BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

บทเทศน์: ปิดปีการศึกษา 2554


วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555
ที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟ ท่าแร่ มีพิธีบูชาขอบพระคุณ โอกาสปิดปีการศึกษา


บทเทศน์

ในวันนี้ เรามาร่วมจิตร่วมใจกันในพิธีมิสซา โมทนาคุณพระเจ้าในเช้าวันนี้ 
ให้เราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกันเพื่อวอนขอพระหรรษทานจากพระเจ้า 
เพื่อพระองค์จะได้ประทานพระหรรษทานที่จำเป็นแก่ชีวิตของเรา

ทุกปีเรามาร่วมกันในพิธีมิสซาปิดปีการศึกษา มี 3 คำที่อยากจะบอก อยากจะให้ข้อคิดแก่เรา
            หนึ่ง       การขอบคุณ          
             ขอบคุณพระเจ้า        มิสซาปิดปีการศึกษาที่เราทำมาทุกปีนั้น 
อยากจะให้เราได้รู้จักของคุณพระเจ้าที่พระองค์ดูแลเรา รักษา และปกป้องเรา 
เราขอบคุณที่พระอวยพรเรา ไม่ให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ให้เราเกิดอุบัติเหตุ (ตกบันได หัวแตก 
ลื่นล้มในห้องน้ำ กระดูกหัก เดินทางไปมาโรงเรียนอย่างปลอดภัยทุกวัน) เราต้องขอบคุณพระเจ้า  
          ขอบคุณคณะเซอร์ ผู้บริหารจัดการ ขอบคุณครูบาอาจารย์ ที่พร่ำสอนเราให้มีความรู้ 
ที่คอยบอกเตือนเรา และแนะนำสิ่งดีดีให้กับเรา และที่คอยเอาใจใส่ชีวิตของเรา 
ทำให้เราหลุดพ้นจากความโง่ ทำให้เราได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่หลายต่อหลายสิ่ง 
ทำให้เราเติบโต พัฒนาในทางด้านความคิด ความรู้ ทักษะต่าง ๆ  พูดง่าย ๆ 
ก็คือ ทำให้เราเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น รู้จักความดีมากขึ้น 
         ขอบคุณเพื่อน สุดท้ายที่เราต้องขอบคุณ คือ ขอบคุณเพื่อน ๆ ของเรา ที่อยู่กับเรา 
อยู่ในห้องเดียวกัน เรียนด้วยกัน เล่น กิน พูดคุยด้วยกัน แม้ว่า เพื่อน ๆ ของเราอาจจะมีลักษณะที่แตกต่างกับเรา 
มีลักษณะที่แตกต่างกัน (บางคนหน้าตาสวย บางคนหล่อ บางคนขาว บางคนอ้วน เตี้ย ดำ บางคนดัดฟัน) 
แต่นี่คือ เพื่อนของเรา ขอบคุณเพื่อนของเราที่อยู่ด้วยกัน ที่เคียงข้างกันมาเสมอตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา
         สอง การขอโทษ  
        เราต้องรู้จักขอโทษ คณะเซอร์ผู้บริหาร คณะครูบาอาจารย์ เพื่อน ๆ ของเราด้วย 
ในสิ่งที่เราได้ผิดไป บางครั้งทำให้สถาบันแห่งนี้เปื้อนไปด้วยการกระทำของเรา 
โดยเฉพาะการกระทำที่ไม่ดี ไม่งาม เช่น การโดดเรียน การมั่วสุม
ขอโทษครูอาจารย์ ที่เราไม่ค่อยได้ตั้งใจเรียน ทำให้ครูต้องดุว่า ด่าซ้ำแล้วซ้ำอีก 
ที่เราคุยกันในห้องเรียน แทนที่จะตั้งใจฟัง ตั้งใจเรียน 
ขอโทษเพื่อน ๆ ในหลายสิ่งที่เราทำผิดไป พาเพื่อนเสีย ไม่บอก ไม่เตือนกันเมื่อทำผิด 
ที่หลายครั้งเราไม่ได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน..
        สาม  คำสัญญา 
        สัญญาด้วยความลูกผู้ชาย สัญญาด้วยความเป็นลูกผู้หญิง..
สัญญาด้วยความตั้งใจว่า เราจะนำความดี ความรู้ คุณธรรมที่เราได้รับในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ 
นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อครอบครัว ชุมชน หมู่บ้านของเรา.. 
ตั้งใจว่า เราจะเป็นเด็กดีตลอดเวลา..  

