BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555

64 ปีของผู้เป็นมารดา

วันที่ 24 มีนาคม เป็นวันเกิดของแม่

นานมาแล้ว และเนิ่นนานมาแล้ว ที่บรรดาลูก ๆ ไม่เคยจัดงานวันเกิดให้แม่..เลย..สักครั้ง..
มันเป็นความอ่อนแอ และความเปราะบาง
จนกลายเกิดเป็นช่องว่าง..ช่องว่างของเวลา
ช่องว่างที่เกือบจะกลายเป็นระยะห่าง..



แต่ความรักไม่เคยมีคำว่า..ช่องว่าง
หรือ ระยะห่าง
มีเพียงแค่ช่องเวลาเท่านั้น..





"ขอบคุณลูก ๆ เด้อ.."

ทำไมผู้เป็นแม่ต้องขอบคุณลูกที่ทำสิ่งต่าง ๆ ให้
ทำไมผู้เป็นแม่ต้องรู้สึกขอบคุณลูกที่จัดการสิ่งหลายสิ่งให้
ทำไมผู้เป็นแม่ต้องหลั่งน้ำตา..ในความดีใจที่ลูก ได้ทำ..

สมควรและเหมาะสมอย่างยิ่ง
ที่บรรดาลูก ๆ ต้องทำเพื่อแม่..
ที่บรรดาลูก ๆ ต้องให้ผู้เป็นแม่มีความสุข
ที่บรรดาลูก ๆ ต้องอุทิศตนเพื่อแม่..

"แม่เลี้ยงลูกมากี่ปีแล้ว..ลูกทำแค่นี้..มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ.."
คำพูดของพี่ชาย..

นานมาแล้ว..ที่แม่ต้องทนทุกข์และเจ็บปวด
นานมาแล้ว..ที่แม่ต้องเศร้าและทุกข์ใจ

อาศัยลูกนี่แหละ..ที่เป็นเสมือนการบรรเทาใจ..



บรรยากาศของความชื่นชมยินดี


ซึ่งนาน ๆ จะเกิดขึ้นทีหนึ่ง??


 บรรดาหลาน ๆ ที่มาแสดงความยินดี



 บรรดาญาติพี่น้องที่มาร่วมงาน






 มีแต่พี่น้องที่ใกล้ชิด..ที่มาด้วยใจ ด้วยความเป็นกันเองตามประสาชาวบ้าน



ด้วยจิตสำนึก และด้วยจิตวิญญาณแห่งการขอบคุณ

ทุกอย่างขอบคุณ..พระเจ้าเสมอ

ขอพระพรของพระเจ้า อยู่กับแม่เสมอ..






วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

บทเทศน์ตรียมจิตใจวัดนักบุญปีโอ ห้วยทราย

เทศน์เตรียมจิตใจ
22 มีนาคม 2012

ความเชื่อและชีวิตนิรันดร


เกริ่นนำ
พี่น้องที่เคารพรัก วันนี้เรามาร่วมจิตร่วมใจกันในพิธีบูชาขอบพระคุณพระเจ้า
สำหรับชีวิตของเราที่เราได้รับจากพระเจ้า
ขอบคุณพระองค์สำหรับพระหรรษทานต่าง ๆ ที่พระองค์ประทานให้กับเรา
ครอบครัวของเรา ให้เราทุกคนสรรเสริญพระเจ้า สรรเสริญความรักของพระองค์

พระเยซูเจ้าตรัสว่า เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต
ไม่มีใครไปหาพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา (ยน 14:6)

ดังที่พระองค์ได้ประทานอำนาจกับพระบุตรเหนือมนุษย์ทั้งมวล
เพื่อพระบุตรจะได้ประทานชีวิตนิรันดรกับทุกคนที่พระองค์ทรงมอบไว้ให้  ยน 17:2

ชีวิตนิรันดร คือ การรู้จักพระองค์  พระเจ้าแท้จริงแต่พระองค์เดียว
และรู้จักผู้ที่พระองค์ทรงส่งมาคือพระเยซูคริสตเจ้า ยน 17:3

เนื้อหา
การเตรียมจิตเตรียมใจในการฉลองวัดนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเราคริสตชน
ผู้ที่ชื่อว่า เป็นผู้ที่ติดตามพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าตรัสว่า

เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปหาพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา (ยน 14:6)

