BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ฉลองครอบครัวศักดิ์สิทธิ์2012

วันนี้ฉลองครอบครัวศักดิ์สิทธิ์

พื้นฐานของชีวิตมนุษย์ก็คือ ครอบครัว
มนุษย์เป็นสิ่งสร้างที่ถอดแบบมาจากพระเจ้า ทั้งในเรื่องของการดำเนินชีวิต ในเรื่องของแนวความคิด
มนุษย์ดำรงอยู่ได้ในฐานะที่เป็นกลุ่มชน กลุ่มบุคคล
กลุ่มบุคคลที่มีความใกล้ชิดกันมากที่สุด แคร์กันมากที่สุด และสละชีวิตเพื่อกันได้อย่างไม่มีเงื่อนไข
ก็คือ ครอบครัว  

พ่อ แม่ ลูก เป็นกลุ่มบุคคลที่สำคัญมากที่สุดในสังคม ในโลก และในชีวิตของกันและกัน
พ่อ แม่ ลูก สายสัมพันธ์ทางสายโลหิต ที่ก่อให้เกิดความใกล้ชิด อย่างที่ตัดขาดจากกันไม่ได้
เลือด ถูกถ่ายทอดด้วยเลือด
เนื้อ ถูกถ่ายทอดด้วยเนื้อ
พ่อ แม่ ลูก จึงกลายเป็น เนื้อ และ เลือดอันหนึ่งอันเดียวกัน

ความเป็นครอบครัวมีอยู่ใน "พ่อ"
ความเป็นครอบครัวมีอยู่ใน "แม่"
ความเป็นครอบครัวมีอยู่ใน "ลูก"

หากเราต้องการจะเข้าใจพระธรรมล้ำลึกแห่งพระตรีเอกภาพ
เราจะต้องเข้าใจคำว่า "ครอบครัว" เสียก่อน

เนื่องจากว่า ครอบครัว ถอดแบบออกมาจากพระตรีเอกภาพ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ความรัก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ความเป็นหนึ่งเดียว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ความเท่าเทียมกัน แต่แตกต่างกัน

ครอบครัวจึงเป็นธรรมล้ำลึก 
ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น เพื่อเป็นเครื่องหมายให้มนุษย์เข้าใจธรรมล้ำลึกของพระตรีเอกภาพ
ผ่านทางครอบครัว แผนการแห่งการช่วยให้รอดพ้นของพระเจ้า "ต่อเนื่อง"
ผ่านทางครอบครัว ความรักของพระเจ้า "ดำรงอยู่ตลอดไป"
ผ่านทางครอบครัว มนุษย์เห็นพระเจ้า "เสมอ"

ครอบครัวคือ พระศาสนจักรระดับบ้าน
ครอบครัวเป็นธรรมล้ำลึก
ครอบครัวเป็นความศักดิ์สิทธิ์

เพื่อมุ่งสู่ความศักดิ์สิทธิ์

พ่อ จงคืนดีกับแม่ และลูก ๆ 
แม่ จงคืนดีกับพ่อ และลูก ๆ
ลูก ๆ จงคืนดีกับพ่อ และแม่

พ่อ จงให้อภัยแม่ และลูก
แม่ จงให้อภัยพ่อ และลูก
ลูก จงให้อภัยพ่อ และแม่

การคืนดี ด้วยการให้อภัยกันและกัน
เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินสู่งความศักดิ์สิทธิ์และครบครัว
พร้อมกันและกัน





วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การแห่ดาว 2012




การแห่ดาว




หลายต่อหลายคน
ทั้งคนคริสตชน 
ทั้งคนที่นับถือศาสนาอื่น
ต่างมามองที่ดาว
และติดตามดาว

ในอดีต 
บรรดาโหราจารย์ได้ติดตามดาว
ด้วยความยากลำบาก
เดินทางติดตามดวงดาว
จนมาถึงที่ที่ ดาวหยุด นิ่ง..
และบรรดาโหราจารย์
ก็ได้พบพระกุมารน้อย
พร้อมกับถวายของขวัญแด่พระกุมาร

ปัจจุบัน
บรรดาคริสตชน
แห่ดาว
บรรดานักท่องเที่ยว
มาดูดาว
เมื่อพวกเขามาพบ มาเจอดวงดาว
พวกเขามีความสุข
กับดวงดาวที่หลากสี
ดวงดาวที่มีสีสันต่าง ๆ 
ดวงดาวที่ใหญ่
ดวงดาวที่สว่างไสว
ดวงดาวที่แปลก
ดวงดาวที่มีพลัง
และพวกเขาก็หยุดแค่นี้..
พวกเขาหยุดแค่นี้..
พวกเขามาพบดวงดาว
และก็ได้อยู่กับดวงดาว

พวกเขามาเจอแสง สีสันของดวงดาว
และก็อยู่ตรงนี้..

พวกเขาขาดสิ่งใด..

ดวงดาวนำบรรดาโหราจารย์
มาพบปะกับพระกุมาร
พระผู้ไถ่



แต่คนเราทุกวันนี้
ดวงดาวนำเรามาพบปะพระผู้ไถ่
แต่เราพอใจอยู่กับดวงดาว
แต่เราพอใจ สุขใจกับแสงของดาว
จนเราไม่สามารถพบพระผู้ไถ่ได้

เราหลงไปกับแสง สี และเสียง
จนไม่สามารถพบปะกับพระคริสตเจ้าซึ่งนอนอยู่ในรางหญ้า

เราแห่ดาว

และเราก็ไม่ได้ร่วมมิสซา

เราแห่ดาว

และเราก็ละเลยที่จะมาพบปะกับพระองค์

ดวงดาวทำหน้าที่ของตนเองด้วยความรับผิดชอบ
คือนำมนุษย์มาพบพระกุมาร

แต่มนุษย์ทำหน้าที่ของตนด้วยการเมินเฉย ละเลย
ไม่เข้าถึงพระกุมาร

ในที่สุด 
ดาวดาวก็กลายเป็นสิ่งล้ำค่า มีคุณค่า 
มากกว่า
การบังเกิดมาของพระผู้ไถ่

สุดท้าย
เราก็เป็นเหมือนมนุษย์ทุกคน
ที่ไม่รับรู้ถึงการบังเกิดมาของพระผู้ไถ่ของเรา








Buon Natale 2012

บันทึกเทศ(น์)กาล

ในที่สุด..เทศกาลพระคริสตสมภพ ก็มาถึงศูนย์กลาง นั่นคือ วันพระคริสตสมภพ
การเฉลิมฉลองวันพระคริสตสมภพ เริ่มต้นขึ้น เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึงแล้ว
เช่น ที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟ ท่าแร่ ฉลองวันที่ 21 ธันวาคม เช่นเดียวกันกับที่บ้านเณรฟาติมา ท่าแร่
ก็ได้ทำการแห่พระกุมารในคืนวันที่ 21 ธันวาคม เพื่อเป็นการระลึกถึงการบังเกิดมาของพระผู้ไถ่