สามสิ่งนี้ อยากจะให้เราจดจำและตระหนักในหัวใจของเราเสมอ


วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วันพุธรับเถ้า 2012

วันนี้เป็นวันพุธรับเถ้า..

เป็นวันเริ่มต้นของเทศกาลมหาพรต เพื่อเตรียมจิตเตรียมใจของเรา เข้าสู่การสมโภชที่ยิ่งใหญ่ที่สุด..
นั่นคือ การสมโภชปัสกา คือ การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า

คริสตชนมีเวลา 40 วันเพื่อเตรียมตัว เตรียมจิตใจ เตรียมวิญญาณของตนเอง
เพื่อให้เหมาะสมกับการเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่นี้..

วันพุธรับเถ้า..

เป็นวันเริ่มต้น..โดยการมองดูชีวิตของตนเอง ผ่านทางเถ้า..ที่เราได้รับ
สะท้อนตั้งแต่ปฐมกาล..
สะท้อนต้นกำเนิดของชีวิต
สะท้อนความจริงของชีวิตมนุษย์

ท่านมาจากดิน ท่านก็จะกลับเป็นดินดังเดิม
มนุษย์มาจากเถ้าธุลี ก็จะต้องกลับไปเป็นอย่างเดิม

พึงสำนึกว่า ตนเองไม่มีอะไรเลย
สิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันที่ถือยึดมั่นนั้น เป็นการหลอกลวง
เดี๋ยวมี เดี๋ยวก็หายไป

ต่อหน้าพระเจ้า มนุษย์เป็นเพียงว่างเปล่า
ต่อหน้าพระเจ้า มนุษย์เป็นเพียงสิ่งสร้าง

ต่อหน้าพระเจ้า มนุษย์เป็นที่รักของพระองค์
ต่อหน้าพระเจ้า มนุษย์มีค่ามากมาย
ต่อหน้าพระเจ้า มนุษย์เป็นบุตรของพระองค์

แต่...บาป

ทำให้มนุษย์ต้องตาย
ทำให้มนุษย์ทรยศ
ทำให้มนุษย์หักหลัง
ทำให้มนุษย์ปฏิเสธ
ทำให้มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงพระเจ้าได้

ทำอย่างไรดี???

ก็จง หลีกเลี่ยงบาป และกลับมาหาพระเจ้า


        จงกลับใจ
               จงฉีกใจของท่าน มิใช่ฉีกเสื้อผ้า
                จงกลับมาหาพระเจ้าด้วยใจจริง..

          นี่แหละคือวันและเวลาแห่งการช่วยให้รอดพ้น
          นีแหละคอวันและเวลาที่เหมาะสม


เมื่อทำทาน อย่าให้มือซ้ายรู้ว่ามือขาวทำอะไร
เมื่อท่านภาวนา จงเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู
เมื่อท่านจำศีลอดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้าหมอง

ฉะนั้นตลอดเทศกาลมหาพรตนี้ จึงเป็นการมองดูตัวเอง มองดูการกระทำของตัวเอง
นอกจากนั้น เป็นการเฝ้าระวังความคิด จิตใจ และการกระทำของตนเองด้วย
นอกจากนี้ จะต้องสร้างเกราะป้องกัน สร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อรักษาความดีในตัวเองด้วย

เทศกาลมหาพรต..นอกจากจะมองตัวเองแล้ว เราจะต้องมองคนอื่นด้วย
มองตัวเองด้วยความเคารพ และมองดูคนอื่นด้วยความรัก..
กระทำดีต่อตัวเอง และมีน้ำใจต่อคนอื่น..







วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

บทเทศน์เตรียมจิตใจฉลองวัดสุขเจริญ



บทเทศน์เตรียมจิตใจฉลองวัดแม่พระกวาดาลูเป (Madonna della Guadalupe)




พี่น้องที่เคารพรัก ในค่ำวันนี้เป็นวันเตรียมจิตเตรียมใจของชาวเราผู้มีความเชื่อ มีความศรัทธาในพระเจ้า เพื่อว่า ในวันพรุ่งนี้เราจะได้เฉลิมฉลองความเชื่อของเราอย่างยิ่งใหญ่

ก่อนอื่น อยากจะทำความเข้าใจก่อนว่า เมื่อเราพูดถึงการฉลองวัด เราคิดถึงอะไร?