นี่แสดงให้เราเห็นว่า ผ่านทางพระเยซูเจ้าเท่านั้น เราจึงจะพบความจริง และพบชีวิตที่แท้จริง
และเราจะต้องเข้าหาพระเยซูเจ้าจริง ๆ จึงจะได้พบกับความสุขและชีวิตนิรันดร
ผู้ที่เชื่อในพระบุตรจะมีชีวิตนิรันดร   
ฉะนั้น ความเชื่อจึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตคริสตชนของเรา

การฉลองวัด เป็นการฉลองความเชื่อ และเนื้อหาของความเชื่อของเราก็คือ
เราเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว สามพระบุคคล พระบิดา พระบุตร และพระจิต
เราเชื่อในพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ เราเชื่อในชีวิตนิรันดร
และก็ยังมีอีก ในบทข้าพเจ้าเชื่อ..

ความเชื่อจึงเป็นแก่นของชีวิตคริสตชนของเรา ความเชื่อเป็นสิ่งมีชีวิต ที่เติบโตขึ้นได้
และสามารถตายได้ด้วยเช่นเดียวกัน
ความเชื่อจะเติบโตขึ้นได้ก็ต้องได้รับการหล่อเลี้ยงและการเอาใจอย่างดีจากผู้มีความเชื่อ
ใครคือผู้มีความเชื่อ? ก็คือ ผู้ที่ได้รับศีลล้างบาปทุกคน
เป็นผู้มีความเชื่อ หรือที่เรียกว่า คริสตชนนั่นเอง

ความเชื่อของเรากินอะไรเป็นอาหาร หรือ เราจะเลี้ยงความเชื่อของเราให้เติบโตได้อย่างไร?

อาหารของความเชื่อก็คือ พระวาจาของพระเจ้า และพระกายพระโลหิตของพระองค์ 
หากขาดอาหารสองสิ่งนี้แล้ว ความเชื่อของเราก็คงจะไม่เหลืออะไร?
เพราะพระวาจาของพระเจ้า เป็นอาหารแท้ และพระโลหิตของพระองค์เป็นเครื่องดื่มแท้
เราจะกินอาหารแท้นี้ได้อย่างสมบูรณ์ก็ในมิสซา หรือ พิธีบูชาขอบพระคุณ

เพราะการฟังพระวาจาของพระเจ้า แม้ว่าเราจะได้ยินผ่านทางหู
แต่เราก็ได้ยินได้ฟังด้วยหัวใจของเรา เราจึงสามารถนำไปปฏิบัติได้
หากเราได้ยินแค่หู เราจะไม่สามารถปฏิบัติตามพระวาจานั้นได้เลย เพราะใจของเราปฏิเสธ
เพราะฉะนั้น คนที่ปฏิบัติตามพระวาจาของพระเจ้าก็เป็นคนที่ได้ยิน
ได้ฟังพระวาจาของพระองค์ด้วยหัวใจ
สำหรับ พระกายและพระโลหิตของพระเจ้า เมื่อเรารับเข้ามาสู่ชีวิตของเราแล้ว
พระองค์จะทรงทำให้จิตใจของเราเป็นเหมือนกับจิตใจของพระองค์
ทำให้ตัวของเราละม้ายคล้ายกับพระองค์นับวันยิ่งมากขึ้น
ดังนั้น ความเชื่อของเราจะเติบโตและเข้มแข็งได้ต้องอาศัยพระวาจาและศีลมหาสนิท นั่นเอง

ความเชื่อของเรา..ตายได้.. เพราะความเชื่อเป็นสิ่งมีชีวิต
และทุกสิ่งที่มีชีวิตก็สามารถตายได้เช่นกัน
ความเชื่อตายได้ มีสาเหตุมาจากการขาดอาหารที่เหมาะสม หรือ
ที่มีคุณค่าพอสำหรับการหล่อเลี้ยงความเชื่อ
อาหารที่เหมาะสมและเลี้ยงความเชื่อให้เติบโตได้ ก็คือ พระวาจาและศีลมหาสนิท
อาหารที่ไม่เหมาะสมและสามารถทำให้ความเชื่อค่อย ๆ ตายลงไปได้ ก็คือ

ความชั่วทุกชนิด และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ความเชื่อตาย ก็คือ การไม่แสดงออกถึงความเชื่อ

คนที่กล่าวแก่เราว่าพระเจ้าข้า พระเจ้าข้านั้นมิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์
 แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าสู่สวรรค์ได้ (มธ 7:21)