การฉลองคริสตมาส..แต่ละที่ แต่ละแห่งมีความแตกต่างกัน ไม่ใช่ในเรื่องของพิธีกรรม หรือบรรยากาศ
โดยทั่ว ๆ ไป แต่แตกต่างกันตรงที่ แต่ละที่ แต่ละแห่ง ก็มีความอบอุ่น มีความเป็นครอบครัวในลักษณะ
ที่แตกต่างกัน
ที่โรงเรียน ก็มี มาเซอร์ ครู นักเรียน ก็เป็นครอบครัวหนึ่ง
ที่บ้านเณร ก็มี คุณพ่อ สามเณร และพนักงาน ก็เป็นอีกครอบครัวหนึ่ง
ที่วัดต่าง ๆ ก็มี พ่อเจ้าวัด ผู้ช่วย ซิสเตอร์ สัตบุรุุษ รวมทั้งบรรดาเด็ก ๆ ก็เป็นอีกครอบครัวหนึ่ง

การฉลองคริสตมาส เป็นการเฉลิมฉลองการบังเกิดมาของพระเยซูเจ้า พระเจ้าของเรา
พระองค์บังเกิดมาในครอบครัว ในบรรยากาศแห่งความรัก และความอบอุ่น
ในบรรยากาศของมิตรภาพและความสวยงามของครอบครัว
พระองค์นำความสุขมาสู่ทุกครอบครัว ในทุกระดับ

การบังเกิดมาของพระองค์จึงสร้างบรรยากาศของความชื่นชมยินดี
รวมทั้งในครอบครัวของเราด้วย
ชื่นชมยินดีที่ครอบครัวของเรามาอยู่พร้อมหน้ากัน
ชื่นชมยินดีที่ครอบครัวของเรายังมีอยู่พร้อมหน้ากัน
ชื่นชมยินดีที่ครอบครัวของเรายังรักษาความเชื่อไว้พร้อมหน้ากัน
ชื่นชมยินดีที่ครอบครัวของเรายังอบอุ่นพร้อมหน้ากัน

ความชื่นชมยินดีในครอบครัวนี้.. มีจุดศูนย์กลาง คือ พระเยซูกุมารน้อย

พระเยซูเจ้าเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางเรา
ท่ามกลางความยากลำบากของชีวิตของเรา
เพื่อสร้างความนิ่ง สงบ
ท่ามกลางความสับสน วุ่นวาย และการดิ้นรน
เพื่อสร้างความเงียบ สงบ
ท่ามกลางสงครามและการแย่งชิง
เพื่อสร้างความพอดีและพอเพียง

การประทับอยู่ของพระเจ้า...เพื่อเราทุกคน...


บรรยากาศที่โรงเรียน











บรรยากาศที่วัดท่าแร่













วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สัปดาห์ 3 เตรียมรับเสด็จฯ ปี C 2012


บทเทศน์


พี่น้องที่เคารพรักสัปดาห์นี้ เป็นสัปดาห์ที่ 3 แล้ว การรอคอยที่จะรับเสด็จพระคริสตเจ้า
ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว.. การบังเกิดมาของพระผู้ไถ่กำลังจะมาถึงแล้ว..

พระวาจาของพระเจ้าในสัปดาห์นี้ "จงชื่นชมยินดี"
ในบทอ่านที่หนึ่ง "จงชื่นชมยินดีเถิด ศิโยนเอ๋ย.. จงชื่นชมยินดีเถิด ธิดาเยรูซาเล็มเอ๋ย"
ทำไม ประกาศกจึงบอกว่า จงชื่นชมยินดีเถิด
เหตุผลก็คือ พระเจ้าทรงยกเลิกการพิพากษาลงโทษ  หมายความว่า พระเจ้าทรงให้อภัย
พระเจ้าไม่ทรงเอาผิด จากการกระทำของเจ้าแล้ว..

นี่แหละคือความชื่นชมยินดี ที่มนุษย์ผู้เป็นคนบาปได้รับ
เขาได้รับพระเมตตาจากพระเจ้า

ในบทอ่านที่สอง
นักบุญเปาโลก็บอก "จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลาเถิด"
ทำไม จงบอกให้เราชื่นชมในพระเจ้า ทุกเวลาอีกด้วย
เหตุผลก็คือ "องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จใกล้เข้ามาแล้ว"
เป็นความชื่นชมยินดีของมนุษย์ ที่พระเจ้ากำลังจะเสด็จลงมาประทับอยู่กับมนุษย์

มนุษย์เป็นคนบาป ได้รับพระเมตตา  จึง ชื่นชมยินดี
มนุษย์เป็นคนบาป แต่พระเจ้ากำลังจะเสด็จมาอยู่ใกล้  จึง ชื่นชมยินดี

ในพระวรสาร

การปรากฎตัวมาของยอห์น บัปติส แสดงออกให้เราเห็นหลาย ๆ อย่าง
เช่น การกลับใจ การใช้โทษบาป การเตรียมตัวต้อนรับพระคริสตเจ้า

วันนี้ ยอห์น ประกาศข่าวดี และบอกกับประชาชนให้เตรียมตัวต้อนรับพระผู้ไถ่
วันนี้ ยอห์น บอกแก่เราทุกคนว่า

หนึ่ง    จงแบ่งปัน

สอง    อย่าเอารัดเอาเปรียบคนอื่น

สาม    อย่าใช้ความรุนแรงต่อกันและกัน

การแบ่งปัน ทำลายการเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ทำลายการใช้ความรุนแรงที่ก่อให้เกิดการแตกแยก
การแบ่งปัน สร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน
การแบ่งปัน แสดงออกถึงความเป็นพี่น้องกัน
การแบ่งปัน แสดงออกถึงน้ำใจที่มีต่อกัน

การแบ่งปัน แสดงให้เห็นถึง ความรักของพระเจ้าอยู่ในตัวของเรา



วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

13 แห่แม่พระฟาติมา ท่าแร่

วันที่ 13 ของทุกเดือนในหนึ่งปี เป็นวันที่เราระลึกถึงการประจักษ์มาของแม่พระแห่งฟาติมา
วันนั้น แม่พระได้ทำอัศจรรย์ให้ทุกคนได้เห็น
วันนั้น แม่พระได้บอกให้ทุกคน "หมั่นสวดสายประคำเพื่อโลกจะได้มีสันติภาพ"

วันนี้ ที่บ้านเณรเล็กฟาติมา ท่าแร่ ได้ร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียวสรรเสริญแม่พระ โดยการแห่แม่พระฟาติมา รอบบ้านเณร เพื่อเป็นการขอบคุณแม่พระที่ได้ดูแล และคุ้มครองบ้านเณรเสมอมา

นี่ก็เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ที่บ้านเณรได้ทำการแห่แม่พระฟาติมา


บรรยากาศรอบ ๆ บ้านเณร
เวลา 17.45 น.




