีระชัย อุตะมะชะและคพ.วิโรจน์ โพธิ์สว่าง) และสัตบุรุษลูกหลานบ้านนามน
ร่วมกันกตัญญูต่อบรรพบุรุษแห่งความเชื่อของหมู่บ้าน โดยถวายมิสซาอุทิศให้
ในโอกาสวันระลึกถึงผู้ล่วงลับ

บรรยากาศในตอนเช้า ๆ ของวัน




หลุมศพของบิดา



หลุมศพของพี่ชาย


หลุมศพของตา-ยาย

การฝังศพที่แตกต่างจากอดีต


คงเหลือแค่ความทรงจำกับปูนเก่า ๆ




จะชั่วหรือดี ก็เพียงแค่นี้


จะมีหรือรวย ก็เพียงเท่านี้









บรรยากาศของพิธิมิสซาระลึกถึงผู้ล่วงลับ



คพ.ต้อม สงฆ์ผู้พี่เป็นประธาน









บรรยากาศหลังมิสซา





 พร้อมกับญาติพี่น้อง


การรับประทานอาหารร่วมกัน
มีธารน้ำใจจากพี่น้อง


บรรดาหลาน ๆ เหลน นั่งกินข้าวบนหลุมศพของตาทวด-ยายทวด







นี่คือ หญิงม่ายสองพี่น้องแห่งนามน