ประการแรก คือ องค์อุปถัมภ์ของวัด ซึ่งก็เท่ากับเป็นองค์อุปถัมภ์ของชีวิตคริสตชนของเราด้วย วัดของเราเป็นวัดที่อยู่ภายใต้การดูแล เอาใจใส่ของแม่พระแห่งกัวดาลูเป  แม่พระทำอะไรบ้าง
1. ประจักษ์มาหาชายอีนเดียแดงคนหนึ่งชื่อ ดิเอโก เขาเป็นคริสตชนใหม่ เพิ่งรับศีลล้างบาป และเขาก็เป็นหม้ายด้วย เนื่องจากภรรยาเพิ่งจะเสียชีวิต แต่ดิเอโกนี้ เป็นคนที่มีความศรัทธามาก เขาจะสวดภาวนาบ่อย ๆ ทั้งส่วนตัวและในการร่วมมิสซา วันหนึ่งขณะที่เขากำลังเดินทางไปร่วมมิสซานั้นเอง ระหว่างทางเขาได้ยินเสียงดนตรีที่ดังขึ้นมาอย่างไพเราะ เขามองดู ก็เห็นเมฆส่องแสงเป็นสีรุ้งออกมา และเขาก็ได้ยินเสียงเรียกให้ขึ้นมาบนภูเขา เมื่อปีนขึ้นไป เขาก็พบสตรีผู้หนึ่ง ถามเขาว่า จะไปหน? เขาก็ตอบว่า จะไปร่วมมิสซา สตรีนั้นก็บอกให้เขาไปบอกพระสังฆราชให้สร้างวิหารที่นี่ เพราะแม่พระจะฟังคำภาวนาของทุกคนที่มาวอนขอในวิหารหลังนี้ เมื่อไปบอกแล้ว พระสังฆราชก็สองจิตสองใจ เพราะอาจจะมาจากปีศาจก็ได้ จึงปฏิเสธไป และให้ดิเอโก ขอเครื่องหมายว่า พระนางคือ แม่พระจริง ๆ  แม่พระได้นัดพบกับดิเอโก แต่ปรากฏว่า เมื่อกับไปถึงบ้านลุงของดิเอโกป่วยหนัก เขาต้องรีบไปหาหมอจนลืมนัดกับแม่พระ ในวันต่อมาเมื่อเขามาพบแม่พระ เขาก็ขอโทษที่ไม่ได้มาตามนัด แม่พระตรัสว่า

ฟังนะ ลูกรัก ลูไม่ต้องเป็นห่วงกังวลด้วยสิ่งใด ไม่ต้องกลัวการป่วยหรือความทุกข์
เราผู้เป็นมารดาของลูกอยู่ที่นี่มิใช่หรือ?
ลูกไม่ได้อยู่ภายใต้ความอารักขาคุ้มครองของแม่หรือ?
แม่มิได้เป็นผู้รับผิดชอบลูกด้วยหรือ?
ลูกยังต้องการอะไรอีก?
ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการป่วยของลุง เขาจะไม่ตาย รู้ไว้เถิดว่า เวลานี้เขาสบายดีแล้ว
  