ประธานในเย็นวันนี้ก็คือ คุณพ่อฟรังซิสแห่งอัสซีซี ญาณารณพ  มหัตกุล


เริ่มต้นด้วย บทภาวนาและถวายกำยานแด่พระรูปแม่พระ




แสงไฟสีทองจากเทียนที่อยู่กลางโคมแห่ เป็นเส้นทางที่ต่อเนื่องสำหรับการเดินทาง





การรับฟังพระวาจาของพระเจ้า
และบทเทศน์เตือนใจ










บทภาวนาเพื่อมวลชน
และบทภาวนาถวายประเทศไทยแด่พระแม่





การเผาจดหมายเป็นเสมือนแทนคำภาวนาถึงแม่พระ






ลำดับการแห่แม่พระฟาติมา

1.        พระสงฆ์สวดบทภาวนา และถวายกำยานหน้าพระรูปแม่พระ
2.        เริ่มขบวนแห่
°    กำยาน
°    กางเขน
°    เทียน
°    พระรูป
°    พระสงฆ์
°    สามเณร
3.        ก่อสวดสายประคำ พร้อมกับสลับบทเพลงแม่พระ 30 เม็ด
4.        อ่านพระวรสาร โดยใช้กำยาน
5.        เทศน์เตือนจิตใจ
6.        บทภาวนาเพื่อมวลชน
7.        สวดบทภาวนาถวายประเทศไทย
8.        เผาจดหมาย
9.        พระสงฆ์อวยพรปิด
10.     ขับร้องเพลงแม่พระ


บทถวายประเทศไทยแด่แม่พระ
(ในโอกาสวันสมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ องค์อุปถัมภ์ของประเทศไทย)

ข้าแต่พระแม่มารีย์ ผู้ทรงรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ 
พวกลูกชาวไทยต่างชื่นชมยินดีในเกียรติอันสูงส่ง ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแด่พระแม่วันนี้ 

ลูกขอถวายประเทศไทย อันเป็นแผ่นดินถิ่นเกิดของลูก ไว้ในพระหัตถ์ของพระแม่ 
ขอพระแม่ได้รักษาอิสรภาพและความเป็นไท ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษมาถึงลูกทุกคนตราบเท่าทุกวันนี้ 

ลูกวอนขอพระแม่ได้โปรดปกป้องคุ้มครองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ให้ทรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของปวงชนชาวไทยตลอดไป 

ลูกวอนขอพระแม่ได้โปรดให้ชาวไทยทุกคน รักและหวงแหนความเป็นไทของตน มีความสมานสามัคคีกลมเกลียวกัน ช่วยกันรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณี และศีลธรรมอันดีงาม ซึ่งเป็นมรดกล้ำค่าของชาวไทยทุกคน 

โปรดอำนวยพระพรแก่พระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย บรรดาพระสังฆราช พระสงฆ์ และนักบวชชายหญิง ให้ทุกท่านเป็นผู้มีจิตใจเสียสละในการรับใช้ประชากรของพระเจ้า 

ขอให้เยาวชนคาทอลิกตอบสนองพระกระแสเรียกด้วยใจเสียสละมากยิ่งขึ้น 

โปรดประทานพระพรแก่กิจการต่าง ๆ ของพระศาสนจักนในด้านการศึกษา ด้านการพัฒนา และสงเคราะห์ เพื่อเป็นสักขีพยานถึงความรักแบบคริสตชนอย่างแท้จริง 

ข้าแต่พระแม่มารีย์ผู้ทรงรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ องค์อุปถัมภ์ของประเทศไทย 

ลูกขอถวายประเทศชาติบ้านเมือง อันเป็นที่รักของลูกแด่พระแม่ 
ขอพระแม่ปกป้องคุ้มครองประเทศไทย และพี่น้องชาวไทย 
โดยเฉพาะผู้มีใจรักและศรัทธาเป็นพิเศษต่อพระแม่ด้วยเทอญ

อาแมน















วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สัปดาห์ 2 เตรียมรับเสด็จฯ ปี C 2012

บทเทศน์



พี่น้องที่เคารพรัก สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่สองในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ซึ่งตลอดระยะสี่สัปดาห์ พระศาสนาจักรเชิญชวนและเรียกร้องให้บรรดาคริสตชนเดินตามเส้นทางแห่งการเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า เพื่อจะได้ต้อนรับพระองค์
สัปดาห์แรก พระศาสนจักรเชิญชวนให้เรานั้น ตื่นเฝ้า และอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอ เพื่อเราจะได้มีชีวิตที่สนิทสัมพันธ์กับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น เพื่อจิตใจของเราจะได้ใกล้ชิดกับพระองค์ โดยผ่านการการภาวนา สิ่งสำคัญสำหรับเราคริสตชนไม่ใช่การภาวนาด้วยปาก หรือ แค่ลมปากเท่านั้น แต่เราจะต้องให้การดำเนินชีวิตเป็นเหมือนคำภาวนาต่อพระเจ้า 
สัปดาห์นี้ พระศาสนจักรเชิญชวนให้เราได้มองดูชีวิตของชายคนที่ชื่อ ยอห์น บัปติส การปรากฎมาของยอห์น บัปติสเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่า พระคริสตเจ้า หรือ พระผู้ไถ่กำลังเสด็จมาแล้ว เพราะยอห์น เป็นเครื่องหมายของการเตรียมทางสำหรับพระคริสตเจ้า เสียงของยอห์น เป็นเสียงที่เรียกร้องการกลับใจ
การกลับใจคืออะไร ในพจนานุกรมกรีกได้ให้ความหมายไว้ 3 ประการคือ
1.     การเปลี่ยนศาสนา เปลี่ยนความเชื่อ
2.     การเป็นทุกข์เสียใจที่ได้ทำบาปผิดต่อพระเจ้า
3.     การเปลี่ยนความคิด จิตใจ และวิถีดำเนินชีวิตอย่างสิ้นเชิง

สิ่งที่เราคริสตชนละเลยและไม่ใส่ใจก็คือ การเปลี่ยนความคิด จิตใจ และวิถีดำเนินชีวิตอย่างสิ้นเชิงนี่แหละ เพราะว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราต้องเปลี่ยนแปลงตนเองทั้งครบ แล้วหันไปหาพระเยซูเจ้า
ยกตัวอย่างของนักบุญเปาโล  เดิมท่านเป็นชาวยิว เป็นชาวฟาริสี เคร่งครัดต่อศาสนา ใครจะแตะต้อง หรือลบหลู่ดูหมิ่นพระเจ้าไม่ได้ และยึดการถือตามพระบัญญัติอย่างเคร่งครัด จนกระทั่งท่านได้พบกับพระเยซูเจ้า ท่านได้เปลี่ยนวิถีทางดำเนินชีวิตทั้งหมด ท่านเปลี่ยนไปอยู่ข้างพระเยซูเจ้าอย่างสิ้นเชิง

