BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ฉลองนักบุญยากอบ 2012

พระวรสาร มธ 20:20-28


20 มารดาของบุตรเศเบดีเข้ามาเฝ้าพระองค์พร้อมกับบุตร นางกราบลงทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์
21 ​​พระองค์จึงตรัสถามนางว่าท่านต้องการอะไรนางทูลว่าขอพระองค์ทรงอนุญาตให้บุตรทั้งสองคนของข้าพเจ้า นั่งข้างขวาคนหนึ่ง นั่งข้างซ้ายคนหนึ่งในพระอาณาจักรของพระองค์
22 ​​พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่าท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไร ท่านดื่มถ้วย ซึ่งเราจะดื่มได้หรือไม่”  เขาทั้งสองทูลตอบว่าได้ พระเจ้าข้า
23 ​​พระองค์ตรัสกับเขาว่าท่านจะดื่มถ้วยของเรา แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานั้นไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำหรับผู้ที่พระบิดาของเราทรงจัดเตรียมไว้
24 เมื่อได้ยินดังนั้น อัครสาวกอีกสิบคนรู้สึกโกรธพี่น้องสองคนนั้น
25 ​​พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกทุกคนมาพบ ตรัสว่าท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าคนต่างชาติที่เป็นหัวหน้า ย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น และผู้ใหญ่ย่อมใช้อำนาจบังคับ
26 แต่ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่ จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น
27 และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในบรรดาท่านทั้งหลาย ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้
28 เหมือนกับที่บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์



บทเทศน์


ผู้รับใช้และมรณสักขี

เอกลักษณ์ของการเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าก็คือ การเป็นผู้รับใช้และการเป็นมรณสักขี พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ของพระองค์เสมอ ในเรื่องของการเป็นผู้รับใช้ เพราะว่า พระองค์มาในโลกมิใช่มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ทุกคน พระองค์เป็นอาจารย์คนแรกที่ทรงล้างเท้าให้บรรดาศิษย์ เพื่อเป็นแบบอย่างให้บรรดาศิษย์ได้กระทำเป็นแบบอย่างในการที่จะรับใช้คนอื่น รับใช้ทุกคน รับใช้แม้แต่คนที่ต่ำต้อยที่สุด
และพระเยซูเจ้าก็บอกว่า การเป็นผู้ใช้นั้นในเวลาเดียวกันก็ต้องเป็นมรณสักขีด้วย ในที่นี้คือ การตายต่อตัวเอง ตายต่อน้ำใจตัวเอง ตายต่อความสุขของตนเอง เพื่อที่จะทำให้เกิดสิ่งที่ดีที่งามต่อบุคคลอื่น พระเยซูเจ้าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อเรา เพื่อเราจะได้รับความรอดพ้น เพื่อช่วยเรา
ดังนั้น การเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าจะต้องสร้างและแสดงเอกลักษณ์เช่นนี้ออกมาในชีวิตประจำวันของเรา ให้โดดเด่นกว่าสิ่งอื่นใด
นักบุญยากอบอัครสาวก ท่านได้แสดงออกถึงการเป็นผู้รับใช้และมรณสักขี ในฐานะที่ท่านเป็นอัครสาวกที่ใกล้ชิดกับพระเยซูเจ้า ท่านได้นำคำสอนของพระองค์และแบบอย่างของพระองค์มาปฏิบัติในชีวิต เหมือนดังพระวรสารที่บอกกับเราในบทสนทนาของพระเยซูเจ้าว่า ท่านจะได้ดื่มถ้วยที่เราจะดื่ม
แน่นอนว่า นี่คือ การร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพระเยซูเจ้า และท่านก็ได้ทำจนตลอดชีวิตของท่าน การที่คนหนึ่งร่วมทุกข์ร่วมสุขกับอีกคนหนึ่งย่อมแสดงให้เห็นว่า คนนั้นมีความรักต่อกัน เราเองก็เช่นกัน เรามีก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพระเยซูเจ้า เพราะเราเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรัก และเราก็รักพระองค์ คนแปลกหน้าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนอื่นได้อย่าง นอกจากคนในครอบครัวเดียวกันเท่านั้น


วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันศุกร์ 15 ธรรมดาปี B

พระวรสาร มธ 12:1-8


1ครั้งหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลีในวันสับบาโต บรรดาศิษย์รู้สึกหิว จึงเด็ดรวงข้าวมากิน  
2เมื่อชาวฟาริสีสังเกตเห็นดังนั้น จึงทูลพระองค์ว่า ดูซิ ศิษย์ของท่านกำลังทำสิ่งต้องห้ามในวันสับบาโต  
3พระองค์ตรัสตอบว่า ท่านไม่ได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่ากษัตริย์ดาวิดและผู้ติดตามได้ทำสิ่งใดเมื่อหิวโหย  
4พระองค์เสด็จเข้าไปในพระนิเวศน์ของพระเจ้า เสวยขนมปังที่ตั้งถวายพร้อมกับบรรดาผู้ติดตาม  ขนมปังนั้นผู้ใดจะกินไม่ได้ นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น  
5ท่านไม่ได้อ่านในธรรมบัญญัติหรือว่า ในวันสับบาโตนั้น บรรดาสมณะในพระวิหารย่อมละเมิดวันสับบาโตได้โดยไม่มีความผิด
6เราบอกท่านทั้งหลายว่า ที่นี่มีสิ่งยิ่งใหญ่กว่าพระวิหารเสียอีก  
7ถ้าท่านเข้าใจความหมายของข้อความที่ว่า เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา ท่านคงจะไม่กล่าวโทษผู้ไม่มีความผิด  
8เพราะบุตรแห่งมนุษย์เป็นนายเหนือวันสับบาโต




บทเทศน์


เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา

เป็นการเน้นย้ำให้เห็นลักษณะของพระเจ้าอีกว่า พระองค์ทรงมีใจสุภาพ อ่อนโยนและถ่อมตน
พระองค์ชี้ให้เห็นว่า พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่งความรัก
พระองค์ปรารถนาให้บรรดาบุตรของพระองค์รักกันและกัน ช่วยเหลือจุนเจือซึ่งกันและกัน
พระองค์ไม่ต้องการความซื่อสัตย์ต่อกฎปฏิบัติ หรือ ต่อกฎบัญญัติ
โดยปราศจากความเมตตาต่อคนอื่น
โดยปราศจากการช่วยเหลือคนอื่น

กฎที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราควรถือปฏิบัติเป็นเรื่องแรก
ก็คือ ความรัก
จะต้องไม่มีกฎใดใดที่อยู่เหนือกฎนี้

วันนี้ พระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์เดินผ่านทุ่งนาข้าวสาลี
บรรดาศิษย์หิว จึงเด็ดรวงข้าวมากิน
ชาวฟาริสีตำหนิพระเยซูเจ้าว่า ทำไมบรรดาศิษย์ทำในสิ่งต้องห้ามในวันสับบาโต
สิ่งต้องห้ามในวันสับบาโตก็คือ การทำงาน
การทำงานในวันสับบาโต เท่ากับการลบหลู่ ดูหมิ่น และไม่ให้เกียรติพระเจ้า
การทำงานในวันสับบาโต ถือว่า ผิดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า
เหมือนกับเรา ทำงานในวันอาทิตย์ เช่น ทำนา

พระเยซูเจ้าไม่ได้ตำหนิบรรดาศิษย์ของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงทราบว่า ที่เขาทำไปนั้น
เพราะหิว
แต่พระองค์ทรงตำหนิบรรดาชาวฟาริสีว่า พวกเขาไม่เข้าใจจิตตารมณ์ของกฎบัญญัติ
นั่นคือ กฎบัญญัติ มิได้มีไว้เพื่อกดขี่ หรือบังคับ หรือเป็นเหมือนภาระ แอกที่ต้องแบก
แต่กฎบัญญัติมีไว้เพื่อช่วยมนุษย์
ส่งเสริมให้มนุษย์รักกันและกัน และรักพระเจ้า

 


วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันพฤหัสบดี 15 ธรรมดาปี B


พระวรสาร มธ 11:28-30

28ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน  
29จงรับแอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยนและถ่อมตน จิตใจของท่านจะได้รับการพักผ่อน  
30เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา




บทเทศน์



ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเราเถิด..

ทำไมพระเยซูเจ้าจึงเชื้อเชิญให้เราเข้ามาหาพระองค์?
ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม ที่เราออกห่างจากพระเจ้า
ไม่ว่าครั้งใดก็ตามที่เราอยู่ไกลจากพระเจ้า
การมีชีวิตอยู่ของเราย่อมเป็นการอยู่อย่างยากลำบาก
ในการทำงาน ที่ปราศจากพระเจ้า
ในการเรียนที่ปราศจากพระเจ้า
ในการทำหน้าที่ของเราที่ปราศจากพระเจ้า
เราย่อมจะพบกับความลำบาก ความเหนื่อย
เราย่อมพบว่า สิ่งที่เราทำนั้นหนัก และเหนื่อย
เราย่อมพบว่า เราเป็นทาสของเวลา เป็นทาสของงาน เป็นทาสของหน้าที่ของเรา
เราดูเหมือนว่า เราไม่เป็นอิสระ

พระเยซูเจ้าเชื้อเชิญให้เราเข้ามาหาพระองค์
หมายความว่า พระองค์ต้องการให้เราตระหนักเสมอว่า พระองค์อยู่กับเรา
หมายความว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรให้เราสำนึกเสมอว่า พระเจ้าอยู่กับเรา พระเจ้าเคียงข้างเรา
ในความทุกข์ ในปัญหา ในความยากลำบาก ในเวลาที่ไม่มีใคร ในเวลาที่เหนื่อยและท้อแท้

จงมาหาเราเถิด.. จิตใจของท่านจะได้รับการพักผ่อน
เหนื่อยกาย..ก็นอนพักสักหน่อย ก็หาย
แต่เหนื่อยใจ หนักใจ.. เราจะทำอย่างไร?
จิตใจของเราโหยหาพระเจ้าเสมอ
จิตใจของเราร้องหาพระเจ้าเสมอ
จงเข้ามาหาพระเจ้า แล้วเราจะพบกับการพักผ่อน

ความสงบ และสันติสุข

เราพบได้ในพระเจ้าเท่านั้น


วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันพุธ 15 ธรรมดาปี B


พระวรสาร มธ 10:25-27


25เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า ข้าแต่พระบิดา เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ที่ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้มีปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้ต่ำต้อย  
26ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น 
27พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดา และไม่มีใคร
รู้จักพระบิดา นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรเปิดเผยให้รู้



บทเทศน์

ทำไม..คนที่มีความปรีชาฉลาดจึงถูกปิดบังเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์
ทำไม..คนต่ำต้อยจึงได้รับการเปิดเผย หรือ ไขแสดงให้รู้ถึงความรอดพ้น

ความฉลาดตามประสามนุษย์ ก็คือความโง่ในสายพระเนตรของพระเจ้า
มนุษย์ที่คิดว่าตนเองฉลาด และรู้จักหนทางเอาตัวรอดพ้นได้นั้น มักจะตายไปเพราะความโง่ของตนเอง


คนต่ำต้อย ในที่นี้ หมายถึง บรรดาศิษย์ ได้รับการเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับสวรรค์ 
คนต่ำต้อยในที่นี้หมายถึง คนที่มีจิตใจยากจน คนที่มีจิตใจที่พร้อมจะต้อนรับพระเจ้า
ก็เพราะว่า
คนต่ำต้อย จิตใจของเขาว่างเปล่า และพร้อมที่จะรับ และพร้อมที่จะ

แก้วน้ำที่เต็มแก้ว ไม่สามารถรับน้ำใหม่ได้อีก ฉันใดก็ฉันนั้น คนที่มีความปรีชาฉลาด
มักจะไม่เห็นคุณค่าของความรอดพ้น เช่นกัน
คนฉลาดและรอบรู้ ก็คือ พวกฟาริสี และ ธรรมาจารย์

ความฉลาดปิดตาของเขา และความจองหองก็ปิดใจของเขาเอาไว้
ทำให้เขามองไม่เห็นพระเจ้า คิดเกินเลยเพื่อนพี่น้องของตนเอง
เพราะเขาใช้ความฉลาดรอบรู้ของเขา เพื่อตนเอง แต่ไม่ใช่เพื่อรับใช้คนอื่น

คนที่ฉลาดที่สุด ก็คือ คนที่รู้จักพระเจ้า
คนฉลาดที่สุด ก็คือ คนที่รู้จักหนทางของพระเจ้า
คนฉลาดที่สุด ก็คือ คนที่ปฏิบัติตามพระวาจาของพระเจ้า