แม่พระก็บอกให้ดิเอโกไปเก็บดอกไม้บนภูเขา เขาก็และเก็บดอกกุหลาบใส่ผ้าคลุมของตัวเองมาให้แม่พระ แล้วแม่พระก็จัดเรียงดอกกุหลาบนั้น แล้วบอกให้นำไปให้พระสังฆราชดู เมื่อไปถึงคนรับใช้ไม่ยอมให้เข้าพบ และเห็นว่า ดิเอโก หอบอะไรมาด้วยก็อยากจะดู แต่ดิเอโกไม่ยอมให้ดู จึงมีการแย่งกัน และดิเอโกกลัวว่าดอกกุหลาบจะช้ำจึงเปิดให้ดู  สิ่งที่ปรากฏออกมาคือ ไม่มีดอกกุหลาบ แต่กลายเป็นรูปแม่พระปรากฏอยู่บนผ้าคลุมของดิเอโก คนใช้จึงวิ่งไปบอกพระสังฆราช และท่านก็ได้นำไปเก็บไว้ในวัด เพื่อถวายเกีรยติแด่แม่พระ
2. ผลที่ตามมาก็คือ การกลับใจ ของชาวอินเดียแดง ชาวแม็กซิโก นี่คืออัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้น แม่พระเป็นเสมือนผู้แพร่ธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแม็กซิโก 
ที่สุด ปี 1753 แม่พระแห่งกวาดาลูเปได้กลายเป็นองค์อุปถัมภ์ของชาติแม็กซิโก และพระสันตะปาปาปีโอที่ 10 ได้ประกาศให้เป็นองค์อุปถัมภ์ของทวีปลาตินอเมริกา

3.  สำหรับเราคริสตชน แม่พระเป็นแม่ของเรา แม่แห่งความเชื่อของเรา แม่พระที่อยู่ใกล้ชิดกับเรา แม้ในยามที่เราอ่อนแอ หรือ เข้มแข็ง แม่พระคอยเป็นกำลังให้กับเรา  การสวดภาวนาสายประคำ เป็นการแสดงออกถึงความรักต่อแม่พระที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง เมื่อเราสวดสายประคำ แม่พระก็ฟังคำภาวนาของเรา ฟังเสียงของแม่พระที่ตรัส กับดิเอโก และแน่นอนว่า ตรัสกับเราด้วย 
"ฟังนะ ลูกรัก ลูไม่ต้องเป็นห่วงกังวลด้วยสิ่งใด 
ไม่ต้องกลัวการป่วยหรือความทุกข์
เราผู้เป็นมารดาของลูกอยู่ที่นี่มิใช่หรือ?
ลูกไม่ได้อยู่ภายใต้ความอารักขาคุ้มครองของแม่หรือ?
แม่มิได้เป็นผู้รับผิดชอบลูกด้วยหรือ?
ลูกยังต้องการอะไรอีก?"



ประการที่สอง คือ การฉลองความเชื่อ มีความหมายเท่ากับการเฉลิมฉลอง สรรเสริญพระเจ้า ก็มีค่าเท่ากับการฉลองพระเจ้า เพราะว่าสิ่งที่เราเชื่อก็คือ พระเจ้า เมื่อเราฉลองความเชื่อทุกปี ก็เท่ากับเป็นการบอกตัวเองว่า เราเชื่อในพระเจ้า ปีนี้เรายังเชื่อในพระเจ้า ปีนี้เรายังมีพระเจ้าในชีวิตของเรา
คล้าย ๆ เป็นการรื้อฟื้นศีลล้างบาปทั้งหมู่บ้าน คล้ายเป็นการรื้อฟื้นความเชื่อที่เรามี ที่เราได้รับมาจากบรรพบุรุษ ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ของเรา ฉะนั้นการฉลองวัด หรือ การฉลองความเชื่อจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก พระศาสนจักรในเมืองไทยจึงเน้นให้มีการทำเช่นนี้ ทุกปี เพื่อเป็นการรื้อฟื้น  กระตุ้น และให้เราตระหนักว่า เราเป็นคริสตชน เราเป็นผู้มีความเชื่อ เราเป็นลูกของพระเจ้า
การฉลองความเชื่อนี้ ไม่ใช่แค่ความเชื่อของเราส่วนตัว แต่เป็นความเชื่อของครอบครัวของเรา แต่เป็นความเชื่อของชุมชนของเรา หรือ หมู่บ้านของเรา
การฉลองความเชื่อ จึงมี 3 ระดับ คือ ระดับส่วนตัว  ระดับครอบครัว  และระดับหมู่บ้าน ซึ่งจะต้องควบคู่และไปด้วยกัน จากความเชื่อส่วนตัว ก็ขายออกไปสู่ครอบครัว จากครอบครัวก็กระจาย และแสดงออกทางการร่วมมือกับหมู่บ้าน
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่ใช่ว่า สามี หรือ ภรรยา มาวัด มาแก้บาป มารับศีลฯ เพียงคนเดียว
ไม่ใช่ว่า คนหนึ่งมาวัด อีกคนหนึ่งอยู่บ้าน เฝ้าบ้าน
ไม่ใช่ว่า พ่อแม่มาวัด ส่วนลูกจะไปไหนก็ไป จะอยู่ที่ไหนก็ไม่สนใจ
ความเชื่อในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ การมาวัดมาวาด้วยกันเป็นครอบครัว เป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นในการหล่อเลี้ยง และหล่อหลอมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ และลูก
เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ที่ต้องเอาใจใส่ต่อความเชื่อของลูก ๆ (บอกลูกให้ไปวัดไปวา สอนลูกให้เข้าวัดเข้าวา เป็นตัวอย่างแก่ลูกในการแก้บาป รับศีล) ต้องเอาใจใส่อย่างจริง ๆ จัง ๆ เด้อ? เพื่อความเชื่อของครอบครัวของเราจะได้คงอยู่เสมอและตลอดไป เพื่อความเชื่อที่เราได้รับมาจากพ่อแม่ หรือ บรรพบุรุษของเราจะได้ไม่ตาย แต่จะยังคงมีชีวิตอยู่ในบรรดาลูก ๆ หลาน ๆ ของเราสืบไป