นี่คือ การกลับใจ นี่คือ การเลือกข้างอย่างชัดเจน นักบุญเปาโลได้ทำการเลือกข้างอย่างชัดเจน ระหว่างพระเยซูเจ้า และ การดำเนินชีวิตแบบยิว

พี่น้องที่เคารพรัก พระวรสารในวันนี้ นักบุญยอห์น มาประกาศถึงการช่วยให้รอดพ้นของพระเจ้า โดยที่เราจะต้องกลับใจ เปลี่ยนแปลงวิถีทางดำเนินชีวิต
จงเตรียมทางของพระเจ้า หุบเขา จงถมให้เต็ม 
ภูเขาและเนินเขา จงปรับให้ต่ำลง 
ทางคดเคี้ยว จงทำให้ตรง ทางขรุขระ จงทำให้เรียบ

ชีวิตของคริสตชนก็เช่นกัน เราจะต้องกลับใจ โดยเน้นที่ การเปลี่ยนความคิด จิตใจ และวิถีดำเนินชีวิต โดยการมีความเด็ดขาดในการเลือกข้าง นั่นคือ การเลือกอยู่ข้างพระเยซูเจ้า โดยละทิ้งสิ่งอื่นที่ไม่ใช่วิถีทางของพระเยซูเจ้า  ดังที่ประกาศกบารุคได้บอกว่า จงสวมความชอบธรรมของพระเจ้าเป็นเสื้อคลุม จงสวมสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้าเป็นมงกุฎ นี่แสดงให้เราเห็นว่า สิ่งที่เป็นของพระเจ้าสำหรับเรา คือสิ่งที่ดีที่สุด

ในชีวิตของเรา หลายครั้ง เราไม่กล้าจะเลือกอยู่ข้างพระเยซูเจ้า หลายครั้งเราไม่กล้าตัดใจจากกิเลส ตัณหา หรือความเห็นแก่ตัวของเรา หลายครั้งเรากลัวการเสียสละ หลายครั้งเรากลัวการแบ่งปัน เพราะทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นการเสียเปรียบ และเป็นการสูญเสีย หลายครั้งเราไม่กล้าที่จะเลือกความยุติธรรม เพราะการอยู่กับความไม่ยุติธรรมก็มีความสุขดี  หลายครั้งเราไม่กล้าที่จะอยู่กับความรัก เพราะกลัวว่าตนเองจะเสียสละมากเกินไป ตัวเองจะให้อภัยความผิดของคนอื่น และก็พึงพอใจกับความอิจฉาริษยา หรือ การเคียดแค้น

พี่น้อง พระวรสารและเจตนาของพระเยซูเจ้า คือ เรียกร้องให้เราอยู่ฝ่ายพระองค์ เรียกร้องให้เรากลับใจหันมาหาพระเจ้า ดำเนินชีวิตตามหนทางของพระองค์ เพื่อสันติสุขจะได้เกิดขึ้น ในจิตใจของเราและในสังคม ครอบครัวของเรา
               
             หุบเขา จงถมให้เต็ม  หลายสิ่งที่เรายังขาดไป โดยเฉพาะในเรื่องของความรัก เรื่องของการเสียสละเพื่อส่วนรวม หรือ เรื่องของการแบ่งปัน จงถมให้เต็มเถิด
                ภูเขาและเนินเขา จงปรับให้ต่ำลง  ความหยิ่งจองหอง ความยโส ความอวดดี ความทะเยอทะยานที่เกินตัวโดยเอาเปรียบคนอื่น จงปรับให้ต่ำลง ให้ลดลง เพราะหนทางของพระเจ้าคือ หนทางแห่งการรับใช้
                ทางคดเคี้ยว จงทำให้ตรง จิตใจที่ไม่ซื่อตรง จิตใจที่ไม่ซื่อสัตย์ จงตัดให้ตรง จงเป็นคนที่จริงใจ และอยู่ในความจริงของพระเจ้า
                ทางขรุขระ จงราบให้เรียบ  สิ่งที่เป็นพยศชั่ว หรือบาปต้น ที่ก่อให้เกิดความบาปผิดต่อพระเจ้า จงหมั่นปราบ และจัดการให้เรียบ โดยการหมั่นมารับศีลอภัยบาป การเป็นทุกข์ถึงบาป และการใช้โทษบาป
                
ดังนั้น การต้อนรับพระคริสตเจ้าที่กำลังจะเสด็จมา หัวใจของเราจะได้เต็มเปี่ยมไปด้วยพระหรรษทานและพระสิริรุ่งโรจน์ สันติสุขและความรักจากพระองค์

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วันพ่อแห่งชาติ 2012

วันที่ 5 ธันวาคม วันพ่อแห่งชาติ

เพราะเป็นวันที่เราระลึกถึงวันคล้ายวันประสูติของในหลวงของเรา คือ 5 ธันวาคม ปีนี้ พระองค์ท่านครบ ๘๕ พรรษา.. ขอพระเจ้าประทานพระพรแห่งสุขภาพ พลานามัยแด่พระองค์ท่านตลอดไป

วันนี้ เราระลึกถึงคุณงามความดีของ "พ่อ" ด้วย

หากเปรียบ "พ่อ" เป็นดั่งต้นไม้
"พ่อ" ก็คือ รากของต้นไม้ ที่คอยพยุงต้นไม้ไม่ให้ล้มลง
         แม้เมื่อเจอลมพายุ เจอฝนกระหน่ำ เจอภัยพิบัติต่าง ๆ 
         "พ่อ" ก็จะเป็นรากไม้ ที่ไม่ทำให้ครอบครัวต้องพังทลาย

รากไม้นี้.. อยู่ในดิน ไม่ค่อยมีใครจะมองเห็นหรือสัมผัสได้
ความรัก และความเอาใจใส่ของ "พ่อ" ต่อครอบครัวก็เป็นเช่นนี้
บรรดาลูก ๆ อาจจะไม่เห็น หรือไม่สามารถที่จะสัมผัสได้อย่างเป็นรูปเป็นร่าง
แต่ "พ่อ" ก็รัก และเอาใจใส่บรรดาลูก ๆ เสมอ

หากเปรียบ "พ่อ" เป็นดั่งต้นไม้
"พ่อ" ก็คือ เปลือกของลำต้น ที่คอยปกป้อง คุ้มกัน 
                 ไม่ว่าจะเป็นแสงแดดที่แผดเผา ไม่ว่าจะเป็นความหนาวเหน็บ
                 ไม่่ว่าจะเป็นความชื้นของเม็ดน้ำ ไม่ว่าจะเป็นความแห้งแล้ง
                  เปลือกไม้ ก็รับไว้หมด ปกป้องลำต้น ปกป้องแก่นของมันเสมอ
"พ่อ" ก็คอยปกป้อง คุ้มกันบรรดาลูก  ๆ เสมอ
         อดทนในยามทุกข์ยากลำบาก
         เพียรทนในยามที่ต้องเผชิญกับปัญหา อุปสรรค
         ต่อสู้ ดิ้นรน เพื่อเลี้ยงดูและหล่อเลี้ยงครอบครัว

เราจะเปรียบ "พ่อ" เหมือนกับอะไรดี?
เหมือนกับ "ท้องฟ้า"  ที่แผ่ปกคลุมแผ่นดินฉันใด
ความรักของพ่อก็เป็นเช่นนั้น

หรือ จะเหมือนกับมหาสมุทรที่แผ่กว้างฉันใด
ความรักของพ่อก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันฉันนั้น...