อาจมีผู้ว่าบางคนมีความเชื่อ บางคนมีการกระทำ
ถ้าเป็นเช่นนั้นจงแสดงความเชื่อที่ไม่มีการกระทำให้ข้าพเจ้าเห็นเถิด
 แล้วข้าพเจ้าจะแสดงความเชื่อให้ท่านเห็นด้วยการกระทำ
ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวหรือดีแล้ว แม้พวกปีศาจก็เชื่อเช่นนั้น
และยังกลัวจนตัวสั่นด้วย (ยก 2:18)

การเมินเฉย
การผลัดวันประกันพรุ่ง
การดำเนินชีวิตไปวันวัน

เป็นอันตรายต่อความเชื่อ  เราจะต้องพยายามอย่าให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเราให้ได้


วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

บทเทศน์: เตรียมจิตใจฉลองวัดหนองห้าง




บทเทศน์ วัดแม่พระแห่งสันติภาพ หนองห้าง
ความเชื่อและการแบ่งปัน
15  มีนาคม   2012
              บทนำ
อุดมการณ์ หรือ เป้าหมายทุกอย่าง ย่อมมีการกระทำ
ความรัก หรือ ความเชื่อ ย่อมต้องแสดงออกมาภายนอก
หากมีเป้าหมาย แต่ไม่มีการกระทำ เป้าหมายนั้น ก็เป็นเพียงสิ่งที่ตั้งเอาไว้ สวยหรูเท่านั้น
หากมีความรัก แต่ไม่แสดงออกมาภายนอก ที่บ่งบอกว่ารัก ความรักนั้นก็เป็นเพียงสิ่งที่เร้นลับ
หากมีความเชื่อ แต่ไม่มีการแสดงออกมาภายนอก ความเชื่อนั้น ก็ตายแล้ว..

เนื้อหา 1: ความเชื่อ

ความสำคัญของความเชื่อ

เราที่รวมกันในวันแห่งนี้ เราได้ชื่อว่า เป็นคริสตชน 
และคริสตชน มาจากคำที่ว่า คริสต์ บวก กับผู้คน 
หมายถึง ผู้คนที่นับถือพระคริสต์เป็นแบบอย่าง ผู้คนที่นับถือพระคริสต์ 
หมายถึง การเลียนแบบ หมายถึงการทำตามคำสอน 
หมายถึงการยอมรับทุกสิ่งที่เป็นพระคริสต์ หมายถึงการปฏิบัติตามคำสอน 
ปฏิบัติตามสิ่งที่พระคริสต์ได้ให้ ได้สร้าง ได้ทำเอาไว้ 
หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ การทำตัวเองให้เหมือนพระคริสต์ทุกประการ
เพราะพระองค์คือรูปแบบชีวิต


เราทุกคนได้รับศีลล้างบาป อาจจะในความเชื่อของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายของเรา (ล้างบาปเด็ก) เราหลายคนอาจจะรับศีลล้างบาปในความเชื่อที่ตัวเองมี (ล้างบาปตอนเป็นผู้ใหญ่) 
การรับศีลล้างบาป ก็เท่ากับการยอมรับความเชื่อในพระคริสตเจ้า 
เป็นเสมือนการบ่งบอกว่า เราเป็นคนของพระคริสตเจ้า เราเป็นคริสตชน

คุณค่าของชีวิตของเราไม่ใช่การเป็นคริสตชน แต่อยู่ที่การเป็นลูกของพระเจ้า

นี่แหละคือตัวตนของเราที่แท้จริง คือ การเป็นลูกของพระเจ้า การเป็นคริสตชน การเป็นผู้มีความเชื่อในพระเจ้า เราไม่ได้เชื่อถึงสิ่งใด นอกจากพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงสอนเรา

การฉลองวัด เราฉลองวัดของเรา ที่เป็นปูน อิฐ หินดินทราย สิ่งก่อสร้างที่ปรากฏภายนอก ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะวัดเป็นสถานที่ที่เรามนุษย์ได้พบปะกับพระเจ้า เพราะวัดเป็นศูนย์รวมผู้มีความเชื่อ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน และกับพระเจ้า