เราจะเตรียมจิตใจอย่างไร?
เตรียมตัวระยะยาว             หมายถึง การปฏิบัติศาสนกิจอย่างสม่ำเสมอ ด้วยความเอาใจใส่ ก็คือ การเข้าวัดเข้าวา ทุกวันอาทิตย์ ไม่ขึ้นกับฤดูกาลของการทำมาหากิน เช่น การมาวัดวันอาทิตย์ไม่ขึ้นกับฤดูการทำนา ฤดูการเกี่ยวข้าว หรือฤดูกาลกรีดยาง เป็นต้น  การสวดภาวนาเป็นประจำ (ในที่นี้หมายถึงการคิดถึงพระเจ้า การวอนขอพระเจ้า)
นอกจากนี้ ยังหมายถึง การดำเนินชีวิตให้อยู่ในศีลในพร ในหลักธรรมคำสอนของพระเจ้า นั่นคือ ถือความรัก มีความซื่อสัตย์ และความยุติธรรมในการดำเนินชีวิต กับเพื่อนพี่น้อง กับสามี ภรรยา หรือ ลูก ๆ ของตนเอง ช่วยเหลือจุนเจือซึ่งกันและกัน เป็นต้น
การเตรียมตัวระยะเข้มข้น หมายถึง การปฏิบัติตนเป็นคริสตชนอย่างเข้มข้น โดยอาศัยการร่วมมือกับทางวัด เช่น ก่อนการฉลองวัด หรือ ฉลองความเชื่อ ก็เตรียมจิตใจ รับศีลอภัยบาป ฟังเทศน์เตรียมจิตใจ รับศีลมหาสนิทด้วยใจศรัทธา เป็นต้น
ที่สำคัญคือ รักษาความบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจาใจ และการกระทำ นั่นคือ กาย ก็อยู่ในสถานที่เหมาะสม วาจาก็เปล่ง พูดออกมาแต่สิ่งดีดี ใจก็คิด หรือปรารถนาแต่ความดีงาม และการกระทำก็พึงระวังไม่ให้กระทำผิดทั้งต่อตัวเอง ต่อครอบครัว และต่อเพื่อนพี่น้อง..
นี่แหละคือ การเตรียมฉลองวัด หรือ ฉลองความเชื่ออย่างถูกต้อง และมีคุณค่ามากที่สุด..

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ไตร่ตรอง..ความรัก

ความรัก หรือ???

เป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างไม่มีขอบเขตในตัวของเรามนุษย์ทุกคน
เป็นสิ่งที่มีอยู่ในหัวใจของมนุษย์ทุกคน
เป็นสิ่งที่ทุกคนกระหาย ปรารถนา และต้องการครอบครอง

หัวใจมนุษย์ที่ไร้ขอบเขต แต่เต็มไปด้วยความรัก
แต่แรกเริ่ม..ความรักไม่มีขอบเขต เพราะจุดกำเนิดมาจากผู้ไม่มีขอบเขต

