BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สมโภชนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล2012


บทเทศน์


สมโภชนักบุญเปโตร และนักบุญเปาโล

วันนี้ เราพากันมาร่วมมิสซาสมโภชนักบุญเปโตร และนักบุญเปาโล เสาหลักแห่งพระศาสนจักรคาทอลิกวันนี้ เราเฉลิมฉลองอะไร? และความยิ่งใหญ่ของ น.เปโตรและน.เปาโลอยู่ที่ไหน? พระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 ตรัสว่า วันนี้ เราไม่ได้ฉลองชื่อของท่านทั้งสองนามเปโตรและเปาโล แต่เราเฉลิมฉลองงานพันธกิจของท่าน ที่ท่านทั้งสองได้กระทำในฐานะที่เป็นผู้ติดตามพระคริสตเจ้า ฉะนั้นสิ่งที่เราฉลองก็คือ ชีวิตและการดำเนินชีวิตของท่านน.เปโตร และน.เปาโล นั่นเอง
เรามาพิจารณาดูในเรื่องของ ชีวิต ของนักบุญทั้งสองท่านนี้ว่า ชีวิตของท่านนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน? วิเศษเพียงไร?
ซีมอน เป็นชาวประมงธรรมดาคนหนึ่ง หาปลามาเลี้ยงชีพ หาปลามาเลี้ยงครอบครัว ไม่ได้มีการศึกษาอะไรที่สูงมากนั้น มีความฉลาดในเรื่องการจับปลาเท่านั้นเอง ท่านเป็นคนใจร้อน มุทะลุ  พูดจาขวานผ่าซาก ตรงไปตรงมา ชีวิตทางศาสนา ท่านเป็นศิษย์ของยอห์นบัปติส รอคอยพระแมสสิยาห์ (พระผู้ไถ่) และเพื่อพบกับพระเยซูเจ้า ท่านก็ได้ถูกเรียกให้ติดตามพระองค์ไป โดยละทิ้งทุกสิ่ง อาชีพ การงาน ครอบครัวของตน เพื่อติดตามพระเยซูเจ้าไป ท่านอยู่กับพระเยซูเจ้าเสมอ และตลอดเวลา ท่านซึมซับชีวิตของพระเยซูเจ้า ทั้งคำสอนของพระองค์ และกิจการของพระองค์ เหตุการณ์สำคัญจะมีท่านอยู่ด้วยเสมอ
และในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน ท่านตอบพระเยซูเจ้าว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า แล้วพระเยซูเจ้าก็บอกว่า ท่านคือเปโตร หรือ ศิลา และบนศิลานี้เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา นรกจะไม่มีวันเอาชนะพระศาสนจักรได้เลย  ดูเหมือนว่าคำตอบนี้จะเป็นความเข้าใจของท่าน แต่ไม่ใช่..ท่านตอบโดยที่ไม่เข้าใจอะไรเลย และต่อมาเมื่อพระเยซูเจ้าถูกจับกุม ท่านก็ได้ปฏิเสธพระองค์ ถึง 3 ครั้ง ปฏิเสธว่าไม่รู้จักพระองค์ ไม่รู้จักชายคนนี้เลย ปฏิเสธแม้แต่ต่อหน้าผู้หญิง และเด็กผู้รับใช้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เปโตรไม่รู้จักพระเยซูเจ้าจริง ๆ ตลอดเวลา 2 ปีกว่า ๆ ที่อยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่มีค่าและไม่มีความหมายอะไรเลย  เพราะความกลัว ความขี้ขลาดและความอ่อนแอ ทำให้ท่านต้องเอาชีวิตของตัวเองให้รอดพ้นก่อน แต่เมื่อท่านระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูเจ้าพูดไว้ว่าท่านจะปฏิเสธพระองค์ ท่านก็ร้องไห้ เสียใจ สำนึกในความผิด ความอ่อนแอของตนเอง
หรือในหลายปีต่อมาหลังจากพระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์ ที่กรุงโรม น.เปโตรถูกจับโดยจักรพรรดิเนโร บรรดาคริสตชนที่กรุงโรมพากันหาวิธีให้ท่านหนีออกจากคุก และเมื่อหนีได้ ขณะที่ท่านกำลังเดินออกนอกกรุงโรมนั้น ท่านก็พบกับพระเยซูเจ้ากำลังแบกกางเขนเดินไปที่กรุงโรม น.เปโตรจึงถามพระเยซูเจ้าว่า พระอาจารย์ท่านกำลังจะไปไหน? พระเยซูเจ้าตอบว่า เรากำลังจะไปถูกตรึงกางเขนอีกครั้งที่กรุงโรม เพื่อท่าน น.เปโตรได้สติจึงกลับไปที่กรุงโรม เพราะไม่ต้องการทรยศพระเยซูเจ้าอีกครั้ง และท่านก็ถูกตรึงกางเขน เอาศีรษะปักลงดิน..
นี่คือชีวิตของน.เปโตร อัครสาวก ที่ติดตามพระเยซูเจ้าจนถึงที่สุดของชีวิต
เซาโล เป็นเกิดในตระกูลฟาริสี และท่านก็เป็นชาวฟาริสีที่เคร่งครัดต่อพระเจ้าองค์ ท่านเกลียดชังคริสตชน เพราะคริสตชนนับถือพระเยซู เทียบเท่ากับพระเจ้าของท่าน ขณะที่ท่านเดินทางไปเมืองดามัสกัส และในระหว่างทางได้ปะทะกับแสงเจิดจ้า และได้ยินเสียงที่พูดว่า เซาโล เซาโล เจ้าเบียดเบียนเราทำไม?  เราคือเยซูผู้ที่เจ้ากำลังเบียดเบียนอยู่ เซาโลมองไม่เห็นเป็นเวลา 3 วัน เมื่อได้รับการปกมือจากอานาเนีย ท่านก็มองเห็นและขอรับศีลล้างบาป และเปลี่ยนชื่อเป็น เปาโล ท่านได้เปลี่ยนการเดินทางชีวิตของท่าน จากที่ตามล่าคริสตชน ท่านกลับพูดถึงเรื่องของพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากความตาย ท่านเทศน์สอนด้วยความกระตืนรือร้น และด้วยใจร้อนรน ท่านไม่เกรงกลัวสิ่งใด เพราะท่านบอกว่า ท่านมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เพื่อตนเอง แต่มีชีวิตอยู่เพื่อพระคริสตเจ้า ท่านยังเขียนอีกว่า ตลอดการเดินทางประกาศข่าวดีนี้ ท่านต้องเผชิญกับอะไรบ้าง นั่นคือ ข้าพเจ้าถูกชาวยิวลงแส้ห้าครั้ง ครั้งละสามสิบเก้าที  ข้าพเจ้าถูกชาวโรมันเฆี่ยนตีสามครั้ง ถูกขว้างด้วยหินหนึ่งครั้ง เรืออับปางสามครั้ง ลอยคออยู่กลางทะเลหนึ่งคืนกับหนึ่งวัน  ข้าพเจ้าต้องเดินทางเสมอ ต้องเผชิญอันตรายในแม่น้ำ อันตรายจากโจรผู้ร้าย อันตรายจากเพื่อนร่วมชาติ อันตรายจากคนต่างชาติ อันตรายในเมือง อันตรายในถิ่นทุรกันดาร อันตรายในทะเล อันตรายจากพี่น้องทรยศ  ข้าพเจ้าต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยลำบากตรากตรำ อดนอนบ่อย ๆ ต้องหิวกระหาย ต้องอดอาหารหลายครั้ง ต้องทนหนาว ไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่  นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ข้าพเจ้ายังถูกบีบคั้นทุกวัน นั่นคือเป็นห่วงพระศาสนจักรทุกแห่ง (2คร 11:24-28) และท่านถูกตัดศีรษะที่นอกกำแพงกรุงโรม