ดอกไม้ในวันพ่อ..
จากบรรดาลูก ๆ สามเณร






คำ..เขียนออกมาของบรรดาลูกสามเณร


ชั้นม.1



ชั้น ม. 2


ชั้น ม. 3


ชั้น ม.ปลาย




"ความเข้มแข็ง ความกล้าหาญ และความใจดี"

คุณธรรมที่บรรดาลูก ๆ จะต้องนำไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นในชีวิต




วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สัปดาห์1 เตรียมรับเสด็จฯ ปี C 2012


บทเทศน์


พี่น้องที่เคารพรัก วันนี้เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลใหม่ในปีพิธีกรรมคือ เป็นเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ซึ่งเป็นการเริ่มต้นปี C เทศกาลเตรียมรับเสด็จนี้มาจากภาษาลาตินว่า Adventus  ซึ่งหมายถึง การมาถึง เป็นการเสด็จมาของพระ        คริสตเจ้า เสด็จมาเยี่ยมประชากรของพระองค์

การเสด็จมาของพระคริสตเจ้ามี 2 ความหมาย คือ การเสด็จมารับสภาพมนุษย์ ในฐานะที่เป็นกุมารเยซู และการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสตเจ้า ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ผู้พิพากษามวลมนุษย์
นี่คือความหมายของเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้านี้

ตลอดระยะเวลาของเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้านี้ พระศาสนจักรกำหนดให้มีเวลา 4 สัปดาห์ด้วยกัน เพื่อให้บรรดาคริสตชนผู้มีความเชื่อได้เตรียมตัวอย่างดีในการต้อนรับการเสด็จมาของพระเจ้า โดยพระศาสนจักรได้แบ่งกำหนดให้เราคริสตชนเตรียมตัวด้วยท่าทีต่าง ๆ ดังนี้

สัปดาห์แรก ท่าทีของการตื่นเฝ้าในความเชื่อ การอธิษฐานภาวนาและการเปิดใจให้พร้อมที่จะรับรู้ถึง เครื่องหมาย”  ของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าในทุกสถานการณ์ และช่วงเวลาของชีวิต รวมถึงการเสด็จมาวาระสุดท้าย

สัปดาห์ที่สอง ท่าทีของการกลับใจ หรือการเดินทางไปบนเส้นทางที่พระเจ้าทรงให้ไว้ เพื่อติดตามพระเยซูสู่อาณาจักรของพระบิดา โดยนักบุญยอห์น บัปติส

สัปดาห์ที่สาม ท่าทีของความยีนดีต่อการเสด็จมาของพระคริสตเจ้า พระผู้ไถ่ ด้วยความรักและความอดทนต่อผู้อื่นด้วยการเปิดใจรับการริเริ่มในการทำความดี

สัปดาห์ที่สี่ ท่าทีของการมีใจยากจนและปล่อยวางใจให้กว้าง เหมือนกับโยเซฟ พระนางมารีย์ ยอห์นและผู้ใจยากจนอื่น ๆ เพื่อเตรียมที่ไว้สำหรับพระเยซูเจ้าและให้พระองค์เข้ามาเติมความว่างเปล่าของชีวิตให้อุดมไปด้วยพระองค์

พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ ได้พูดถึงการเสด็จมาครั้งที่ของพระเยซูคริสตเจ้า ผู้พิพากษาสูงสุด และพระวรสารได้บรรยายภาพก่อนที่พระองค์จะเสด็จมา ว่ามีลักษณะอย่างไร? นั่นก็คือ จะมีเครื่องหมายในเกิดขึ้นในธรรมชาติ คือ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว และแผ่นดินด้วย ธรรมชาติจะสั่นสะเทือน ธรรมชาติจะผิดไปจากเดิม

แต่สิ่งสำคัญคือ สำหรับเราคริสตชน เราจะต้องยืนตรง เงยศีรษะขึ้น เพราะเราจะได้เป็นอิสระแล้ว ทำไมพระวรสารพูดอย่างนี้? เราจะเป็นอิสระจากอะไร? แน่นอนว่า สิ่งแรกคือ จากธรรมชาติ.. เพราะหลายต่อหลายคน มีชีวิตขึ้นอยู่กับโชคชะตา มีชีวิตขึ้นอยู่กับดวง วาสนา การดูฤกษ์ ดูยาม ดูหมอ จนหลายครั้งทำให้เราสูญเสียความเชื่อ และความวางใจในพระเจ้า  
สิ่งสำคัญที่เราจะเป็นอิสระเมื่อพระคริสตเจ้าเสด็จมาก็คือ เราจะเป็นอิสระจากความบาป เราจะได้รับการช่วยให้รอดพ้นจากความตาย เพราะพระองค์ทรงไถ่เรา พระองค์ทรงกอบกู้เรา และทำให้เรามีชีวิตจากเลือดและความตายของพระองค์

เราจะดำเนินชีวิตอย่างไร?
                
จงระวังไว้ให้ดี อย่าปล่อยใจของท่านให้หมกมุ่นอยู่ในความสนุกสนานรื่นเริง ความเมามาย และความกังวลถึงชีวิตนี้

หมายความว่า พระเยซูเจ้าพระองค์ปรารถนาให้บรรดาศิษย์ของพระองค์มีความไว้วางใจในพระองค์ หนักแน่น และยึดพระองค์ไว้ให้มั่นคง โดยการระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามกระแสของสังคมโลก หรือความสนุกสนานฝ่ายร่างกาย ความรื่นเริง ความพึงพอใจในเนื้อหนังของตน แต่สิ่งสำคัญคือ การรู้จักควบคุมตนเอง ควบคุมพฤติกรรมของตนเองให้อยู่ในกรอบ ในศีลธรรมของพระเจ้า ตามบทบัญญัติของพระองค์

จงตื่นเฝ้าอธิษฐานภาวนาอยู่ตลอดเวลาเถิด

ยิ่งเราภาวนามากเท่าใด เราก็ยิ่งจะมีพละกำลังมากขึ้นเท่านั้น พละกำลังทางจิตใจ พระเยซูเจ้าตรัสว่า จงตื่นเฝ้าอธิษฐานภาวนา เพื่อจะมีกำลังหนีให้พ้น และไปอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า การภาวนาอยู่เสมอเป็นพลังผลักดันเราให้เราเข้มแข็ง ให้เรากล้าหาญและเด็ดเดี่ยวในการที่จะเอาชนะความไม่มีไม่งาม ความโน้มเอียงต่าง ๆ หรือการประจญล่อลวงต่าง ๆ ของปีศาจ หรือกระแสของสังคมในโลกนี้