ความสมบูรณ์ของความรัก
ไม่ใช่มีในตัวเอง แล้วก็สมบูรณ์แล้ว

ความสมบูรณ์ของความรัก
ต้องหลอมรวมกับความรักที่อยู่นอกตัวเองเสมอ
ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงแสวงหาความรัก กระหายหาความรัก และพยายามไขว่คว้าความรัก
จากสิ่งที่อยู่นอกตัวเอง

แม้ว่า มนุษย์จะรักตัวเองมากมาย และมากกว่าสิ่งอื่นใดก็ตาม
ก็ไม่อาจทำให้ความรักของตัวเองสมบูรณ์ได้
ความรักจึงต้องเปิดตัวเองออกไป สู่โลก สู่คนอื่น สู่ภายนอก

ความรักไม่เคยที่จะหยุดนิ่ง
แต่มีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ
เคลื่อนจากบุคคลหนึ่ง ไปยังอีกบุคคลอื่น สิ่งอื่น ที่อยู่รอบตัวเอง
เคลื่อนจากใจของคนหนึ่ง ไปยังใจของอีกคนหนึ่ง เพื่อเป็นหนึ่งเดียวกัน

ไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าความรัก อีกแล้ว..
มนุษย์ปรารถนาที่จะให้ และปรารถนาที่จะแบ่งปันความรักของตนเอง กับ บุคคลอื่น
มนุษย์พยายามเสนอความรักของตนเองต่อคนอื่น เพื่อก่อให้เกิดการยอมรับ
มนุษย์พยายามรับความรักจากคนอื่น เพื่อต้องการความเป็นหนึ่งเดียวกัน

และความรักเท่านั้น ที่จะรวมสองคนให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้

ความรักไม่ต้องการสิ่งใด นอกจากความรัก
และไม่ปรารถนาสิ่งใด นอกจากความรัก

ความรักในมนุษย์จะไม่อิ่ม และไม่เคยพอ
หากรักนั้นยังไม่สมบูรณ์

และแน่นอนว่า ความรักของมนุษย์จะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อ มนุษย์รักพระเจ้า
และมนุษย์รักกันและกัน

นี่แหละความรักของมนุษย์
ที่ต้องเคลื่อนไหว ที่ต้องออกแรง และทีต้องแสวงหาเสมอ

ยิ่งรัก ก็ยิ่งได้เพิ่มมากขึ้น
ยิ่งแบ่งปัน ความรักก็ยิ่งสูงขึ้น
ยิ่งให้ความรัก ก็ยิ่งกว้างมากขึ้น
ที่สุด เมื่อทุกคนรัก.. โลกก็เต็มไปด้วยความรักซึ่งกันและกัน

โลกเต็มไปด้วยความรัก..นี่แหละคือพระอาณาจักรของพระเจ้า..

อาณาจักรแห่งความรัก





วันวาเลนไทน์ 2012


บทเทศน์วันวาเลนไทน์


พี่น้องที่เคารพรัก วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ เป็นวันที่คนส่วนใหญ่พากันชื่นชมยินดีกับความรัก
เป็นวันที่คนส่วนใหญ่พูดถึงความรัก 
เป็นวันที่คนส่วนใหญ่คิดถึงเรื่องความรัก 
โดยเฉพาะคนที่ถือว่าตัวเองเป็นวัยรุ่น เป็นเยาวชน 
หรือแม้แต่เป็นเด็กก็ยังรู้สึกถึงความรักในวันนี้ด้วยเช่นกัน

หลายคนนิยามความรักไปต่าง ๆ นานา
บางคนนิยามว่า ความรักคือ การเสียสละ ความรักคือการให้ 
ก็พยายามให้สิ่งต่าง ๆ แก่คนที่ตนเองปรารถนาจะให้ ซึ่งมีความหมายสำหรับผู้ให้และผู้รับ
สิ่งที่นิยมให้แก่กันก็คือ  ดอกไม้ เป็นของยอดฮิตที่สุดในวันวาเลนไทน์
เพราะความหมาย ก็คือแทนคำว่ารัก ได้ดีที่สุด   
กุหลาบแดง  กุหลาบขาว หมายถึง ความรักที่บริสุทธิ์งดงาม
ส่วนคนที่ให้ กุหลาบสีเหลือง คือการแทนความห่วงใยให้กัน
และแทนมิตรภาพระหว่างเพื่อน ลิลลี่สีขาว ดอกคาร์เนชั่นสีแดง  
ช็อกโกแลต   แทนความรัก
การ์ด แทนความห่วงใยและรัก  
ตุ๊กตา   แทนคำว่ารักและชอบ  
กรอบรูป  แทนความคิดถึงและผูกพัน  
น้ำหอม  แทนความห่วงใยและใกล้ชิดได้เป็นอย่างดี   
นี่คือความหมายที่หลายคนได้ให้แก่สิ่งของเหล่านี้

สำหรับเราผู้ซึ่งเป็นคริสตชน เราเห็นความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา
พระองค์ทรงส่งพระบุตร คือ พระเยซูเจ้าลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ 
และสิ่งที่มนุษย์ได้ทำกับพระองค์คือ การทรมาน การตรึงกางเขน
ซึ่งพระองค์ก็ยอม เพราะความรักที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ 
นี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าได้ทรงกระทำกับมนุษย์
พระองค์ไม่สอน พูดเพียงอย่างเดียว
แต่พระองค์ทรงทำเป็นตัวอย่างเพื่อให้มนุษย์ได้เห็น เข้าใจ และนำไปปฏิบัติได้

คำสอนของพระเยซูเจ้าเกี่ยวกับความรัก
            จงรักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ และจงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนกับรักตนเอง  
            จงรักแม้แต่ศัตรู จงภาวนาให้แก่ผู้ที่เบียดเบียนท่าน
            ถ้าท่านรักแต่คนที่รักท่าน ท่านจะได้รับประโยชน์อันใด 
            ถ้าท่านมีความรักต่อกัน ทุกคนจะรู้ว่า ท่านเป็นศิษย์ของเรา 
           ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่  กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย ฯลฯ

นักบุญเปาโลก็ได้บอกแก่เราในบทจดหมายของท่านเกี่ยวกับความรักแบบคริสตชนไว้ว่า
อย่าเป็นหนี้ผู้ใด นอกจากเป็นหนี้ความรักซึ่งกันและกัน  
ผู้ที่รักเพื่อนมนุษย์ก็ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว   
ความรักไม่ทำความเสียหายแก่เพื่อนมนุษย์   
ความรักเป็นการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างครบถ้วน
ความรักย่อมอดทน มีใจเอื้อเฟื้อ ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง
ไม่จองหอง  ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว
ไม่จดจำความผิดที่ได้รับ  ไม่ยินดีในความชั่ว แต่ร่วมยินดีในความถูกต้อง 
ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทนทุกอย่าง

จดหมายของน.ยอห์น  
ผู้ที่ปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ความรักของพระเจ้าในผู้นั้นย่อมสมบูรณ์   
ผู้ใดไม่มีความรัก ย่อมดำรงอยู่ในความตาย 
เรารู้จักความรัก จากการที่พระองค์ทรงสละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา
เราจึงควรสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้องเช่นเดียวกัน   
เราอย่ารักกันแต่ปาก เพียงด้วยคำพูดเท่านั้น
แต่เราจงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง 
ท่านที่รักทั้งหลาย เราจงรักกัน เพราะความรักมาจากพระเจ้า
และทุกคนที่มีความรัก ย่อมบังเกิดจากพระเจ้า และรู้จักพระองค์ 
ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก 
ความรักของพระเจ้าปรากฏให้เราเห็นดังนี้
คือ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรพระองค์เดียวมาในโลก
เพื่อเราจะได้มีชีวิตโดยทางพระบุตรนั้น 
ความรักอยู่ที่ว่าพระเจ้าทรงรักเรา
และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพื่อชดเชยบาปของเรา มิใช่อยู่ที่เรารักพระเจ้า 

ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราเช่นนี้ เราก็ควรจะรักกันด้วย 
ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า แต่ถ้าเรารักกันพระเจ้าย่อมทรงดำรงอยู่ในเรา
และความรักของพระองค์ในเราก็จะสมบูรณ์
ถ้าผู้ใดพูดว่า ฉันรักพระเจ้า แต่เกลียดชังพี่น้องของตน
ผู้นั้นย่อมเป็นคนพูดเท็จ เพราะผู้ไม่รักพี่น้องที่เขาแลเห็นได้
ย่อมไม่รักพระเจ้าที่เขาแลเห็นไม่ได้