การฉลองวัด มีความหมายที่ลึกเข้าไปอีก นั่นคือ การฉลองตัวเราเองแต่ละคน หรือชีวิตคริสตชนของเราแต่ละคน หมายความว่า เป็นการฉลองความเชื่อของเรา  ความเชื่อกับชีวิตของเราจะแยกจากกันไม่ได้ ตั้งแต่เมื่อรับศีลล้างบาป ความเชื่อกับชีวิตของเราก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 

วัดหรือวิหารที่มีชีวิตก็คือ ตัวของเราเองแต่ละคน เพราะเราแต่ละคนเป็นวิหารของพระจิตเจ้า เราเองแต่ละคนเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันกับเพื่อนพี่น้อง และกับพระเจ้า ตัวของเราเป็นที่ประทับของพระเจ้า 


การฉลองวัด เป็นการฉลองความเชื่อ.. ซึ่งก็เท่ากับว่า การฉลองวัด เป็นการฉลองพระเจ้า 
เป็นเสมือนการขอบคุณพระเจ้า สำหรับชีวิต สำหรับครอบครัว 
สำหรับหน้าที่การงาน สำหรับสุขภาพ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงดูแล 
และปกป้อง รักษาเรา จนถึงทุกวันนี้

การฉลองความเชื่อ จึงเป็นการฉลองที่แสดงออกถึงความชื่นชมยินดีของเราทุกคนที่อยู่หมู่บ้านของเรา ตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ ที่ได้รับศีลล้างบาป 
บรรดาเด็กคำสอน บรรดาเยาวชน บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ พ่อบ้านแม่บ้าน 
รวมทั้งผู้อาวุโสสูงสุดของหมู่บ้านด้วย ทุกคนจะต้องชื่นชมยินดี 
ทุกคนจะต้องขอบคุณพระเจ้า ทุกคนจะต้องเฉลิมฉลองความเชื่อของตนเองต่อพระเจ้า

การฉลองวัด หรือ ฉลองความเชื่อจึงเป็นหน้าที่และความสำนึกของเราทุกคนที่จะต้องมีส่วนร่วม ที่ต้องแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ที่จะต้องแสดงออกตามบทบาทหน้าที่ของตนเอง ตามอายุ ตามกำลังความสามารถของตนเอง เพื่อแสดงออกให้เห็นถึงความเติบโต ความเข้มแข็งของความเชื่อ


อีกนัยหนึ่งก็คือ การทำตัวเองให้เหมือนพระคริสต์ทุกประการ เพราะพระองค์คือรูปแบบชีวิต
                  
เราทุกคนได้รับศีลล้างบาป อาจจะในความเชื่อของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายของเรา (ล้างบาปเด็ก) 
เราหลายคนอาจจะรับศีลล้างบาปในความเชื่อที่ตัวเองมี (ล้างบาปตอนเป็นผู้ใหญ่) 
การรับศีลล้างบาป ก็เท่ากับการยอมรับความเชื่อในพระคริสตเจ้า เป็นเสมือนการบ่งบอกว่า 
เราเป็นคนของพระคริสตเจ้า เราเป็นคริสตชน
               
 คุณค่าของชีวิตของเราไม่ใช่การเป็นคริสตชน แต่อยู่ที่การเป็นลูกของพระเจ้า
                
นี่แหละคือตัวตนของเราที่แท้จริง คือ การเป็นลูกของพระเจ้า การเป็นคริสตชน 
การเป็นผู้มีความเชื่อในพระเจ้า เราไม่ได้เชื่อถึงสิ่งใด นอกจากพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงสอนเรา
                
การฉลองวัด เราฉลองวัดของเรา ที่เป็นปูน อิฐ หินดินทราย 
สิ่งก่อสร้างที่ปรากฏภายนอก ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะวัดเป็นสถานที่ที่เรามนุษย์ได้พบปะกับพระเจ้า 
เพราะวัดเป็นศูนย์รวมผู้มีความเชื่อ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน และกับพระเจ้า
                
การฉลองวัด มีความหมายที่ลึกเข้าไปอีก นั่นคือ การฉลองตัวเราเองแต่ละคน 
หรือชีวิตคริสตชนของเราแต่ละคน หมายความว่า เป็นการฉลองความเชื่อของเรา  
ความเชื่อกับชีวิตของเราจะแยกจากกันไม่ได้ ตั้งแต่เมื่อรับศีลล้างบาป 
ความเชื่อกับชีวิตของเราก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
               
 วัดหรือวิหารที่มีชีวิตก็คือ ตัวของเราเองแต่ละคน 
เพราะเราแต่ละคนเป็นวิหารของพระจิตเจ้า 
เราเองแต่ละคนเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันกับเพื่อนพี่น้อง 
และกับพระเจ้า ตัวของเราเป็นที่ประทับของพระเจ้า


การฉลองวัด เป็นการฉลองความเชื่อ.. ซึ่งก็เท่ากับว่า การฉลองวัด เป็นการฉลองพระเจ้า 
เป็นเสมือนการขอบคุณพระเจ้า สำหรับชีวิต สำหรับครอบครัว สำหรับหน้าที่การงาน 
สำหรับสุขภาพ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงดูแล และปกป้อง รักษาเรา จนถึงทุกวันนี้
             
การฉลองความเชื่อ จึงเป็นการฉลองที่แสดงออกถึงความชื่นชมยินดีของเราทุกคน
ที่อยู่หมู่บ้านของเรา ตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ ที่ได้รับศีลล้างบาป บรรดาเด็กคำสอน 
บรรดาเยาวชน บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ พ่อบ้านแม่บ้าน รวมทั้งผู้อาวุโสสูงสุดของหมู่บ้านด้วย 
ทุกคนจะต้องชื่นชมยินดี ทุกคนจะต้องขอบคุณพระเจ้า 
ทุกคนจะต้องเฉลิมฉลองความเชื่อของตนเองต่อพระเจ้า
          


การฉลองวัด หรือ ฉลองความเชื่อจึงเป็นหน้าที่และความสำนึกของเราทุกคนที่จะต้องมีส่วนร่วม 
ที่ต้องแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน 
ที่จะต้องแสดงออกตามบทบาทหน้าที่ของตนเอง ตามอายุ 
ตามกำลังความสามารถของตนเอง 
เพื่อแสดงออกให้เห็นถึงความเติบโต ความเข้มแข็งของความเชื่อ



วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

อบรมผู้ปกครองเด็กรับศีลศักดิ์สิทธิ์ 2


อบรมพ่อแม่ของเด็กที่จะรับศีลมหาสนิทครั้งแรกและศีลกำลัง
ที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟ ท่าแร่ สกลนคร

1.       ความเข้าใจเบื้องต้น
1.1.    ศีลมหาสนิท คือ พระกาย พระโลหิต พระวิญญาณ พระเทวภาพของพระเยซูเจ้า
                          ซึ่งปรากฎภายใต้รูปของปังและเหล้าองุ่น
1.1.1.        เป็นเสมือนอาหารที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ หล่อเลี้ยงความเชื่อของคริสตชนให้เติบโต
1.1.2.        เป็นการแสดงออกถึงความใกล้ชิดกับพระเยซูเจ้า
1.1.3.        เป็นการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้าในตัวของเรา ในชีวิตของเรา
1.2.    ศีลกำลัง คือ ศีลศักดิ์สิทธิ์ซึ่งประทานพระจิตเจ้า พร้อมกับของประทานของพระองค์ 
                          ทำให้เราเป็นคริสตังบริบูรณ์ เป็นทหารของพระคริสตเจ้าและพระศาสนจักร
1.2.1.        เรารับพระจิตเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงเป็นพลังที่ขับเคลื่อนชีวิตของเรา 
                  ชีวิตคริสตชนของเรา ให้มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ
1.2.2.        ของประทานทั้ง 7 ประการที่พระองค์มอบให้แก่เรานั้น 
                  เป็นเสมือนการประทับอยู่ของพระเจ้าทั้งครบ เพื่อเราจะได้เติบโต 
                  เป็นผู้ใหญ่ทางความเชื่อ มีความเข้มแข็ง เพื่อจะสามารถต่อสู้กับศัตรูฝ่ายวิญญาณได้ 
                  เป็นผู้ปกป้องความเชื่อได้

2.       หน้าที่ของบิดามารดา หรือผู้ปกครอง
2.1.    บิดามารดาคือ ครูคำสอนคนแรกของลูก
2.1.1.        การสอนลูกให้รู้จักพระเจ้า
2.1.2.        การสอนลูกให้รู้จักสวดภาวนา
2.1.3.        การสอนลูกให้รู้จักคุณค่าและความหมายของศีลศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ
2.2.    บิดามารดาคือ แบบอย่างที่ดีที่สุดของความเชื่อ
2.2.1.        พ่อแม่พากันไปวัดร่วมมิสซาสม่ำเสมอ
2.2.2.        พ่อแม่แก้บาปรับศีลฯเสมอ
2.2.3.        พ่อแม่สวดก่อนนอน ก่อนทานอาหาร ก่อนทำงาน ก่อนขึ้นรถ ฯลฯ
2.3.    บิดามารดา คือกำลังใจสำหรับการเติบโตในความเชื่อของลูก ๆ
2.3.1.        พ่อแม่สนับสนุนให้ลูก ๆ ทำกิจกรรมที่วัด

3.       สรุป
3.1.    ความเชื่อของลูกจะเข้มแข็งอยู่ที่ครอบครัว
3.2.    ความเชื่อของลูกจะเติบโตอยู่ที่ครอบครัว
3.3.    ครอบครัวเป็นหัวใจของชีวิตของลูกทั้งในด้านภายนอก และภายใน

อบรมผู้ปกครองเด็กรับศีลศักดิ์สิทธิ์

วันที่ 3 มีนาคม  2012
อบรมพ่อแม่ของเด็กที่จะรับศีลมหาสนิทครั้งแรกและศีลกำลัง
ที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟ ท่าแร่ สกลนคร


หน้าที่ของบิดามารดา

หน้าที่ให้กำเนิด
ความรักของสามีและภรรยา ก่อให้เกิด บุตร
บุตรที่เป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้
การเกิดมาของบุตร เป็นการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวใหม่
สามี กลาย เป็นบิดา
ภรรยา กลาย มารดา
เป็นหน้าที่ใหม่ของครอบครัว
เป็นหน้าที่ใหม่ของชาย และหญิง

หน้าที่ในการอบรมสั่งสอน
บิดามารดามิใช่มีหน้าที่เพียงให้กำเนิดบุตรเท่านั้น แต่มีหน้าที่ของการอบรมสั่งสอนด้วย
ผู้ที่มีหน้าที่อบรม สอนคำสอนบุตรเป็นคนแรกก็คือ บิดามารดา
บิดามารดาคือ ครูคำสอนคนแรกของลูกของตนเอง
ผู้ที่สอนความเชื่อแก่ลูกของตนเอง ก็คือ บิดามารดา

เมื่อเริ่มต้นชีวิต การเกิดของมาของลูก
บิดามารดานำบุตรไปรับศีลล้างบาป
บุตร ได้รับศีลล้างบาป ในนามของบิดามารดา
บุตร ได้รับศีลล้างบาป ในความเชื่อของบิดามารดา

การอบรมสั่งสอนบุตรให้รู้จักพระเจ้า
การสอนบุตรให้รู้จักสวดภาวนา ก็คือ บิดามารดา เป็นอันดับแรก

หน้าที่ในการส่งเสริมสนับสนุนความเชื่อ
บิดามารดาจำเป็นต้องดูแลความเชื่อของบุตรของตน
เหมือนกับการเอาใจใส่ต่อความเชื่อของตน
บิดามารดาจำเป็นต้องเอาใจใส่ความเชื่อที่บอบบางของบุตร
อย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่อง

การบอก การเตือน การสอนให้ลูกไปวัด ไปเรียนคำสอน
ไปร่วมมิสซา ไปแก้บาป ไปรับศีลฯ
เป็นหน้าที่ของบิดามารดาที่ต้องเอาใจใส่เสมอ
จะเฉยเมย หรือ ไม่สนใจไม่ได้

แบบอย่างของบิดามารดาเป็นการอบรมความเชื่อของลูก
ชีวิตความเชื่อของบิดามารดาจะต้องถูกถ่ายทอดมายังบุตร
ในรูปแบบของการเป็น.. แบบอย่าง..
การสวดภาวนา
การไปวัด
การแก้บาป
การรับศีลฯ
การสนใจในศาสนกิจ หรือกิจกรรมของทางวัด

แบบอย่างของบิดามารดาเป็นเหมือนเข็มทิศที่คอยชี้ทาง
แนะนำ และสั่งสอนบุตรของตน
ให้เดินไปในหนทางแห่งการเป็นคริสตชน

ฉะนั้น บิดามารดาและบุตรที่เป็นหนึ่งเดียวกันในความรัก
และเติบโตในความเชื่อ ได้กลายเป็นพระศาสนจักร
ซึ่งเรียกว่า พระศาสนจักรระดับบ้าน นั่นเอง