หากเราไม่ภาวนา เราจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาต่อสู้กับความชั่วร้าย หรือ ความยั่วยวนของบาป โดยเฉพาะบาปเกี่ยวกับศีลธรรมในครอบครัว ที่มีแรงกำลังมหาศาลที่จะดึงเราให้หลงและตกในบาปได้ง่าย  อาศัยการภาวนาอยู่เสมอ เราจะมีสติในการดำเนินชีวิต เราจะรู้ตัวเสมอ และจะสามารถเอาชนะความบาปนั้นได้
พี่น้องที่เคารพรัก เราจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ ในการเตรียมจิตเตรียมใจของเรา เพื่อรอรับเสด็จพระคริสตเจ้า

มีชายหนุ่มคนหนึ่งเริ่มรู้สึกว่าเขามีชีวิตที่แย่ลง  และมีนิสัยที่ไม่ดีหลายประการ  เขารู้สึกว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปรับปรุงแก้ไขชีวิตของตน โชคดีที่เขาพบผู้ศักดิ์สิทธิ์ท่านหนึ่ง เมื่อทราบถึงความท้อใจของชายหนุ่มคนนี้ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้เล่าให้เขาฟังว่า  ชายคนหนึ่งมีลูกชายคนเดียว   วันหนึ่งบิดาเรียกลูกชายมาหาและบอกกับเขาว่า ลูกเอ๋ย มองดูที่สวนของเรา มันเต็มไปด้วยวัชพืช และ พืชที่ไร้ประโยชน์ จงถางพืชที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้ ลูกชายเมื่อมองเห็นสภาพของสวน เขากล่าวกับบิดาว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะปรับสภาพของสวนของเรา อย่าว่าแต่คนเดียวเลย ต่อให้มีคน 10 คนมาปรับปรุงสวนของเรา อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือน บิดาพาลูกชายไปที่มุมหนึ่งของสวน หลังจากนั้นเขาบอกลูกชายของเขาว่า วันนี้ให้ลองกำจัดวัชพืชและกอหนามในพื้นที่ 50 ตารางฟุตที่กำหนดไว้เท่านั้น วันรุ่งขึ้นก็ถางวัชพืชเป็นพื้นที่อีก 50 ตารางฟุต และทำอย่างนี้ทุกวัน เด็กชายเริ่มต้นทำงาน แต่ละวันเขาถางวัชพืชเป็นจำนวนไม่มากนัก   และเมื่อเวลาผ่านไป เดือน สวนก็อยู่ในสภาพที่ดีและเรียบร้อย ดังนั้น ให้เรามาเริ่มปฏิรูปและฟื้นฟูชีวิตของเราเถอะ  ผู้ศักดิ์สิทธิ์กล่าวกับชายหนุ่ม

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บทเทศน์เตรียมจิตใจฉลองวัดหนองแซง


ค่ำคืนของวันที่ 29 พฤศจิกายน 2012

ได้รับเกียรติจากคุณพ่อฉลอง แก้วอาสา เจ้าอาวาสวัดนักบุญอันดรูว์ บ้านหนองแซง
เพื่อเทศน์เตรียมจิตใจ โอกาสฉลองวัดในวันที่ 1 ธันวาคม 2012 นี้

บทเทศน์


บทเทศน์
เตรียมจิตใจโอกาสฉลองวัดนักบุญอันดรูว์  หนองแซง

พี่น้องในค่ำคืนนี้ เรามาร่วมจิตร่วมใจกัน เตรียมจิตเตรียมใจของเราในโอกาสฉลองความเชื่อ หรือว่าฉลองวัดของเรา ซึ่งการฉลองวัด หรือ การฉลองความเชื่อ นี้ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตคริสตชนของเรา เพราะความเชื่อเรียกเราและเชื้อเชิญเราให้เข้าเป็นบุตรของพระเจ้า เพราะความเชื่อเราจึงได้รับศีลล้างบาป และเพราะความเชื่อ เราจึงกลายเป็นบุตรของพระเจ้า มีส่วนในมรดกแห่งชีวิตนิรันดรของพระองค์

ทุก ๆ ปี จึงเป็นความสำคัญและจำเป็นที่จะต้องทำการเฉลิมฉลองความเชื่อของเรา โดยการเตรียมจิตเตรียมใจอย่างดี เพื่อเราจะได้ฉลองความเชื่ออย่างเต็มที่ (การฉลองความเชื่ออย่างเต็มที่ไม่ใช่การดื่มเหล้าเมาสุราอย่างเมามาย ไม่ลืมหูลืมตา หรือหัวราน้ำ)  แต่การฉลองความเชื่ออย่างเต็มที่ก็คือ เข้าวัด เข้าวา แก้บาป รับศีล การครองตัวเองให้บริสุทธิ์จากธรรมชาติฝ่ายเนื้อหนัง และจากการเอาแต่ใจของตนเอง จากคำพูดคำจาที่อยากจะด่าคนอื่น ด่าลูกด่าหลาน หรือ การบ่นต่อว่าพระเจ้า  การดำเนินชีวิตที่สุดจริต ไม่คดโกง ไม่เอารัดเอาเปรียบ ยึดมั่นในคุณธรรมและความดีงาม เช่น ซื่อสัตย์ สุจริต อยู่ในความจริงเสมอ เป็นต้น

ดังนั้น การฉลองวัดคือ การฉลองความเชื่อ เป็นฉลองภายในจิตใจของเรา ฉลองความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้า ฉลอง ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความเชื่อที่เราได้รับจากพระองค์  เมื่อภายในจิตใจของเรามีความชื่นชมยินดี มีความสุขกับพระเจ้าแล้ว เราจึงแสดงออกมาภายนอก

หากการฉลองวัดของเรา เราไม่ได้แก้บาป ไม่ได้รับศีล การฉลองความเชื่อก็ไร้ความหมาย เพราะเราฉลองความเชื่อของเรา เราจะต้องทำตนให้สมกับองค์อุปถัมภ์วัดของเรา นั่นคือ นักบุญอันดรูว์

นักบุญอันดรูว์ (รู้ไหมว่าหมายความว่าอะไร) ความหมายของชื่อก็คือ สมป็นชายชาติบุรุษ หรือ ผู้มีความกล้าหาญสมกับที่เป็นชายบุรุษ ก็คือ เป็นคนกล้าหาญ เป็นคนจริงจัง เป็นคนกระตือรือร้นในการเป็นพยานถึงพระคริสเจ้า นักบุญอันดรูว์เป็นน้องชายของนักเปโตร นักบุญอันดรูว์เป็นศิษย์ของยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง นักบุญอันดรูว์เป็นคนที่บอกกับพี่ชายว่า พระเยซูเจ้านี่แหละคือพระเมสสิยาห์ นักบุญอันดรูว์ถูกจับและถูกตรึงบนกางเขน แต่เป็นกางเขนแบบไขว้ หรือรูปอักษร X

