BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันศุกร์ 21 ธรรมดา ปี B

พระวาจา



ข้อคิด


จากพระวรสารในวันนี้ ทำให้เกิดคำถามและคำตอบเกี่ยวกับการจะได้เข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าว่า ใครจะสมควรได้เข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า และคำตอบที่พระเยซูเจ้าได้ให้ก็คือ คนที่มีความเตรียมพร้อมไว้อยู่เสมอ


หญิงโง่ และหญิงฉลาด เป็นตัวอย่างของการไม่รู้จักเตรียมตัวให้พร้อม และตัวอย่างของการพร้อมเสมอ  คนที่พร้อมเสมอนั้น มีคุณสมบัติก็คือ การมีเหลือเผื่อไว้ ส่วนคนที่ไม่พร้อมเป็นลักษณะของคนที่ไม่มีอะไรเลย

คนที่เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ แน่นอนว่า รางวัลที่เขาจะได้รับก็คือสิ่งที่เป็นเป้าหมายของเขา หญิงที่ฉลาดมีความหวังว่าจะได้เข้าสู่งานสมรส และพวกเขาก็ได้รับสิ่งนั้น เพราะการเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ

ส่วนหญิงโง่ แม้จะมีเป้าหมายที่ชัดเจน แต่เนื่องจากการไม่พร้อม เขาจึงพลาดจากงานมงคลสมรส คือ พระอาณาจักรสวรรค์

ความแตกต่างระหว่างหญิงโง่และหญิงฉลาดก็คือ การมีน้ำมันสำรองเอาไว้

สำหรับพระเจ้า คนที่ฉลาดคือ คนที่รู้จักทางของพระเจ้าและเลือกเดินในเส้นทางนั้น

เราคริสตชน หากเราฉลาดพอ เราก็ต้องเลือกเดินตามหนทางของพระเจ้า เพราะพระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปหาพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา

การดำเนินชีวิตประจำวันให้ดีที่สุด นี่แหละคือ การเตรียมตัวให้พร้อม หมายความ ไม่ว่าคุณมีหน้าที่อะไร จงทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าคุณมีสถานะอะไร ก็ทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าคุณเป็นอะไร จงทำให้ดีที่สุด ทำให้ดีที่สุด และสุดความสามารถในแต่ละวันของชีวิต แค่นี้เราก็ได้ชื่อว่า เป็นคนฉลาด


วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันพฤหัสบดี 21 ธรรมดา ปี B


พระวาจาของพระเจ้า

มธ 24:42-51




พี่น้องที่เคารพรัก หลังจากที่พระเยซูเจ้าได้ตรัสถึงบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสี ด้วยการตำหนิการดำเนินชีวิตของพวกเขาว่า พวกเขาเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก เป็นคนไม่ซื่อ ไม่จริงใจ ปฏิบัติศาสนกิจเพียงเพื่อเอาหน้า  โอ้อวดตนเอง ยกย่องตนเอง   ภายนอกดูงดงาม แต่ภายในกับเน่าเหม็น สอนผู้อื่น แต่ตัวเองกลับไม่ทำอะไรเลย คอยแต่จับผิดคนอื่น คอยแต่จะลงโทษคนอื่นที่ไม่ทำตามกฎ  ไม่ทำตามระเบียบที่ตนเองได้วางเอาไว้
คนประเภทนี้แหละที่พระเยซูเจ้าทรงตำหนิและประณามว่า วิบัติแก่บุคคลเช่นนี้ คำว่าวิบัติถือว่าเป็นคำพูดที่รุนแรงมาก
และในพระวรสารของวันนี้ พระเยซูเจ้าก็เตือนบรรดาศิษย์และผู้ฟังของพระองค์ ให้ตื่นเฝ้า ระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ เพื่อจะได้ไม่หลงไปในกิจการของความชั่ว เพื่อจะได้ไม่กระทำในหนทางของพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์  โดยการตระหนักอยู่เสมอถึงวันที่พระองค์จะเสด็จมา โดยให้ตระหนักถึงวันพิพากษา  เพราะเมื่อถึงวันพิพากษา คนที่ประพฤติดี ก็จะได้รับรางวัล ส่วนคนที่ประพฤติตนปล่อยเนื้อปล่อยตัว  ปล่อยใจ ดำเนินชีวิตหน้าไหว้หลังหลอก ไม่สนใจวัดวา แสวงหาความสุขจากวัตถุ  ดำเนินชีวิตไปวัน ๆ ก็จะได้รับการลงโทษ เหมือนกันคนใช้ที่คิดว่าอีกนานกว่านายจะกลับมา  จึงกดขี่ข่มเหง กินและดื่ม ดำเนินชีวิตในทางบาป สิ่งที่เขาจะได้รับก็คือ ไฟนิรันดร
การประจญ การทดลอง และการล่อลวงต่าง ๆ มีมากมายหลากหลายวิธีการ โดยเฉพาะการผจญผ่านทางผัสสะต่าง ๆ ซึ่งเราจะต้องระมัดระวัง เช่น ตา ต้องระวังในการมองคนอื่น มองการกระทำของคนอื่น เพราะเมื่อเรามองเห็นอะไรที่ไม่จริง หรือที่ไม่ตรงกับความจริง โดยที่เราไม่รู้ ความคิดของเราจะตัดสินคนอื่นในทางที่ผิดได้  ตาจะต้องมองให้เห็นตัวของบุคคลนั้น ๆ   หู เราก็ต้องระมัดระวังในการฟัง ในการได้ยิน ต้องเลือกที่จะฟัง เลือกที่จะได้ยิน  ปาก เรายิ่งต้องระวัง เพราะเป็นวิธีการที่ทำให้เกิดการผจญได้ง่าย  ทำให้เกิดบาปได้ง่าย หากพูด พูด โดยไม่คิดถึงความจริง ก็จะทำให้เกิดบาปโกหก  จะทำให้เกิดบาปนินทา  จะทำให้เกิดบาปใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นได้ เป็นต้น
พี่น้องที่เคารพรัก ให้เราขอบคุณพระเจ้าเสมอทั้งสำหรับตัวเราเอง และสำหรับคนอื่นด้วย เหมือนกับน.เปาโลที่ท่านขอบพระคุณพระเจ้าตลอดเวลา สำหรับพระหรรษทานต่าง ๆ ที่พระองค์ได้ประทานให้กับท่านและได้ประทานให้กับชาวเมืองโครินทร์ด้วย
การขอบคุณพระเจ้าแทนคนอื่น เป็นเสมือนการหนุนนำใจของเราให้มองคนอื่นเป็นเสมือนพี่น้อง เป็นครอบครัวเดียวกันกับเรา  การขอบคุณพระเจ้าแทนคนอื่นเป็นการแสดงออกถึงความรักที่เรามีต่อกันและกันด้วย  เป็นเสมือนการเอาชนะความหน้าไหว้หลังหลอก  เป็นการเอาชนะความหน้าซื่อใจคดของเราด้วย
ให้เราขอบคุณพระเจ้าเสมอในทุกกรณีในชีวิตของเรา

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันพฤหัสบดี 20 ธรรมดา ปี B

พระวรสาร



Gospel                                                                                                           Mt 22:1-14


Jesus again in reply spoke to the chief priests and the elders of the people in parables saying,
"The Kingdom of heaven may be likened to a king
who gave a wedding feast for his son.
He dispatched his servants to summon the invited guests to the feast,
but they refused to come.
A second time he sent other servants, saying,
'Tell those invited: "Behold, I have prepared my banquet,
my calves and fattened cattle are killed,
and everything is ready; come to the feast."'
Some ignored the invitation and went away,
one to his farm, another to his business.
The rest laid hold of his servants,
mistreated them, and killed them.
The king was enraged and sent his troops,
destroyed those murderers, and burned their city.
Then the king said to his servants, 'The feast is ready,
but those who were invited were not worthy to come.
Go out, therefore, into the main roads
and invite to the feast whomever you find.'
The servants went out into the streets
and gathered all they found, bad and good alike,
and the hall was filled with guests.
But when the king came in to meet the guests
he saw a man there not dressed in a wedding garment.
He said to him, 'My friend, how is it
that you came in here without a wedding garment?'
But he was reduced to silence.
Then the king said to his attendants, 'Bind his hands and feet,
and cast him into the darkness outside,
where there will be wailing and grinding of teeth.'
Many are invited, but few are chosen."