นี่คือชีวิตของท่านนักบุญทั้งสอง น.เปโตรได้ชื่อว่า เป็นเสาหลักแห่งความเชื่อ เป็นหัวหน้าของอัครสาวก  น.เปาโลได้ชื่อว่า เป็นผู้สอนและผู้ป้องกันความเชื่อ หรืออัครสาวกของคนต่างศาสนา
จุดเปลี่ยนชีวิตของนักบุญเปโตร และนักบุญเปาโลก็คือ พระเยซูเจ้า พระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต
จากชาวประมงจับปลา กลายเป็นชาวประมงจับมนุษย์ จากคนอ่อนแอ หวาดกลัว กลายเป็นคนกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว และซื่อสัตย์
จากชาวฟาริสีที่เคร่งครัด กลายเป็นฟาริสีที่ใจดี ร้อนรน และปรารถนาให้ทุกคนได้รับข่าวดี จากคนที่เคยคิดจะทำลาย กลายเป็นคนปกป้อง สอน และนำผู้อื่นเข้ามามีความเชื่อในพระเยซูเจ้า
ดังนั้น จุดเปลี่ยนของชีวิตของท่านทั้งสองคือ พระเยซูเจ้า จากการพบปะกับพระเยซูเจ้า ทำให้ทั้งสองท่านนี้เปลี่ยนการดำเนินชีวิตแบบเดิม ๆ และหันมาดำเนินชีวิตแบบใหม่ ที่ดีกว่า ที่สมบูรณ์กว่า โดยเฉพาะในเรื่องการนำคำสอนของพระเยซูเจ้ามาปฏิบัติในชีวิต คำสอนเรื่อง ความรัก
ข้อคิดข้อปฏิบัติสำหรับเราทุกคนในวันนี้ก็คือ การรู้จักให้อภัยตนเอง และการรู้จักที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า..
น.เปโตรปฏิเสธพระเยซูเจ้า 3 ครั้ง แต่ท่านก็ตอบว่า รักพระเยซูเจ้า 3 ครั้งเช่นเดียวกัน
น.เปาโลเบียดเบียนบรรดาผู้ที่เชื่อถึงพระเยซูเจ้า เมื่อท่านพบความจริง ท่านก็กลายเป็นผู้ที่ปกป้อง สอน และประกาศข่าวดีถึงพระเยซูเจ้า
เพราะท่านทั้งสองได้รับการอภัยจากพระเจ้า เพราะท่านได้รับความรักจากพระเจ้า ท่านจึงให้อภัยตนเอง และมองไปข้างหน้า เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่
เราเองก็เช่นเดียวกัน มีหลายอย่างที่เราได้ทำผิดในอดีต มีหลายครั้งที่เราพลาดพลั้งไป จงให้อภัยตนเอง และเริ่มต้นใหม่ มองไปข้างหน้าเพื่อสร้างชีวิตใหม่ ชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวังและความเชื่อมั่น สำหรับเราคริสตชนเราหวัง และเราเชื่อมั่นในพระเยซูเจ้าผู้ทรงรักเรา ผู้ทรงยอมตายเพื่อเรา
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน..

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันพฤหัสบดี 12 ธรรมดาปี B

มธ 7:21-29


21คนที่กล่าวแก่เราว่า พระเจ้าข้า พระเจ้าข้านั้นมิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าสู่สวรรค์ได้  
22ในวันนั้นหลายคนจะกล่าวแก่เราว่า พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประกาศพระวาจาในพระนามของพระองค์ ขับไล่ปีศาจในพระนามของพระองค์ และได้กระทำอัศจรรย์หลายประการในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ’  
23เมื่อนั้น เราจะกล่าวแก่เขาว่า เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้กระทำความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา
24ผู้ใดฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเราและปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนมีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน  25ฝนจะตก น้ำจะไหลเชี่ยว ลมจะพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น บ้านก็ไม่พัง เพราะมีรากฐานอยู่บนหิน  26ผู้ใดที่ฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเรา และไม่ปฏิบัติตามก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาที่สร้างบ้านไว้บนทราย  
27เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว ลมพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น มันก็พังทลายลงและเสียหายมาก
28เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสถ้อยคำเหล่านี้จบแล้ว ประชาชนต่างพิศวงในคำสั่งสอนของพระองค์  29เพราะพระองค์ทรงสอนเขาอย่างผู้มีอำนาจ ไม่ใช่สอนเหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา



บทเทศน์


คำว่า พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า เป็นคำอ้อนวอน เป็นคำเรียกพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนม์ชีพ คำเรียกซึ่งแสดงนัยถึงความเชื่อในการเสด็จมาเพื่อพิพากษามนุษย์ทุกคนของพระองค์ และเป็นการสารภาพความเชื่อในพระคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย
คนหนึ่งกล่าวต่อพระเจ้าว่า พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า แต่จะไม่ได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ เพราะเขาไม่ได้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า
อีกคนหนึ่งที่กล่าวว่า พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า  แต่จะได้เข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์ เพราะเขาได้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดา
คนมีปัญญา/ฉลาด จะสร้างบ้านไว้บนหิน  เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว ลมจะพัดโหมเข้าใส่ บ้านก็ไม่พัง เพราะมีรากฐานที่มั่นคงแข็งแรง นั่นคือ มาจากการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า
คนโง่เขลาสร้างบ้านไว้บนทราย เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว ลมพัดโหมเข้าใส่ บ้านก็จะพังทลายและเสียหายมาก   ไม่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า เพราะว่า มนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองตามลำพัง
นี่คือบุคคล 2 ประเภทที่พระเยซูเจ้าทรงชี้ให้เราเห็นความสำคัญของการภาวนาอ้อนวอน (พูด) และ การปฏิบัติ ตามพระประสงค์/พระวาจาของพระเจ้า ซึ่งจะต้องสอดคล้องกัน ซึ่งจะต้องมาจากแหล่งเดียวกันก็คือ หัวใจของเรา
หากเราอ้อนวอน สวดภาวนาต่อพระเจ้า แต่เราไม่ได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ มันก็เป็นการสวดภาวนาแต่ลมปากเท่านั้น หามีประโยชน์อะไรเลยไม่  เป็นเหมือนกับเสียงนกแก้ว นกกาที่ร้องออกมาตามธรรมชาติเท่านั้นเอง  คนประเภทนี้เมื่อเจอปัญหา เจอพายุ  เจอลมแรง เจอความยากลำบาก ความกังวลใจ ก็ถอยหนี หรือละทิ้งความเชื่อก็มี   เมื่อฝนตก เราก็ไม่อยากจะมาวัดแล้ว  เมื่อแดดร้อน เราก็ไม่อยากจะมาเฝ้าศีลแล้ว  เมื่อเหนื่อยเราก็ไม่อยากจะเข้าวัดแล้ว
พี่น้องที่เคารพรัก ความทุกข์ยาก ความลำบาก ปัญหาอุปสรรค์เป็นเครื่องมือที่จะพิสูจน์ความเชื่ออันแท้จริงของเรา หากเราไม่เผชิญกับสิ่งเหล่านี้ เราจะไม่รู้ว่า เราเชื่อ เรารักพระเจ้ามากแค่ไหน? แม้จะมีปัญหาจนแก้ไม่ได้ หากเรายังสวดภาวนาได้ ก็ย่อมแสดงว่าเราเข้มแข้ง  หากฝนตกหนัก แต่เราก็ยังมาวัดได้ แสดงว่าเรามีความเชื่อที่มั่นคง

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดา คือ 
ผู้ที่ฟังพระวาจาของพระเยซูเจ้าและปฏิบัติตามพระวาจานั้น

จงน้อมรับพระวาจาที่ทรงปลูกฝังไว้ในท่าน พระวาจานั้นสามารถช่วยวิญญาณท่านให้รอดพ้นได้
จงปฏิบัติตามพระวาจา มิใช่แต่ฟังอย่างเดียว ซึ่งเท่ากับหลอกตนเอง
เพราะว่าถ้าผู้ใดฟังพระวาจาแล้วไม่ปฏิบัติตาม ก็เหมือนคนที่มองใบหน้าของตนในกระจกเงา 
เมื่อมองตนเองและจากไปแล้ว ก็ลืมทันทีว่าตนเป็นอย่างไร
ส่วนผู้ที่พิจารณาบัญญัติแห่งอิสรภาพ และยึดมั่นในบัญญัตินั้น มิใช่ฟังแล้วลืมเสีย แต่ฟังแล้วนำไปปฏิบัติตาม ผู้นั้นย่อมประสบความสุขในการปฏิบัตินั้น
ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน  ท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง


วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันพุธ 12 ธรรมดาปี B

พระวรสาร มธ 7:15-20


15  จงระวังประกาศกเทียมซึ่งมาพบท่าน นุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในคือสุนัขป่าดุร้าย  
16  ท่านจะรู้จักเขาได้จากผลงานของเขา มีใครบ้างเก็บผลองุ่นจากต้นหนาม  
     หรือเก็บผลมะเดื่อเทศจากพงหนาม  
17  ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้พันธุ์ดีย่อมเกิดผลดี  ต้นไม้พันธุ์ไม่ดีย่อมเกิดผลไม่ดี  
18  ต้นไม้พันธุ์ดีจะเกิดผลไม่ดีมิได้ และต้นไม้พันธุ์ไม่ดีก็ไม่อาจเกิดผลดีได้  
19  ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีย่อมถูกโค่นทิ้งในกองไฟ 
20  เพราะฉะนั้น ท่านจะรู้จักประกาศกเทียมได้จากผลงานของเขา”