นี่คือ แบบอย่างของความเชื่อขององค์อุปถัมภ์ของเรา เป็นสิ่งที่เราต้องเลียนแบบชีวิตของท่าน ในความกล้าหาญ ในการเป็นพยานถึงความเชื่อ ยืนยันด้วยชีวิตของท่าน ท่านเชื่อมั่นในพระเยซูเจ้า และก็ได้ดำเนินชีวิตตามความเชื่อนั้น

เราก็เช่นเดียวกัน ต้อง กล้าหาญ เด็ดเดี่ยวในการเป็นพยานด้วยความเชื่อ เพื่อให้ความเชื่อของเราเติบโตและเข้มแข็ง

ความเชื่อของเราเปรียบเหมือนกับต้นไม้ ที่ต้องเจริญเติบโตขึ้นทุก ๆ วัน จนกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรง มีกิ่งก้านใบที่สวยงาม และเป็นที่อาศัยของทุกสิ่งได้ ดังเช่นที่พระเยซูเจ้าเปรียบเหมือนกับเมล็ดมาสตาร์ด ที่เป็นเมล็ดเล็ก ๆ แต่เมื่อเติบโตกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ จนนกในอากาศมาทำรัง

ความเชื่อของเราก็จะต้องเป็นเช่นนี้ ค่อย ๆ เติบโต ในชีวิตประจำวัน ค่อย ๆ พัฒนา เจริญงอกงาม กลายเป็นความเข้มแข็งของชีวิต สามารถถ่ายทอดความเชื่อที่ถูกต้องไปยังลูกหลานของตนเองได้

พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้เทศน์ ในวันเปิดปีแห่งความเชื่อว่า ความเชื่อของคริสตชนเป็นการพบปะกับที่แท้จริงกับพระคริสตเจ้า เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์  และพระองค์ได้เทศน์อีกตอนหนึ่งว่า ศูนย์กลางความเชื่อของคริสตชนคือ พระเยซูคริสตเจ้า ซึ่งเราจะต้องประกาศไปยังเพื่อนพี่น้องของเรา

พี่น้องที่เคารพรัก นี่คือ สิ่งที่เราต้องตระหนัก นี่คือสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจ และต้องนำมาปฏิบัติเพื่อให้กลายเป็นชีวิตของเรา
               
ความเชื่อเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว หมายความว่าอะไร?

ความเชื่อเป็นเรื่องส่วนบุคคล ก็หมายถึง แต่ละบุคคลถูกเรียกจากพระเจ้าให้มาเป็นบุตรของพระเจ้า โดยผ่านทางศีลล้างบาป แต่ละบุคคลต้องเรียนรู้ ต้องเรียนคำสอน เพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เพื่อจะได้เชื่อในพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่เชื่อในพระเจ้าแบบงมงาย หรือคิดเอาเอง แต่ละบุคคลต้องลงมือปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระ ด้วยตัวเอง ไม่มีใครสามารถทำแทนกันได้ เช่น การทำบุญ การทำความดี การเข้าวัดเข้าวา เป็นต้น ไม่มีใครทำแทนกันได้ เราต้องลงมือทำด้วยตนเอง แต่ละบุคคลต้องสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าแบบตัวต่อตัวด้วยการมามิสซา ด้วยการสวดภาวนา เป็นต้น


ความเชื่อไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ก็หมายความว่า เราจะแสดงออกถึงความเชื่อเพียงลำพัง เพียงคนเดียวไม่ได้ ความเชื่อเป็นการแสดงออกเป็นกลุ่มชน หรือ เป็นส่วนรวม นั่นคือ ผู้มีความเชื่อจะสรรเสริญ ขอบคุณพระเจ้าเพียงลำพังไม่ได้ เพราะผู้มีความเชื่อได้ชื่อว่า เป็นกลุ่มคริสตชน เป็นกลุ่มผู้มีความเชื่อ เป็นการเรียกร้องให้แสดงออกถึงความเชื่อแบบเป็นกลุ่มและหมู่คณะ เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งในเดียวกัน เราจะสังเกต กิจกรรมคาทอลิกของเรา เน้นการทำเป็นกลุ่ม เช่น การมาร่วมมิสซา เรามากันเป็นกลุ่ม เป็นหมู่คณะ เพื่อร่วมกันสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้า การประชุมกลุ่มคริสตชนพื้นฐาน ไม่ได้ทำเพียงคนเดียว แต่เราต้องทำเป็นกลุ่ม เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

พี่น้องที่เคารพรัก การแสดงออกถึงความเชื่อในชีวิตประจำวันของเราเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพราะว่า ยิ่งเราแสดงออกในความเชื่อชัดเจนมากเท่าไร เราก็จะยิ่งเข้าใจและรักพระเจ้ามากเท่านั้น พระสันตะปาปาเบเนดิกที่ 16 ตรัสว่า ความเชื่อเติบโตขึ้น ด้วยการดำเนินชีวิตตามความเชื่อ

การแสดงออกถึงความเชื่อ โดยเฉพาะในครอบครัวนั้นเป็นสิ่งที่พระศาสนจักรเรียกร้อง และส่งเสริมสนับสนุนให้บรรดาครอบครัวทุกครอบครัวได้กระทำ..นั่นคือ การมาวัดเป็นครอบครัว พ่อแม่ลูก  ตายายหลาน มาวัดมาวา มาแก้บาปรับศีลด้วยกัน นี่คือ การแสดงออกถึงความเชื่อของครอบครัวเราอย่างแท้จริง และความเชื่อนี่แหละที่จะทำให้ครอบครัวของเราไม่มีวันตาย ความเชื่อจากตายาย จากพ่อแม่ สู่ลูกหลานนี่แหละที่จะทำให้ความเชื่อในครอบครัวของเรามีชีวิตชีวา ฉะนั้น การปฏิบัติศาสนกิจต่าง ๆ อย่าลืมนำลูกหลานมาร่วมด้วย เพื่อเป็นการถ่ายทอดความเชื่อให้เติบโตต่อไป


วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สมโภชพระเยซูคริสตเจ้ากษัตริย์สากลและจักรวาล2012