ข้อคิด

ความจริงอย่างหนึ่งในวันนี้เกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า นั่นก็คือ

พระเจ้าทรงเชื้อเชิญทุกคนให้เข้ามาสู่พระอาณาจักรสวรรค์ โดยใช้งานเลี้ยงแห่งการแต่งงานเป็นเครื่องหมายว่า การแต่งงานเป็นความชื่นชมยินดีสำหรับทุกคนฉันใด อาณาจักรสวรรค์ก็เช่นกันนำความสุขและความชื่นชมยินดีสำหรับมนุษย์ทุกคนด้วย

พระเจ้าทรงออกแรงเพื่อให้มนุษย์ได้เข้ามาสู่อาณาจักรของพระองค์
พระเจ้าทรงลงทุนเพื่อให้มนุษย์ได้รอดพ้นและเข้ามามีส่วนร่วมความสุขและความยินดีในพระองค์
สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ เพื่อมนุษย์ก็คือ การส่งพระเยซูเจ้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์

ความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ในงานเลี้ยงก็คือ  การทำตัวไม่เหมาะสม

หลายคนที่ได้รับการเชื้อเชิญจากพระเจ้า แต่พวกเขา ปฏิเสธ
หลายคนได้รับการเรียกจากพระเจ้า แต่พวกเขา ไม่สนใจ
หลายคนรู้จักคำสอนของพระเยซูเจ้า แต่พวกเขา เมินเฉย
หลายคนรู้จักหนทางนำไปสู่พระเจ้า แต่พวกเขา ไม่ใส่ใจ

ทำไมมนุษย์จึงกล้าปฏิเสธการเชื้อเชิญของพระเจ้า

  1. เพราะมนุษย์มีอิสระเสรีภาพ และอำเภอใจ สามารถเลือกและตัดสินได้ด้วยตนเอง (บาปเกิดขึ้นเพราะการใช้เสรีภาพที่ผิดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า)
  2. เพราะมนุษย์เห็นว่าสิ่งสำคัญกว่าการมีส่วนร่วมกับพระเจ้า ก็คือ ตัวเอง สิ่งที่เป็นของตัวเอง และโลกนี้
  3. เพราะว่ามนุษย์ไม่ได้ใส่ใจและตระหนักถึงการเชื้อเชิญของพระเจ้า



ข้อมูลเกี่ยวกับการแต่งงานของชาวยิว


ครั้นเมื่อหนุ่มสาวชาวยิวประสงค์จะแต่งงาน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำตามระเบียบประเพณีของชาวยิวอย่างเคร่งครัดเนื่องจากชาวยิวถือเรื่องสถาบันครอบครัวเป็นศูนย์กลางของการอยู่ร่วมกันในสังคม ประกอบกับความเชื่อทางศาสนายูดาห์ว่าการอยู่เป็นโสดนั้นไม่สมควรพึงกระทำ

ด้วยเหตุนี้สังคมชาวยิวจึงให้ความสำคัญกับการแต่งงานและสนับสนุนให้ชาวยิวแต่งงาน ยิ่งไปกว่านั้นชาวยิวผู้เคร่งครัด (Orthodox Jewish) ถือว่าพิธีแต่งงานเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามจารีตตั้งแต่การทำสัญญาก่อนแต่งงาน การหมั้น ไปจนถึงการจัดงานมงคลสมรส


กล่าวคือเมื่อหนุ่มสาวประสงค์จะแต่งงานแล้ว จะต้องทำสัญญาก่อนแต่งงาน หรือ เคทุบาห์ (Ketubah: Marriage Contract) ก่อนวันสมรส ด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายเพื่อย้ำเตือนถึงภาระผูกพันที่หนุ่มสาวจะต้องปฏิบัติต่อกันภายหลังแต่งงาน การจัดการทรัพย์สินมรดก รวมไปถึงภาระหน้าที่เลี้ยงดูบุตร และภาระหน้าที่ต่อบุตรเมื่อมีการหย่าร้างเกิดขึ้น

จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการแต่งงานซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน
หลักคือพิธีหมั้น หรือ ชิดดุคิน (Shiddukhin) และพิธีแต่งงาน หรือ นิสสุอิน (Nisuin) ซึ่งประเพณีแต่เดิมของชาวยิวระบุให้ต้องทิ้งช่วงห่างนาน 1 ปี ระหว่างพิธีหมั้นและพิธีแต่งงาน ทว่าปัจจุบันนี้มีชาวยิวจำนวนไม่น้อยที่รวบรัดเวลาโดยจัดพิธีหมั้นและงานแต่งงานติดต่อกันในวันเดียว


วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันพุธ 20 ธรรมดา ปี B

พระวาจาของพระเจ้า


มธ 20: 1-16

 1 อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อบ้านผู้หนึ่งซึ่งออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อจ้างคนงานมาทำงานในสวนองุ่น
2 ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว ก็ส่งไปทำงานในสวนองุ่น
3 ประมาณสามโมงเช้า พ่อบ้านออกมาก็เห็นคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่ลานสาธารณะโดยไม่ทำงาน
4 จึงพูดกับคนเหล่านี้ว่าจงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้างตามสมควร
5 คนเหล่านี้ก็ไป พ่อบ้านออกไปอีกประมาณเที่ยงวันและบ่ายสามโมง กระทำเช่นเดียวกัน
6 ประมาณห้าโมงเย็น พ่อบ้านออกไปอีก พบคนอื่นๆ ยืนอยู่ จึงถามเขาว่าทำไมท่านยืนอยู่ที่นี่ทั้งวันโดยไม่ทำอะไร
7 เขาตอบว่าเพราะไม่มีใครมาจ้างพ่อบ้านพูดจึงว่าจงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด
 8 ครั้นถึงเวลาค่ำ เจ้าของสวนบอกผู้จัดการว่าไปเรียกคนงานมา จ่ายค่าจ้างให้เขาโดยเริ่มตั้งแต่คนสุดท้ายจนถึงคนแรก
9 เมื่อพวกที่เริ่มงานเวลาห้าโมงเย็นมาถึง เขาได้รับคนละหนึ่งเหรียญ
10 เมื่อคนงานพวกแรกมาถึง เขาคิดว่าตนจะได้รับมากกว่านั้น แต่ก็ได้รับคนละหนึ่งเหรียญเช่นกัน 
11 ขณะรับค่าจ้างเขาก็บ่นถึงเจ้าของสวนว่า
12 พวกที่มาสุดท้ายนี้ทำงานเพียงชั่วโมงเดียว ท่านก็ให้ค่าจ้างแก่เขาเท่ากับเรา ซึ่งต้องตรากตรำอยู่กลางแดดตลอดวัน
13 เจ้าของสวนจึงพูดกับคนหนึ่งในพวกนี้ว่าเพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกงท่านเลย ท่านไม่ได้ตกลงกับฉันคนละหนึ่งเหรียญหรือ
14 จงเอาค่าจ้างของท่านไปเถิด ฉันอยากจะให้คนที่มาสุดท้ายนี้เท่ากับให้ท่าน
15 ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ
16 ดังนี้แหละ คนกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มแรก และคนกลุ่มแรกจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มสุดท้าย

บทเทศน์

พี่น้องที่เคารพรัก วันนี้เราได้ยินอุปมาเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์ว่า ที่บ่งบอกและชี้ลักษณะให้เราเห็นถึงความใจดีของพระเจ้า  ความเมตตา และความปรารถนาที่จะให้ทุกคนนั้นเข้ามาหาพระองค์ พระองค์ต้องการให้ทุกคนได้รับความรอดพ้น

ให้เรามาพิจารณาว่าพระเจ้าทรงใจดี และมีเมตตาอย่างไร?