ข้อคิด


จงระวังประกาศกเทียม หรือในทางตรงกันข้าม พระเยซูเจ้าต้องการจะบอกว่า 
ท่านต้องเป็นประกาศที่แท้จริง ในสมัยนั้นประกาศกเทียมหมายถึงอาจารย์เท็จที่ทำเป็นคนศรัทธา 
เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว หรือ บรรดาคริสตชนที่ทำตัวเหมือนกับเป็นคริสตชน แต่ไม่ใช่คริสตชน นั่นคือ นุ่มห่มเหมือนแกะ แต่ไม่ใช่แกะ  ประศกเทียมนี้ดูภายนอกเหมือนจะดี พวกเขาสวดภาวนา ปฏิบัติศาสนกิจร่วมกับบรรดาคริสตชน แต่ภายในจิตใจชั่วร้าย และเป็นศัตรูกับประชากรของพระเจ้า และในสมัยนั้นโทษของการเป็นประกาศเทียมก็คือ ความตาย

ในสมัยของเรานี้ เราก็ต้องระวังตัวเราเองด้วย กลัวว่าเราจะเป็นประกาศกเทียม นั่นคือ เราได้ชื่อว่าเป็นคริสตชน  เราได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รักพระเจ้า เราได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีความเชื่อ เพราะอย่างน้อยเราก็มาวัดอย่างสม่ำเสมอ  ปฏิบัติศาสนกิจเป็นประจำ  คนอื่นมองภายนอกว่าดี ศรัทธา ในส่วนภายใจของเรา กิจการศรัทธาที่เราทำนี้จะต้องออกมาจากภายในใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น เต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง เพราะหากภายนอกกับภายในไม่สอดคล้องกันแล้ว เราก็จะได้ชื่อว่าเป็นประกาศกเทียมเหมือนกัน

พี่น้องที่เคารพรัก  เราจะรู้จักคนคนหนึ่งได้ก็ต่อเมื่อเราได้เห็นการกระทำของเขา ทั้งคำพูดคำจา ทั้งกิริยามารยาท ต้นไม้พันธ์ดีย่อมให้ผลดี  ต้นไม้พันธ์ไม่ดีย่อมเกิดผลไม่ดี  คนที่มีสัมมาคารวะย่อมแสดงออกด้วยคำพูดที่จริงใจ สุภาพ อ่อนโยน มิใช่ไพเราะแต่เสแสร้ง การกระทำก็รู้จักผู้ใหญ่ รู้จักที่ต่ำที่สูง เป็นต้น  หรือเราจะรู้ว่าใครเป็นคริสตชนที่แท้จริงได้  เราก็ดูจากการกระทำของเขา หรือเราจะรู้ว่าคนนี้ดีหรือไม่ เราก็ดูจากการกระทำของเขา  หากคนนั้นปฏิบัติตามพระบัญญัติ และปฏิบัติศาสนกิจอย่างสม่ำเสมอ และเป็นประจำ  เราก็รู้ว่าเขาเป็นคริสตชนที่ดี และที่แท้จริง  ตรงกันข้ามกับคนที่เป็นคริสตชนปฏิบัติศาสนกิจตามความพอใจ  สวดภาวนาตามความรู้สึก เราจะถือว่าเขาเป็นคริสตชนที่แท้จริงได้อย่างไร  ต้นมะม่วงย่อมเกิดผลเป็นมะม่วงเสมอ  ไม่ว่าต้นมะม่วงนั้นจะปลูกในที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านฝนก็ตาม มันก็เป็นมะม่วง  เราเองก็เช่นเดียวกัน ไม่จะเผชิญกับความทุกข์ยาก ลำบาก ปัญหาอุปสรรคก็เรา เราจะต้องแสดงความเป็นคริสตชนที่แท้จริงจนตลอดไปได้

แต่เราก็ระวังอีกอย่างหนึ่งในการมองดูคนอื่นก็คือ ไม่ใช่แค่มองเห็นการกระทำของเขาเพียงแค่ครั้งเดียว หรือเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง เราก็สรุป หรือตัดสิน หรือเก็บเป็นข้อมูลเพื่อจะดูว่าเขาเป็นคนอย่างไรตลอดชีวิตของเราเลยนั้นคงเป็นไปไม่ได้  เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเห็นความผิดแค่ครั้งเดียวก็เหมา หรือสรุปทั้งชีวิตของคนนั้นได้เลยว่า ไม่ดี   เพราะธรรมชาติของมนุษย์มักจะไม่ให้โอกาสกันเท่าไรนัก

จะอย่างไรก็ตาม พระเยซูเจ้าทรงเตือนเราในวันนี้ว่า เราจะต้องเป็นประกาศกที่แท้จริง นั่นก็คือ การรู้จักฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าก่อน แล้วนำไปประกาศให้คนอื่นได้รับรู้ และทำความเข้าใจ  หรือ เราจะต้องเป็นคริสตชนที่แท้จริง

ใครก็ตามที่ไม่เกิดผลหรือเกิดผลเลวก็เป็นบุคคลที่ละเมิดพระประสงค์ของพระเจ้า


วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันอังคาร 12 ธรรมดาปี B



พระวรสาร มธ 7:6,12-14



6  อย่าให้ของศักดิ์สิทธิ์แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้สุกรเพราะมันจะเหยียบย่ำทำให้เสียของ และหัน มากัดท่านอีกด้วย”
12  ท่านอยากให้เขาทำกับท่านอย่างไร ก็จงทำกับเขาอย่างนั้นเถิด นี่คือธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศก”
13  จงเข้าทางประตูแคบ เพราะประตูและทางที่นำไปสู่หายนะนั้นกว้างขวาง คนที่เข้าทางนี้มีจำนวนมาก  
14  แต่ประตูและทางซึ่งนำไปสู่ชีวิตนั้นคับแคบ คนที่พบทางนี้มีจำนวนน้อย”



ข้อคิด

ท่านอยากให้เขาทำกับท่านอย่างไร ก็จงทำกับเขาอย่างนั้นเถิด..

พระเยซูเจ้าพระองค์ ปรารถนาให้แต่ละคนรู้จักที่จะเคารพรักต่อกันและกัน ด้วยความเป็นพี่เป็นน้องกัน
โดยเริ่มต้นจากตัวของเราเอง.. ไม่ใช่รอคอยจากคนอื่น โดยที่ตัวเองไม่เริ่มทำอะไรเลย

"ท่านหว่านอะไร ท่านก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น"

หากหว่านความดีในตัวของคนอื่น เราก็จะเก็บเกี่ยวแต่สิ่งดีดีจากคนอื่น เพราะว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไร หรือ
ทำอย่างไงกับคนอื่น เขาก็จะทำกับเราอย่างนั้น

ถ้าท่านแบ่งปันสิ่งที่ท่านมีแก่คนอื่น  คนอื่นก็จะแบ่งปันสิ่งที่มีแก่ท่านด้วย
การเริ่มต้น จึงต้องมาจากตัวของเราเอง
ลงมือกระทำเป็นคนแรก

แต่บางครั้ง.. เราทำดีต่อคนอื่นแล้ว แต่สิ่งที่ได้รับนั้นอาจจะกลับกลายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม
เราก็ต้องอดทน และรอคอยการเติบโตของความดีในตัวของเขา
เราจะต้องไม่ท้อแท้ในการที่จะทำดีต่อไป ในการที่จะช่วยหลือ หรือ รักเขาต่อไป

อยากให้คนอื่นคิดดีต่อเรา  เราก็ต้องไม่ตัดสินคนอื่นในใจก่อน
อยากให้คนอื่นฟังในสิ่งที่เราพูด  เราก็ต้องฟังสิ่งที่เขาพูดเสียก่อน
อยากให้คนอื่นรักเรา  เราก็ต้องรักเขาก่อน

จงเป็นคนแรกเสมอ เพื่่อสร้างสรรค์สิ่งดีดี งามงามในชีวิต

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันจันทร์ 12 ธรรมดาปี B

มธ 7:1-5


1อย่าตัดสินเขา และท่านจะไม่ถูกพระเจ้าตัดสิน 
2ท่านตัดสินเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงตัดสินท่านอย่างนั้น ท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าจะทรงใช้ทะนานนั้นตวงให้ท่าน  
3ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย  
4ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า ปล่อยให้ฉันเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิดขณะที่มีท่อนซุงอยู่ในดวงตาของท่าน  
5ท่านคนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด แล้วจะได้เห็นชัดก่อนไปเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของพี่น้อง


ข้อคิด


พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ของพระองค์ให้รู้จักทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด..


การตัดสินคนอื่น.. เหมือนกับการเข้าไปก้าวก่ายและไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น จึงไม่เป็นการดี
ที่เราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น เนื่องมาจากความไม่รู้ของเรา  เพราะว่า เราไม่รู้ว่า แท้จริงแล้ว
คนคนนั้นเป็นอย่างไร?

พระเยซูเจ้าไม่ได้บอกว่า ไม่ให้สนใจผู้อื่น.. เราควรที่จะให้ความสนใจและเอาใจใส่ต่อผู้อื่น
แต่ไม่ควรที่จะไปตัดสินเขา จากบางส่วน หรือ บางแง่มุมที่เรามองเห็น เพราะเราไม่มองไม่เห็น
สิ่งที่เป็นจริงในตัวของเขา

ถ้าท่านตัดสินเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงตัดสินท่านอย่างนั้น..

มันไม่ยุติธรรมสำหรับคนคนหนึ่งที่ถูกตัดสินชีวิตทั้งหมดทั้งครบของเขา เพียงแค่การกระทำผิด
หรือการกระทำที่ขัดต่อความจริงเพียงครั้งเดียว หรือเพียงแค่หนึ่ง

การตัดสินคนอื่น..หากไม่เป็นความจริง ก็เป็นเหมือนกับการใส่ร้ายป้ายสี
การตัดสินคนอื่น..หากเป็นความจริง เราก็ไม่ควรที่จะตัดสินชีวิตของเขา แต่เราสามารถตักเตือนเขา
ด้วยความห่วงใยได้..

การตัดสินคนอื่น เป็นเหมือนกับการขาดความรัก และการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง..เป็นเหมือนกับการตัด
สายตาแห่งความเป็นพี่เป็นน้องออกไป

การตัดสิน.. เป็นของพระเจ้าเท่านั้น
มนุษย์ไม่สามารถ ไม่มีอำนาจที่จะตัดสินคนอื่นได้เลย
เพราะว่า ต่อหน้าพระเจ้า เราทุกคนเป็นคนบาป

สิ่งที่เราควรจะทำต่อกันก็คือ  การให้อภัย และการให้โอกาส



วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันศุกร์ 11 ธรรมดาปี B

พระวรสาร  มธ 6:19-23

19  ท่านทั้งหลายจงอย่าสะสมทรัพย์สมบัติบนแผ่นดินนี้เลย ที่นี่ทรัพย์สมบัติทั้งหลายถูกสนิม
       และขมวนกัดกิน และถูกขโมยเจาะช่องเข้ามาขโมยไปได้  
20  แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์เถิด ที่นั่นไม่มีสนิมหรือขมวนกัดกิน 
      และขโมยก็เจาะช่องเข้ามาขโมยไปไม่ได้  
21  เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย”
22 ประทีปของร่างกายคือดวงตา ดังนั้น ถ้าดวงตาของท่านเป็นปรกติดี 
      สรรพางค์กายของท่านก็จะสว่างไปด้วย  
23  แต่ถ้าดวงตาของท่านไม่ดี สรรพางค์กายของท่านก็จะมืดไปด้วย 
      ฉะนั้น ถ้าความสว่างในท่านมืดไปแล้ว ความมืดจะยิ่งมืดมิดสักเพียงใด”


ข้อคิด

ชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นคนร่ำรวยมาก เมื่อเขาตายไป เขาก็ไปที่หน้าประตุสวรรค์ เขาต้องการที่จะเข้าไป
ข้างในนั้น เหมือนกับทุกที่ที่เขาสามารถเข้าไปได้ 
นักบุญเปโตรเดินมาที่หน้าประตู ท่านก็ไม่ได้ห้ามใคร แต่ท่านบอกว่า ถ้าอยากเข้าไปต้องมีตั๋วเสียก่อน ราคาแค่พันบาทเท่านั้น 
เขาก็หัวเราะ และพูดในทำนองที่ว่า นักบุญเปโตรคงจะล้อเล่นเป็นแน่ นักบุญเปโตรก็บอกว่าเรื่องจริง 
ถ้าจะเข้าสวรรค์ก็ต้องมีตั๋ว เขาบอกว่าเขามีทรัพย์สมบัติมากมาย มีเงินในธนาคาร มีที่ดินราคาเป็นล้าน นักบุญเปโตรบอกว่า ขอหนึ่งพันบาทสำหรับตั๋ว ถ้าไม่มีก็เข้าไม่ได้ เขาก็มองดูกระเป๋าตัวเอง ว่างเปล่า..
เขาจึงเข้าสวรรค์ไม่ได้..

คนร่ำรวยจอมปลอม สะสมทรัพย์สมบัติมากมายในโลกนี้ 
เขาแสวงหาความสุขจากทรัพย์สมบัติที่มี 
เขาพอใจกับสมบัติที่เขาหาได้
แต่ไม่เป็นประโยชน์สำหรับการเอาตัวเองรอดไปเมืองสวรรค์ 
เพราะทรัพย์สมบัติที่มีในโลกนี้ ไม่สามารถนำติดตัวไปได้แม้แต่สักบาทเดียว

คนร่ำรวยที่แท้จริง สะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์
เขาแสวงหาและมีความสุขกับคุณงามความดี และความถูกต้อง
เขาสะสมการช่วยคนอื่น 
เขาสะสมการแบ่งปันสิ่งที่ตนเองมีให้แก่คนอื่น
เขาสะสมความรัก ความมีน้ำใจ ใจดีเมตตาแก่คนอื่น
เขาทำหน้าที่ การงานของเขาด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยความรับผิดชอบ
เขาปฏิบัติศาสนกิจอย่างดี ด้วยความอุทิศตน และเสียสละ

นี่คือ ความร่ำรวยที่แท้จริง
และนี่ก็คือ แสงสว่างในตัวของเราเองด้วย
แสงแห่งความดีงาม 
แสงแห่งความรัก
แสงแห่งการแบ่งปัน
จะนำทางเรา ไปสู่เมืองสวรรค์ 
ตลอดไป...



วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันพฤหัสบดี 11 ธรรมดาปี B



Gospel Mt 6:7-15

Jesus said to his disciples:
"In praying, do not babble like the pagans,
who think that they will be heard because of their many words.
Do not be like them.
Your Father knows what you need before you ask him.

"This is how you are to pray:

"Our Father who art in heaven,
hallowed be thy name,
thy Kingdom come,
thy will be done,
on earth as it is in heaven.
Give us this day our daily bread;
and forgive us our trespasses,
as we forgive those who trespass against us;
and lead us not into temptation,
but deliver us from evil."

"If you forgive others their transgressions,
your heavenly Father will forgive you.
But if you do not forgive others,
neither will your Father forgive your transgressions."


ข้อคิด

พระเยซูเจ้าสอนเราให้เราตระหนักถึงความสัมพันธ์ที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์
พระองค์สองเรา..ให้เราเรียกพระเจ้าว่า "พระบิดา"

เป็นความสัมพันธ์แบบ พ่อ-ลูก
เป็นความสัมพันธ์แบบที่ใกล้ชิดที่สุด ที่มนุษย์ไม่เคยรับรู้และไม่เคยได้ยิน
เป็นความสัมพันธ์แบบที่มนุษย์ต้องพึ่งตระหนักและซึมซับความสัมพันธ์เช่นนี้


พระเยซูเจ้า สอนเราให้เรียกพระเจ้า ว่า "พระบิดา"
สอนเราให้ร้องหาพระองค์ด้วยความไว้วางใจ และด้วยความขอบพระคุณ
สอนเราให้มั่นใจต่อการเอาใจใส่ของพระเจ้า ในฐานะบิดาที่มีต่อบุตร

บิดารักบุตรของตนมากมายเช่นใด
พระบิดาเจ้าสวรรค์นั้น รัก เรามากยิ่งกว่านั้นอีก..

เมื่อเราเรียกพระเจ้าว่า "พระบิดา"
เราก็ย่อมเรียกกันและกันว่า "พี่น้อง"

และการให้อภัยต่อกันและกัน
เป็นเหมือนหัวใจของการเป็นบุตร และการเป็นครอบครัวเดียวกัน

จิตสำนึก และสามัญสำนึกของเรา
ที่มีให้แก่กันและกัน มีอย่างเดียวคือ ความเป็นพี่เป็นน้องกัน

เมื่อเราเป็นครอบครัวเดียวกัน
เมื่อเราเป็นพี่น้องกัน
การให้อภัย
การแบ่งปัน
ก็กลายเป็นธรรมชาติ และเอกลักษณ์ของเรา..


วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันพุธ 11 ธรรมดาปี B

มธ 6:1-6,16-18

 1 ​“จง​ระวัง อย่า​ปฏิบัติ​ศาสนกิจของ​ท่าน​ต่อหน้า​มนุษย์​เพื่อ​อวด​คน​อื่น มิฉะนั้น ท่าน​จะ​ไม่​ได้​รับ​บำเหน็จ​จาก​พระ​บิดา​ของ​ท่าน​ผู้​สถิต​ใน​สวรรค์
2 ​ดังนั้น เมื่อ​ท่าน​ให้​ทาน จง​อย่า​เป่าแตร​ข้างหน้า​ท่าน​เหมือน​ที่​บรรดา​คน​หน้า​ซื่อ​ใจ​คด มัก​ทำ​ใน​ศาลา​ธรรม​และ​ตาม​ถนน​เพื่อ​จะ​ได้​รับคำ​สรร​เสริญ​จาก​มนุษย์ เรา​บอก​ความ​จริง​แก่​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ว่า เขา​ได้​รับ​บำเหน็จ​ของ​เขา​แล้ว
3 ​ส่วน​ท่าน เมื่อ​ให้​ทาน อย่า​ให้​มือ​ซ้าย​ของ​ท่าน​รู้​ว่า​มือขวา​กำลัง​ทำ​สิ่งใด เพื่อ​ทาน​ของ​ท่าน​จะ​ได้​เป็น​ทาน​ที่​ไม่​เปิดเผย
4 ​แล้ว​พระ​บิดา​ของ​ท่าน​ผู้​ทรง​หยั่งรู้​ทุกสิ่ง จะ​ประ​ทาน​บำเหน็จ​ให้​ท่าน​
5 ​“เมื่อ​ท่าน​อธิษ​ฐาน​ภาวนา จง​อย่า​เป็น​เหมือน​บรรดา​คน​หน้า​ซื่อ​ใจ​คด เขา​ชอบ​ยืน​อธิษ​ฐาน​ภาวนา​ใน​ศาลา​ธรรม และ​ตาม​มุม​ลาน​เพื่อให้​ใครๆ เห็น เรา​บอก​ความ​จริง​แก่​ท่าน​ว่า เขา​ได้​รับ​บำเหน็จ​ของ​เขา​แล้ว 6 ​ส่วน​ท่าน เมื่อ​อธิษ​ฐาน​ภาวนา จง​เข้า​ไป​ใน​ห้องส่วนตัว  ปิด​ประตู อธิษ​ฐาน​ต่อ​พระ​บิดา​ของ​ท่าน​ผู้​สถิต​อยู่​ทั่วทุกแห่ง แล้ว​พระ​บิดา​ของ​ท่าน​ผู้​ทรง​หยั่งรู้​ทุกสิ่ง​จะ​ประ​ทาน​บำเหน็จ​ให้​ท่าน​
16 ​“เมื่อ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​จำศีล​อด​อาหาร จง​อย่า​ทำ​หน้าเศร้า​หมอง​เหมือน​บรรดา​คน​หน้า​ซื่อ​ใจ​คด เขา​ทำ​หน้า​หมอง​คล้ำ เพื่อ​แสดง​ให้​ผู้คน​รู้​ว่า​เขา​กำลัง​จำศีล​อด​อาหาร เรา​บอก​ความ​จริง​แก่​ท่าน​ว่า เขา​ได้​รับ​บำเหน็จ​ของ​เขา​แล้ว 
17 ​ส่วน​ท่าน เมื่อ​จำศีล​อด​อาหาร จง​ล้าง​หน้า ใช้​น้ำมัน​หอม​ใส่​ศีรษะ
18 ​เพื่อ​ไม่​แสดง​ให้​ผู้คน​รู้​ว่า​ท่าน​กำลัง​จำศีล​อด​อาหาร แต่​ให้​พระ​บิดา​ของ​ท่าน ผู้​สถิต​อยู่​ทั่วทุกแห่ง​ทรง​ทราบ และ​พระ​บิดา​ของ​ท่าน​ผู้​ทรง​หยั่งรู้​ทุกสิ่ง ก็​จะ​ประ​ทาน​บำเหน็จ​ให้​ท่าน”

ข้อคิด

การกระทำอะรไก็แล้วแต่..สิ่งสำคัญก็คือ การกระทำที่ออกมาจากใจ การกระทำที่มีความจริงใจ โดยเฉพาะการปฏิบัติศาสนกิจ กิจศรัทธาต่าง ๆ ต้องกระทำด้วยความจริงใจ และด้วยความเคารพต่อพระเจ้า

ไม่ใช่เป็นการกระทำทีโอ้อวด การกระทำที่ต้องการคำชม หรือยกย่องจากคนอื่น เพราะจะเป็นเหมือนการเอาพระเจ้ามาเป็นเครื่องมือสำหรับตนเอง เอาพระเจ้ามาเพื่อช่วยตัวเองให้ได้รับเกียรติ และการยกย่อง

ตัวอย่างที่พระเยซูเจ้าให้แก่เรา..ชัดเจนมากในเรื่องของการที่ไม่โอ้อวดตนเอง
การทำทาน..อย่าให้มือซ้ายรู้ว่ามือขวากำลังทำสิ่งใด
การอธิษฐานภาวนา..จงเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู
การจำศีลอดอาหาร..จงล้างหน้า ใช้น้ำมันหอมใส่ศีรษะ

เพราะว่า พระบิดาเจ้าสวรรค์ผู้หยั่งรู้ทุกสิ่งทรงรู้และจะประทานรางวัลให้แก่ท่าน

ผู้ที่ประทานรางวัลให้คือ พระบิดาเจ้าสวรรค์  ไม่ใช่มนุษย์

ไม่ว่า เราจะกระทำสิ่งใด เราจะต้องไม่คิดถึงผลที่จะได้รับจากมนุษย์ เช่น คนชมเชย คำยกย่อง การให้เกียรติ หรือ การสรรเสริญในการกระทำที่ดีของเรา

ไม่ว่า เราจะกระทำสิ่งใด ขอให้จิตใจของเราหันไปสู่พระเจ้า หันไปหาพระเจ้า
ด้วยการขอบคุณ และด้วยคำสรรเสริญพระองค์


วันอังคาร 11 ธรรมดาปี B

มธ 5:43-48

43 ​ “ท่าน​ทั้ง​หลาย​ได้ยิน​คำกล่าว​ว่า จงรัก​เพื่อนบ้าน  จง​เกลียด​ศัตรู
44 ​  แต่​เรา​กล่าว​แก่​ท่าน​ว่า จงรัก​ศัตรู จง​อธิษ​ฐาน​ภาวนา​ให้​ผู้​ที่​เบียด​เบียน​ท่าน 
45   ​เพื่อ​ท่าน​จะ​ได้​เป็น​บุตร​ของ​พระ​บิดา​เจ้า​สวรรค์ ​พระ​องค์​โปรด​ให้​ดวงอาทิตย์​ของ​พระ​องค์​
       ขึ้น​เหนือ​ คน​ดี​และ​คน​ชั่ว โปรด​ให้​ฝน​ตก​เหนือ​คน​ชอบ​ธรรม​และ​คน​อธรรม 
46 ​ ถ้า​ท่าน​รัก​แต่​คน​ที่รัก​ท่าน ท่าน​จะ​ได้​บำเหน็จ​รางวัล​อะไร​เล่า บรรดา​คน​เก็บ​ภาษี 
      มิได้​ทำ​เช่นนี้​ดอก​หรือ 
47 ​ ถ้า​ท่าน​ทักทาย​แต่​พี่​น้อง​ของ​ท่าน​เท่านั้น ท่าน​ทำ​อะไร​พิ​เศษ​เล่า 
      คน​ต่าง​ศาสนา​มิได้​ทำ​เช่นนี้​ดอก​หรือ 
48 ​ ฉะนั้น ท่าน​จง​เป็น​คน​ดี​อย่าง​สมบูรณ์ ดังที่​พระ​บิดา​เจ้า​สวรรค์​ของ​ท่าน ทรง​ความ​ดี​อย่าง​สมบูรณ์​เถิด​


ข้อคิด

จงรัก..เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงรัก เหมือนพระบิดาเจ้าสวรรค์
จงรัก..ศัตรู และจงภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน เหมือนพระบิดาเจ้าสวรรค์

พระเยซูเจ้าสอนเราให้รู้จักที่จะรัก.. รักเกินความรักแบบมนุษย์
พระเยซูเจ้าสอนเราให้รู้จักรัก..ในแบบของพระองค์ คือ รักอย่างไม่มีข้อยกเว้น
แม้ว่าจะเป็นใครก็ช่าง จะเป็นศัตรูหรือคนที่เกลียดเราก็ช่าง  จงรักเขา

หากเราไม่รักคนที่รักเรา หรือคนที่เกลียดชังเรา..เราได้ทำดีมากกว่าคนอื่นได้อย่างไร?
คนบาป คนเก็บภาษี คนต่างศาสนาก็ทำเช่นเดียวกัน

ทุกคนต้องทำดี..
แต่สำหรับเราคริสตชน.. ต้องมากกว่าการทำดี
นั่นคือ  การกระทำด้วยความรัก..

การกระทำดี เป็นหน้าที่และเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน ทุกศาสนาที่ต้องกระทำ
แต่สำหรับเรา.. เราต้องทำด้วยความรัก เหมือนอย่างพระเยซูเจ้าทรงกระทำด้วยความรัก

พระเยซูเจ้าตายบนไม้กางเขน.. มิใช่เพื่อต้องการเป็นคนดี ที่ตายแทนคนอื่นมากมาย
แต่พระองค์ตาย..เพราะพระองค์รักมนุษย์
ความรัก จึงผลักดันเราให้กระทำในสิ่งที่เกินกว่าธรรมชาติของเรา

จงทำด้วยความรัก ในทุกสิ่งในทุกอย่าง

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันจันทร์ 11 ธรรมดาปี B

มธ 5:38-42

38 ​    “ท่าน​เคย​ได้ยิน​เขา​กล่าว​ว่า ‘ตา​ต่อตา ฟัน​ต่อ​ฟัน’
 39 ​    แต่​เรา​กล่าว​แก่​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ว่า อย่า​โต้ตอบ​คน​ชั่ว
         ผู้ใด​ตบ​แก้ม​ขวา​ของ​ท่าน จง​หัน​แก้ม​ซ้าย​ให้​เขา​ด้วย
40 ​    ผู้ใด​อยาก​ฟ้อง​ท่าน​ที่​ศาล​เพื่อ​จะ​ได้​เสื้อ​ยาว​ของ​ท่าน ก็​จง​แถม​เสื้อคลุม​ให้​เขา​ด้วย​
41 ​    ผู้ใด​จะ​เกณฑ์​ให้​ท่าน​เดิน​ไป​กับ​เขา​หนึ่ง​หลัก จง​ไป​กับ​เขา​สอง​หลัก​เถิด
42 ​    ผู้ใด​ขอ​อะไร​จาก​ท่าน ก็​จง​ให้ อย่า​หัน​หลัง​ให้​ผู้​ที่มา​ขอ​ยืม​สิ่งใด​จาก​ท่าน


ข้อคิด

ตาต่อตา ฟันต่อฟัน นี่คือ กฎทั่วไปของมนุษย์ที่แสดงออกถึงความยุติธรรม เท่าที่จะทำได้


ตาต่อตา ฟันต่อฟัน คล้าย ๆ กับว่า ต้องการให้แต่ละคนเคารพต่อกันและกัน หมายความว่า เราจะต้องไม่ทำในสิ่งไม่ดีต่อคนอื่น หากเราทำไม่ดี เราก็จะถูกทำไม่ดีตอบแทนด้วย

ตาต่อตา ฟันต่อฟัน คล้าย ๆ กับว่าเป็นความยุติธรรม

ตาต่อตา ฟันต่อฟัน คล้าย ๆ กับว่า เป็นการตอบแทนที่เหมาะสม และสมควร

แต่..สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่คำสอนของพระเยซูเจ้า

พระองค์สอนเราว่า    อย่าโต้ตอบคนชั่ว..  ทำไม พระเยซูเจ้าไม่ให้เราโต้ตอบคนชั่ว..

การโต้ตอบ มีอยู่ 2 วิธี คือ ใช้ความชั่วโต้ตอบความชั่ว และ ใช้ความดีโต้ตอบความชั่ว
ซึ่งวิธีการแรก ดูเหมือนเป็นวิธีการที่ง่ายและสะใจ แต่วิธีการที่สองเป็นวิธีการที่ต้องออกแรง
ออกจากตัวเอง และต้องฝืนใจตนเอง

และดูเหมือนว่าพระเยซูเจ้าจะสอนให้เราใช้วิธีการที่สองมากกว่าวิธีการแรก โดยพระองค์ยกตัวอย่างว่า
ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย..

การจะทำดีต่อคนที่ทำชั่วกับเรานั้น เป็นสิ่งที่ลำบากมาก เพราะตามหลักศีลธรรม ใครทำดีต่อเรา เราก็ทำดีตอบแทน ใครทำชั่วกับเรา เราก็ต้องทำชั่วตอบแทน เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและความสมดุลย์กันของชีวิตที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมกัน

ในพระอาณาจักรแห่งความรัก
จงรัก เหมือนกับที่พระคริสตเจ้าทรงรัก
จงรัก แม้แต่ศัตรู ตามแบบอย่างความรักของพระคริสตเจ้า
จงรัก กันและกัน ในรูปแบบของ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

พระเยซูเจ้าไม่ได้แสวงหาความรุนแรง แต่พระองค์ปรารถนาสันติสุข
พระเยซูเจ้านำความอ่อนโยน และถ่อมตน ไม่ใช่ความหยิ่งจองหอง และการเอารัดเอาเปรียบ..









วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สมโภชพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า

วันอาทิตย์ ที่ 17 มิถุนายน 2012


วันนี้ พระศาสนจักรเชิญชวนเราทำการสมโภชพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า พูดง่าย ๆ ก็คือ 
สมโภชหัวใจของพระเยซูเจ้า นั่นเอง  
พระศาสนจักรต้องการให้เรารำพึง ไตร่ตรองและคิดถึงหัวใจของพระเยซูเจ้า 
เพราะหัวใจของพระองค์นี่แหละที่ทำให้เรารอดพ้น แล้วเราเข้าใจหัวใจของพระเยซูเจ้ามากน้อยแค่ไหน? หรือ เราเข้าใจหัวใจของพระเยซูเจ้าอย่างไร?

หัวใจของพระเยซูเจ้า ก็คือ หัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุภาพถ่อมตนและอ่อนโยน (มธ 11:29)

เราสามารถมองเห็นได้ในพระวรสาร ในการกระทำของพระเยซูเจ้ากับบุคคลอื่น 
เช่น การสนทนากับผู้หญิง กับคนชรา (นิโคเดมัส) กับคนหนุ่ม (เศรษฐี) กับคนบาป (ซักเคียส)
เป็นการกระทำที่เรียบง่าย แต่ในเป็นที่สะดุดในกฎหมายและวัฒนธรรมของชาวยิว 
สำหรับพระองค์ไม่มีกฎใดยิ่งใหญ่กว่ากฎแห่งความรัก 
นี่แหละคืออัศจรรย์ที่สุดที่พระเยซูเจ้าได้ทำให้มนุษย์ได้เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 
เพราะความรักเป็นสิ่งที่เรียบง่าย แสดงออกอย่างง่าย ๆ แต่ผลของความรักนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้

ในหนังสือประกาศกโฮเชยาห์ เราได้เห็นภาพของหัวใจของพระเจ้าที่มีแต่มนุษย์ เป็นหัวใจที่อ่อนโยน 
และเปี่ยมด้วยความรัก ภาพนั้นก็คือ ภาพของแม่กับลูกของตนเอง การเลี้ยงดู การเอาใจใส่ การปกป้อง 
การให้ความอบอุ่น การให้ความรัก เช่น ภาพของการสอน ภาพของการอุ้ม ภาพของการเอาใจใส่ 
ภาพของการจูงมือ ภาพของการจูบแก้ม และการป้อนอาหาร นี่คือภาพของความรัก ความอ่อนโยน

ในพระวรสารวันนี้ นักบุญยอห์นได้สรุปให้เราเห็นภาพเหตุการณ์ที่กลโกธา 
ที่ตรงกับพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ นั่นคือ เขาทั้งหลายจะมองดูผู้ที่เขาแทง

ความตายของพระเยซูเจ้า ทำให้มนุษย์หันมามองพระองค์ ทำให้มนุษย์เข้าใจพระองค์ 
ทำให้มนุษย์ได้เห็นหัวใจของพระองค์ หัวใจของผู้ที่มนุษย์ทั้งหลายได้แทง ไม่ใช่หอกที่แทงพระองค์ 
แต่เป็นจิตใจอันแข็งกระด้าง จิตใจเมินเฉย จิตใจที่จองหอง ได้ทิ่มแทงหัวใจอันสุภาพและอ่อนโยนของพระองค์

บนกางเขน มนุษย์ได้มองเห็น พระเยซูเจ้าถูกตรึง มนุษย์ได้มองเห็นเลือดและน้ำที่ไหลจากสีข้างของพระองค์ 
สิ่งที่เป็นความหมายสูงสุดก็คือ มนุษย์ได้มองเห็นและเข้าใจหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักของพระองค์

หัวใจที่สุภาพอ่อนโยนและถ่อมตนของพระเยซูเจ้า ได้ทำลายความหยิ่งจองหอง 
ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ทำให้มนุษย์รู้จักที่จะรัก และรู้จักที่จะให้อภัยแก่คนอื่น 
เพราะความรัก ทำให้เกิดการคืนดีและการให้อภัย เพราะความรักทำให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวและการให้อภัย

เรามองเห็นความรักของพระเยซูเจ้า และนำความรักของพระองค์เข้าสู่หัวใจของเรา จากใจ สู่ใจ..



วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สมโภชพระกายและพระโลหิต 2012


นี่คือ กายของเรา  นี่คือ โลหิตของเรา เพื่อท่าน


พี่น้องที่เคารพรัก วันนี้เราสมโภชพระวรกายและพระโลหิตของพระคริสตเจ้า หรือเรียกง่าย ๆ ก็คือ เราสมโภชศีลมหาสนิทนั่นเอง
ศีลมหาสนิทมีความหมาย มีความสำคัญอย่างไรสำหรับชีวิตคริสตชน สำหรับชีวิตของผู้มีความเชื่อ?
      1.      ศีลมหาสนิทเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้า  “ในคืนที่ทรงถูกทรยศนั้นเอง พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหยิบปัง  ขอบพระคุณ แล้วทรงบิออก ตรัสว่า นี่คือกายของเราเพื่อท่านทั้งหลาย จงทำการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด  เช่นเดียวกัน หลังอาหารค่ำ ก็ทรงหยิบถ้วย ตรัสว่า ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ในโลหิตของเรา ทุกครั้งที่ท่านจะดื่ม จงทำการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด  (1คร 11:23-25)  พระเยซูเจ้าได้มอบชีวิตของพระองค์ทั้งครบภายใต้รูปปรากฎของปังและเหล้าองุ่น เมื่อพระสงฆ์เสกปังและเหล้าองุ่นก็กลายเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้าอย่างแท้จริงอาศัยพระจิตเจ้า
2.       ศีลมหาสนิทเป็นอาหารบำรุง หล่อเลี้ยงจิตใจ หล่อเลี้ยงวิญญาณของเราให้เจริญเติบโต และสร้างความสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า  ถ้าท่านไม่กินเนื้อของบุตรแห่งมนุษย์  และไม่ดื่มโลหิตของเขา  ท่านจะไม่มีชีวิตในตนเอง ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา  ก็มีชีวิตนิรันดร    เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้  และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้  ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็ดำรงอยู่ในเรา และเราก็ดำรงอยู่ในเขา(ยน 6:53-56)  จะมีสิ่งใดที่สามารถทำให้วิญญาณของเราเติบโต และเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้ นอกจากอาหารฝ่ายวิญญาณก็คือ ศีลมหาสนิท
3.       ศีลมหาสนิทเป็นการประทับอยู่ของพระเจ้าอย่างแท้จริง และอย่างเห็นได้ชัดเจนที่สุด   น.อิเรเนอุส กล่าวว่า ศีลมหาสนิทเป็นการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้าอย่างแท้จริง พระองค์ประทับอยู่ในพระกายและพระโลหิต น.ยอห์น คริสโซสโตม เมื่อท่านกำลังจะเข้าไปยังแท่นศักดิ์สิทธิ์ จงเชื่อว่า พระมหากษัตริย์แห่งสิ่งสร้างทั้งมวลประทับอยู่ที่นั่น  
4.       ศีลมหาสนิททำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เพราะพระองค์เสด็จมาประทับอยู่ในตัวของเราแต่ละคน  และยังทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับเพื่อนมนุษย์ ในฐานะที่เราทุกคนได้รับกายและพระโลหิตจากพระเยซูเจ้าองค์เดียวกัน น.ออกัสติน เรากินอาหารเข้าไป อาหารก็กลายเป็นเนื้อของเรา ทำให้เราเข้มแข็ง เติบโต แต่การรับศีลมหาสนิท ไม่ใช่เราเปลี่ยนพระเยซูเจ้าให้พระองค์มาเป็นตัวของเรา แต่ทุกครั้งที่เรารับพระองค์ พระองค์จะเปลี่ยนตัวของเราให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์
5.       ศีลมหาสนิทเป็นศีลแห่งการขอบพระคุณ  พระเยซูเจ้าได้มอบชีวิตทั้งหมดของพระองค์เพื่อเป็นเครื่องบูชา และถวายบูชาแด่พระบิดาเจ้าบนไม้กางเขน  น.ยุสติน ศีลมหาสนิทเป็นบูชาขอบคุณพระเจ้า เพื่อระลึกถึงการสร้างโลกและพระเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ   น.อิกญาซิโอ แห่ง อันทิโอก  ศีลมหาสนิท เป็นการขอบคุณพระเจ้า เพื่อทำให้ความเชื่อของเราเติบโตและมั่นคง และสร้างความเป็นหนึ่งเดียวในกลุ่มคริสตชน และศีลมหาสนิทหมายถึง ร่างกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้าซึ่งรับทรมานเพราะบาปของเรานอกจากนี้ยังเป็น อาหารบำรุงเลี้ยงชีวิตจิตใจของเราด้วย
6.       ศีลมหาสนิทเป็นศีลแห่งความรัก เป็นความรักอย่างสุดที่จะพรรณนาได้ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์  พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ แต่ทรงลงมาประทับอยู่กับมนุษย์ผู้อ่อนแอ  มนุษย์ผู้เป็นคนบาป มนุษย์ผู้มีขีดจำกัด  เป็นความรักของพระเจ้าที่ให้กับเราจริง ๆ ผ่านทางศีลมหาสนิท
พี่น้องที่เคารพรัก  ทุกครั้งที่เรารับพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทเข้ามาสู่ชีวิตของเรา เราจะต้องพยายามทำให้ชีวิตของเรากลายเป็นชีวิตของพระองค์ให้ได้  เราจะต้องพยายามทำให้ชีวิตของเราเป็นอาหารสำหรับคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเราให้ได้  ชีวิตของเราจะต้องถูกบิ ถูกหักออกเพื่อกันและกัน สามี-ภรรยา ต้องหัก ต้องบิ และต้องให้ชีวิตของตนแก่กันและกัน พ่อ-แม่-ลูก ต้องหัก ต้องบิตัวเองออกเพื่อมอบให้แก่กันและกัน คนในหมู่บ้านต้องหัก ต้องบิตัวเองออก เพื่อมอบให้แก่กันและกัน เพื่อให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับพระเยซูเจ้าที่พระองค์ได้ให้ชีวิตของพระองค์แก่ทุกคน เพื่อให้ทุกคนได้รับชีวิตนิรันดร
ทุกครั้งที่เรารับศีลมหาสนิทขอให้เราตระหนักด้วยความสำนึกอย่างแท้จริงว่า นี่คือพระกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้า นี่คือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้เสด็จมาสู่ชีวิตของเราแล้ว
ทุกครั้งที่เรารับศีลมหาสนิทขอให้เราขอบพระคุณพระองค์เสมอ สำหรับความรักของพระองค์




ครบ 7 ปี ของการเป็นสงฆ์

วันที่ 4 มิถุนายน 2012
เป็นวันครบรอบบวช 7 ปีของการดำเนินชีวิตในการเป็นสงฆ์

เมื่อมองดูอดีตที่ผ่านมา

4 มิถุนายน 2005
 บวชเป็นพระสงฆ์ ที่อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ท่าแร่ โดยพระคุณเจ้ายอร์ช ยอด พิมพิสาร C.Ss.R.

มิถุนายน 2005 - ธันวาคม 2006  
เป็นผู้ช่วยอาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ท่าแร่ (คพ.วัชรินทร์ ต้นปรึกษา เป็นเจ้าอาวาส)
ดูแลเด็กคำสอน เยาวชน และการสอนคำสอน/พิธีกรรมในวัด

มกราคม 2007 - พฤษภาคม 2008
เป็นเจ้าอาวาสวัดพระนามเยซู นาคำ และวัดนักบุญอันตน นาทัน
รับผิดชอบงานเยาวชนของอัครสังฆมณฑล ท่าแร่

มิถุนายน 2008 - พฤษภาคม 2009   เตรียมตัวเรียนภาษา
มิถุนายน - กรกฎาคม 2008    ช่วยงานวัดจันทร์เพ็ญ เสาร์-อาทิตย์
สิงหาคม - ตุลาคม 2008        ช่วยงานมิสซังอุดร
                                             (เขตวัดห้วยเล็บมือ และ อาสนวิหารพระมารดานิจจานุเคราะห์)

29 มิถุนายน 2009 - 4 กรกฎาคม 2011
ศึกษาต่อปริญญาโท วิชา เทววิทยาเกี่ยวกับการแต่งงานและครอบครัว
ที่สถานบันพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2  ในมหาวิทยาลัยลาเตรัน กรุงโรม ประเทศอิตาลี

กรกฎาคม 2011 - จนถึงปัจจุบัน
เป็นคณะผู้ให้การอบรมสามเณรในบ้านเณรฟาติมา ท่าแร่
เป็นรองอธิการ ดูแลเรื่องระเบียบวินัย

วันนี้ 4 มิถุนายน 2012
ชีวิตที่ผ่านมา.. มีหลายต่อหลายสิ่งที่น่าจะจดจำ และมีหลายต่อหลายสิ่งที่ต้องใส่ใจ เรียนรู้และแก้ไข
จากความผิดพลาด จากความเข้าใจผิด จากความไม่เข้าใจ ในการกระทำหลาย ๆ อย่าง

ปัจจุบัน.. เป็นการทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ทำหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบต่อตัวเอง และต่อคนอื่นให้ดีที่สุด เท่าที่จะสามารถทำได้ เพราะไม่มีสิ่งใดที่เป็นกังวลใจ
ความดีงาม และความผิดพลาดย่อมควบคู่กันไปเสมอ มีเพียงการเริ่มต้นใหม่เท่านั้นที่จะทำให้เกิดการก้าวหน้าในความดีงาม

อนาคต.. รับรู้ มั่นใจ และเชื่อมั่นในพระเจ้าเท่านั้น พระองค์เท่านั้นที่จะทำให้เรารอดพ้นได้ ในทุกสิ่ง ด้วยความเพียรทน ด้วยความอดทน และด้วยการวางใจในพระหัตถ์ของพระองค์

7 ปีของการเป็นสงฆ์ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านพ้นได้ในแต่ละวัน และในแต่ละปี
ขอบคุณพระหรรษทานของพระที่มีให้เสมอ และเพียงพอที่จะก้าวหน้าในกระแสเรียก
พระหรรษทานและความรักของพระ ทำให้เกิดความเข้มแข็งเสมอ
พระหรรษทานและความรักของพระองค์ ทำให้ชีวิตไม่หลงทาง

"ข้าพเจ้าเป็นสงฆ์ของพระองค์ เป็นข้ารับใช้พระวาจาของพระองค์ และเพื่อนพี่น้อง"





วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สมโภชพระตรีเอกภาพ 2012

บทเทศน์


พระบิดา และพระบุตร และพระจิต ทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงใกล้ชิดเรา ชนิดที่ว่า เราแทบจะไม่รับรู้ด้วยซ้ำไปว่า พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอ ในทุกวัน ทุกเวลา และทุกสถานการณ์ของชีวิตที่เรากำลังดำเนินไป
ทุก ๆ วัน ทุก ๆ ครั้ง ทุก ๆ เวลาที่เราทำสำคัญมหากางเขน นั่นแหละเป็นการประกาศว่า เราเชื่อ เราไว้วางใจ เรามีพระเจ้า คือ พระบิดา และพระบุตร และพระจิตเจ้า ทรงคุ้มครอง ดูแล และปกปักรักษาเราเสมอ
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ได้พูดถึงพระเจ้าว่า  พระเจ้าของเราไม่เหมือนกับเทพเจ้าอื่นใด หรือรูปเคารพใดใด ที่มีตาแต่มองไม่เห็น มีหูแต่ไม่ได้ยิน มีปากแต่พูดไม่ได้  สำหรับประชากรของพระเจ้า พระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์เองให้เรารับรู้ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้มีชีวิตตั้งแต่ปฐมกาล ก่อนกาลเวลา และไม่มีสิ้นสุด พระเจ้าทรงเปิดเผยพระนามของพระองค์ให้มนุษย์คือ พระยาห์เวห์ หมายถึง พระองค์ทรงเป็นอยู่ ประทับอยู่กับพวกเรา
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่  เราเห็นว่า ตลอดชีวิตของพระเยซูเจ้า พระองค์มีความสัมพันธ์กับพระบิดา และพระจิตเจ้าเสมอ เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะที่ขาดจากกันไม่ได้ พระบุตรไม่ได้ดำเนินชีวิตคนเดียวในโลกนี้ แต่พระองค์มีพระบิดาและพระจิตเจ้านำทางเสมอ และพระบิดาไม่เคยทอดทิ้งพระบุตรเลย
นักบุญออกัสติน ได้พูดถึงพระตรีเอกภาพเพื่อให้เราได้เห็นชัด ๆ ว่า พระบิดาทรงเป็นผู้ให้ความรัก  พระบุตรทรงเป็นผู้รับความรัก หรือถูกรัก ส่วนพระจิตเจ้าทรงเป็นความรัก
นอกจากนี้ ในพระคัมภีร์ยังเปิดเผยให้เราทราบอีกว่า พระเจ้าของเราทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงชีวิต (พระบิดา) พระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด (พระบุตร) และพระเจ้าทรงเป็นองค์ความศักดิ์สิทธิ์ (พระจิตเจ้า) ทั้งสามนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน พระบิดาเจ้าทรงเป็นชีวิต เป็นความรอด และเป็นความศักดิ์สิทธิ์ ทั้งพระบุตรและพระจิตเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน
ในคำสอนของคาทอลิก สอนเราว่า
พระบิดา และพระบุตร และพระจิตเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแท้เพียงพระองค์เดียว ไม่ใช่สามองค์ แต่เป็นพระเจ้าองค์เดียว แต่มีสามพระบุคคล นั่นคือ พระบิดาให้กำเนิดพระบุตร แต่พระบิดาไม่ใช่พระบุตร พระบุตรกำเนิดมาจากพระบิดา แต่ก็ไม่ใช่พระบิดา พระจิตเจ้าไม่ใช่ทั้งพระบิดาและพระบุตร แต่เนื่องมาจากพระบิดา และพระบุตร 
หมายความว่า พระบิดาก็คือพระบิดา พระบุตรก็คือ พระบุตร พระจิตก็คือพระจิต เป็นหนึ่งเดียวกันในความสัมพันธ์ที่แยกจากกันไม่ได้
ดูเหมือนว่า พระเยซูเจ้าเท่านั้นที่บังเกิดจากพระนางมารี ตายบนกางเขน และกลับคืนพระชนมชีพ
ดูเหมือนว่า พระจิตเจ้าเท่านั้นที่เสด็จมาประทับเหนือพระเยซูเจ้าที่แม่น้ำจอร์แดน และในวันเปนเตกอสเตที่เสด็จมาเหนืออัครสาวก
ดูเหมือนว่า พระบิดาเท่านั้นที่ตรัสออกมาที่แม่น้ำจอร์แดน และที่ภูเขาทาร์บอ
แต่แท้จริงแล้ว พระบิดา พระบุตร และพระจิตเจ้าทรงกระทำงานของพระองค์อย่างที่แยกจากกันไม่ได้ ดูเหมือนจะแยกจากกันในพระองค์เอง แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ นี่คือความเชื่อของเรา
นี่คือความเชื่อของคาทอลิก


สิ่งที่เป็นแนวปฏิบัติสำหรับชีวิตคริสตชนของเราก็คือ ความสัมพันธ์ต่อกันและกัน

ความสัมพันธ์ต่อกันและกัน เริ่มต้นจากครอบครัว พ่อ แม่ ลูก ที่จะต้องสร้างและเลียนแบบชีวิตของพระตรีเอกภาพ พ่อ แม่ ลูก มีความแตกต่างกันในทางด้านร่างกาย และจิตใจ แตกต่างในบทบาทและหน้าที่ แต่ทุกคนก็ต้องสำนึกถึงความเป็นครอบครัว ในความเป็นพ่อ ในความเป็นแม่ ในความเป็นลูก เหนือสิ่งอื่นใด ทุกคนจะต้องสำนึกและตระหนักว่า เราเป็นครอบครัวที่ไม่อาจแบ่งและแยกได้  สิ่งที่รวมเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็คือ ความรัก.. พ่อรักแม่ พ่อแม่รักลูก และลูกก็รักพ่อแม่  นี่คือความสัมพันธ์ของพระตรีเอกภาพ

ความรักกันและกัน จะขจัดความขัดแย้งทั้งหมด 
ความรักต่อกันและกัน จะทำลายความแตกแยกทั้งปวง
ความรักต่อกันและกัน จะก่อให้เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ความรักต่อกันและกัน จะก่อให้เกิดการให้อภัยกันเสมอ

ความสัมพันธ์ต่อกันและกันในครอบครัวไม่พอ จะต้องขยายความสัมพันธ์ต่อกันและกัน กับ บุคคลรอบข้าง เพื่อนบ้านของเราด้วย เพื่อสานต่อ และสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สันติภาพ และสันติสุขก็จะเกิดขึ้นในหมู่บ้านของเรา

พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ตรัสว่า "พระตรีเอกภาพคือความเป็นหนึ่งเดียวกันที่สมบูรณ์ที่สุดอย่างแท้จริง"
พระองค์ตรัสอีกว่า พระเจ้าเป็นความรัก พระบิดาเป็นความรัก พระบุตรเป็นความรัก และพระจิตเป็นความรัก 
เป็นความรักที่บริสุทธิ์ ไม่มีขอบเขต และตลอดนิรันดร
ภาพของพระตรีเอกภาพ เป็นภาพแห่งความรักเท่านั้น เพราะความรักทำให้เรามีความสุข พวกเราทุกคนมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะรัก และเพื่อที่จะรับความรัก..