บทเทศน์







พี่น้องที่เคารพรัก ในวันพระศาสนจักรทำการสมโภชพระเยซูคริสตเจ้ากษัตริย์แห่งสากลจักรวาล เป็นอาทิตย์สุดท้ายของปีพิธีกรรมปี B สัปดาห์หน้าเราก็จะเข้าสู่เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตสมภพปี C ในวันสมโภชนี้มาจากพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 ที่ได้ประกาศการสมโภชให้เป็นทางการของพระศาสนจักร เป็นแสดงออกถึงความเชื่ออย่างเป็นทางการว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นกษัตริย์แห่งสากลจักรวาล นั่นหมายความว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ปกครองทั่วจักรวาล เป็นการสะท้อนให้ชัดเจนยิ่งขึ้นในบทข้าพเจ้าเชื่อที่ว่า ข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงสรรพานุภาพ ทรงเนรมิตฟ้าดิน... สะท้อนให้เห็นความหมายที่ว่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่อยู่นอกเขตการปกครองของพระเจ้า ไม่มีใครที่อยู่นอกอาณาจักรของพระองค์

พระวาจาของพระเจ้าในอาทิตย์นี้ ในบทอ่านทั้งสามบทได้พูดถึงการเป็นกษัตริย์ของพระเยซูเจ้า

ในหนังสือประกาศกดาเนียล นิมิตที่ท่านเห็นนั้นก็คือ ท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรแห่งมนุษย์ ได้รับมอบอำนาจปกครอง สิริรุ่งโรจน์และอาณาจักร นั่นหมายถึง พระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ กษัตริย์ที่เปี่ยมด้วยอำนาจ อำนาจที่ไม่มีวันสิ้นสุดและไม่มีใครที่มีอำนาจเทียบได้กับพระองค์

ในหนังสือวิวรณ์ นักบุญยอห์นได้เป็นพยานยืนยันว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นคนแรกที่กลับคืนพระชนมชีพ พระองค์ทรงเป็นประมุขของบรรดากษัตริย์ทั้งมวล พระองค์ทรงเป็นอัลฟาและโอเมกา ทรงเป็นปฐม และบั้นปลาย นี่คือพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเยซูคริสตเจ้า

ในพระวรสาร ปิลาตถามพระเยซูเจ้าว่า ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ? และพระเยซูเจ้าทรงประกาศพระองค์เองว่า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ พระองค์เกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์ และอาณาจักรของพระองค์ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ พระองค์มาในโลกเพื่อเป็นพยานถึงความจริง ผู้ใดอยู่ฝ่ายความจริงก็ฟังพระองค์

บทอ่านทั้งสามบทได้พูดถึงพระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาในโลกเพื่อปกครองมนุษย์ เพื่อทำให้มนุษย์พบกับความจริงของพระเจ้า
พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ตรัสว่าเรารู้ดีว่า ความจริงมีอยู่ในพระเจ้า ในพระองค์เอง เหมือนกับเป็นเอกลักษณ์ของพระองค์

ความเป็นกษัตริย์ของพระเยซูเจ้าคือ การรับใช้ การมอบตนเอง การอุทิศตนเอง
เราพบว่า ตลอดพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงแสดงออกถึงความเป็นกษัตริย์ ในการปกครอง ในการเป็นผู้นำ สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์หรือแนวทางในการดำเนินชีวิตของพระองค์ก็คือ การรับใช้ การมอบตนเอง การอุทิศตนเองเพื่อคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำอัศจรรย์ต่าง ๆ การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ การให้อภัยบาป การอยู่กับทุกคน เป็นการแสดงออกถึงการรับใช้และอุทิศตนเอง
อาณาจักรของพระเจ้าเป็นอาณาจักรแห่งความรัก ไม่ใช่อาณาจักรแห่งอำนาจ การใช้กำลัง
อาณาจักรของพระองค์คือ ความรัก เพราะตั้งแต่เริ่มต้น พระองค์ทรงรักมนุษย์ พระองค์ทรงรักโลก เมื่อมนุษย์มองไม่เห็นความรักของพระเจ้า หรือ มองความรักของพระเจ้าผิดไป พระเจ้าส่งพระบุตรของพระองค์ลงมาเป็นความรักของพระเจ้า สร้างอาณาจักรแห่งความรักกันและกัน  พระเจ้าทรงอยู่ในจิตใจมนุษย์ไม่ใช่อำนาจแบบความรุ่นแรง หรือ การใช้กำลัง อาณาจักรของพระองค์เป็นความรัก และความเป็นพี่น้องกัน
          อาณาจักรของพระเจ้าเป็นอาณาจักรแห่งความจริง ไม่ใช่อาณาจักรแห่งความโกหกหรือความเท็จหลอกลวง
อาณาจักรของพระเจ้าเป็นอาณาจักรแห่งความดีงาม ไม่ใช่ความเกลียดชัง
อาณาจักรของพระเจ้าเป็นอาณาจักรแห่งความยุติธรรม ไม่ใช่ การแก้แค้นหรือเอารัดเอาเปรียบหรือการเห็นแก่ตัว
พระเยซูเจ้าพระองค์ทรงมอบชีวิตของพระองค์ให้กับเรา และให้อย่างสมบูรณ์ ให้ทุกย่างสิ่งทุกอย่าง จนถึงกับหลั่งเลือดเพื่อช่วยเราให้รอด เพื่อไถ่กู้เรา พระองค์ไม่ใช่กษัตริย์ที่แข็งแรงและทรงอำนาจ ไม่ใช่กษัตริย์ที่กดขี่และข่มเหง ไม่ใช่กษัตริย์ที่นำความทุกข์ยากลำบากมาให้ แต่เป็นกษัตริย์ที่ยอมรับเอาความทุกข์ทรมานไว้ที่ตนเองที่เชิงกางเขน
นี่คือตัวอย่าง แบบอย่างสำหรับเราคริสตชนทุกคน
อำนาจที่กษัตริย์แห่งสากลจักรวาลใช้ในการปกครองก็คือ อำนาจแห่งความรัก และการรับใช้
สำหรับเราคริสตชน เรามีส่วนร่วมในชีวิตและพันธกิจของพระเยซูเจ้าองค์กษัตริย์นี้ โดยผ่านทางศีลล้างบาป เรามีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกับพระองค์ ในการทำหน้าที่เป็นสงฆ์ เป็นกษัตริย์ และเป็นประกาศก
การเป็นกษัตริย์แห่งศีลล้างบาป เรารับพันธกิจและวิสัยทัศน์ของพระเยซูเจ้า นั่นคือ การรัก และรับใช้ผู้อื่น ในครอบครัวของเรา ครอบครัวหนึ่งเป็นเหมือนกับอาณาจักรหนึ่ง ครอบครัวหนึ่งมีพ่อแม่ลูก แต่ละคนมีหน้าที่ของตนเอง แต่ละคนมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ บิดาทำหน้าที่บิดา คือทำงาน ดูแล ปกป้อง เอาใจใส่ สร้างความรักให้เกิดในครอบครัว มารดาทำหน้าที่มารดา ทำงาน ดูแล ห่วงใย และสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน บุตรทำหน้าที่บุตรในการเคารพเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอน สร้างความเป็นน้ำหนึ่งในเดียวกัน
ดังนั้น อาณาจักรแห่งความรักและรับใช้จึงเกิดขึ้นในครอบครัวของเรา