1.  พระเจ้าทรงเชื้อเชิญทุกคนให้เขามาในอาณาจักรของพระองค์ โดยไม่ได้แบ่งแยก โดยไม่มีความแตกต่างสำหรับพระองค์   และทุกคนที่เข้ามาหาพระองค์ย่อมได้รับรางวัลเหมือนกัน เช่นเดียวกับพ่อบ้านผู้หนึ่งออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อจ้างคนงานมาทำงานในสวนองุ่น และตกลงค่าจ้าง 1 เหรียญ ประมาณ 9 โมงก็ออกไปอีก ก็พบคนงาน เขาก็เชื้อเชิญให้ไปทำงานในสวนของเขา และเวลาเที่ยง  เวลาบ่าย 3 โมงก็ทำเช่นเดียวกัน และเวลา 5 โมงเย็น พ่อบ้านก็ออกไป และก็ได้คนงานมาทำงานแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น และเวลา 6 โมงเย็นก็จ่ายเงินค่าจ้าง ทุกคนได้รับค่าจ้างจากการทำงานของตน

2.  ค่าจ้างสำหรับคนที่ทำงานแค่ชั่วโมงเดียวก็คือ 1 เหรียญ  สำหรับคนที่ทำงาน 2 ชั่วโมง ก็ 1 เหรียญ และสำหรับคนที่ทำงานตลอดทั้งวัน ก็ 1 เหรียญเช่นเดียวกัน   เราเข้าใจท่าทีของพ่อบ้านนี้ไหม มันอาจจะดูเหมือนไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่ทำงานตลอดทั้งวันซึ่งได้รับค่าจ้างเท่ากันกับคนที่ทำงานแค่ชั่วโมงเดียว แต่พระเจ้าทรงยุติธรรมและทรงความรักเสมอ  พระเจ้าทรงยุติธรรมสำหรับคนที่ทำงานตลอดทั้งวันจากการตกลงค่าจ้างคือ 1 เหรียญ   และพระเจ้าทรงความรักต่อคนที่ทำงานแค่ชั่วโมงเดียว ซึ่งเขาก็ได้รับ 1 เหรียญ เช่นเดียวกัน

สิ่งที่น่าจะเป็นข้อคิดสำหรับชีวิตของเราก็คือ

  • ให้เรามั่นใจเถิดว่า พระเจ้าของเราทรงปรารถนา ต้องการให้เราทุกคนได้รับความรอดพ้น โดยการเชื้อเชิญเราให้เขามาทำงานในสวนองุ่นของพระองค์ และเราที่อยู่ที่นี่  เราที่เป็นคริสตชน เราก็ได้ตอบรับการเรียกของพระองค์แล้ว  และรางวัลสำหรับเราก็คือ เมืองสวรรค์ อย่างแน่นอนให้เราทำหน้าที่ของการเป็นคนงานของพระเจ้าอย่างดีที่สุด ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน ตามบทบาทหน้าที่ที่เรามี - เป็นอยู่ในสังคม


  • เราควรที่จะเป็นคนที่มีความยุติธรรมเป็นพื้นฐานสำหรับตนเอง และเป็นคนเปี่ยมไปด้วยความรักกับผู้อื่น  ความยุติธรรมกับความรักควรจะควบคู่กันไป เราจะใช้ความยุติธรรมกับคนอื่นเพียงอย่างเดียวไม่ได้  จะต้องมีความรักเข้ามาร่วมด้วย  แต่เราสามารถใช้ความรักกับคนอื่นได้โดยที่ไม่มีความยุติธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง  เพราะอาศัยความรักจะทำให้เราไม่มีเงื่อนไขใดใดสำหรับการปฏิบัติต่อคนอื่น   เราจะไม่มีข้อแม้...  เราจะไม่มีคำว่าถ้า...  ส่วนคนที่มีเพียงความยุติธรรมนั้น มักจะมีข้อแม้เสมอ..ฉันทำช่วยคุณไม่ได้หรอก มันผิดความยุติธรรมต่อคนอื่น  ฉันให้คุณไม่ได้หรอกเพราะมันผิดกฎ


  • พี่น้องที่เคารพรัก วันนี้เราเห็นเป็นแบบอย่างแล้วว่า พระเจ้าทรงเต็มเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรม และก็เปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา สงสารเช่นเดียววัน  ก็ขอให้เราไป และเป็นแบบอย่างแห่งความรัก เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงกระทำเถิด