BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

คริสต์มาส 2013


บรรยากาศ เช้าวันที่ 25 ธันวาคม 2013 
เวลา 07.00 น. 
ณ วัดราชินีแห่งสากลโลก บ้านดอนเชียงบาน














บรรยากาศหลังมิสซา

เชิญอร่อยเด้อ...







พระเยซูเจ้า
ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์
อย่างเงียบ ๆ 

เป็นคนเล็ก น้อย และต่ำต้อย

ความเงียบ และความต่ำต้อย
เป็นสถานที่ที่ทำให้เราได้พบกับการประทับอยู่ของพระเจ้าอย่างแท้จริง

ความยิ่งใหญ่
ไม่ใช่ การมีสิ่งของต่าง ๆ มากมาย มากกว่าคนอื่น
แต่เป็นการ เป็น ที่รู้คุณค่า
สำคัญกว่าสิ่งอื่น 




วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

คริสต์มาส 2013 บ้านเณร


มิสซาคริสตมาส ที่ บ้านเณรฟาติมา
22 ธันวาคม 2013



มีเรื่องเล่าว่า นานมาแล้ว มีพระมหากษัตริย์ที่ดีและฉลาดพระองค์หนึ่ง ปกครองประเทศเปอร์เซีย 
พระองค์ทรงรักประชาชนของพระองค์อย่างมาก พระองค์ทรงต้องการที่จะทราบว่า พวกเขาดำเนินชีวิตอย่างไร
ทรงต้องการที่จะรู้จักความยากลำบากที่พวกเขาต้องทน บ่อยครั้งพระองค์แต่งกายเป็นธรรมกร  หรือคนขอทาน 
และเสด็จเข้าไปในบ้านของคนยากจน และไม่มีใครที่พระองค์เสด็จไปเยี่ยมนั้น จะรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของพวกเขา

ครั้งหนึ่ง ได้เสด็จไปเยี่ยมคนที่ยากจนที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำ 
และ พระองค์ทรงเสวยอาหารเลว ๆ ที่ชายคนนั้นกิน และพูดคุยกับเขาด้วยถ้อยคำที่ให้กำลังใจ แล้วก็เสด็จกลับ 
ต่อมาก็ได้เสด็จมาหาชายคนนั้นอีก และทรงบอกความจริงว่า พระองค์เป็นกษัตริย์

ชายยากจนประหลาดใจมาก กษัตริย์คิดว่า ชายคนนี้คงจะขออะไรหลาย ๆ อย่างจากเราแน่นอน  
จึงตรัสถามว่า เจ้าต้องการอะไร? แต่เขาก็ไม่ได้ขออะไร แต่กลับทูลกษัตริย์ว่า 
“พระองค์เสด็จออกจากวังที่รุ่งเรืองมาอยู่กับข้าพระบาท ในสถานที่มืดมัวและต่ำต้อย สกปรกอย่างนี้ 
อีกทั้งพระองค์ได้เสวยอาหารเลว ๆ ที่ข้าพระบาทถวายให้ พระองค์ทรงนำความสุขมาให้จิตใจของข้าพระองค์ 
พระองค์ประทานขอแพง ๆ แก่คนอื่น 
แต่สำหรับข้าพระบาท พระองค์ประทานพระองค์เองแก่ข้าพระบาท

การบังเกิดมาของพระแมสสิยาห์เป็นเหตุการณ์ที่เป็นศูนย์กลางในประวัติศาสตร์ของมนุษย์
การรอคอยที่ยาวนานและที่มืดมน บัดนี้ได้กลายเป็นความจริง และเปิดเผย และชัดเจนยิ่งขึ้น

การบังเกิดมาของกุมารผู้หนึ่งที่เต็มไปด้วยความเป็นมนุษย์ พระองค์เกิดมาเหมือนกับสิ่งสร้าง เกิดมาในเวลา 
แต่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้าง เพราะพระองค์ดำรงอยู่ตลอดนิรันดร และสืบเนื่องมาจากพระบิดาเจ้า 
นั่นคือ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า จากพระเจ้า ทรงเป็นแสงสว่างจากแสงสว่าง พระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้ 
พระองค์ทรงเป็นพระวจนาตถ์ เพื่อเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งสร้าง

ในธรรมล้ำลึกแห่งการบังเกิดมาแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ของความจริงของเครื่องหมายแห่งการช่วยให้รอด 
ไม่ใช่แค่มนุษย์ แต่รวมถึงทุกสิ่งบนโลก ไม่ใช่แค่มนุษย์ที่ได้รับการไถ่ แต่รวมทั้งสิ่งสร้างทั้งหลายด้วย 
ซึ่งการบังเกิดมาของพระองค์ได้เป็นการเชิญชวนให้บรรดาสิ่งสร้างร้องเพลงบทใหม่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
 เชิญชวนให้ทุกคน ทุกชาติ ภาษาชื่นชมยินดี และนมัสการสรรเสริญพระองค์ คือ 
พระบุตรนิรันดร พระบุตรที่ทำให้พระประสงค์ของพระบิดาเจ้าสมบูรณ์ 
พระบุตรที่บังเกิดมาเป็นมนุษย์ พระองค์เกิดมาที่เบธเลเฮม เพียงครั้งเดียวและตลอดไป

พระสันตะปาปาฟรังซิส ทรงย้ำว่า เทศกาลคริสต์มาส คือ ช่วงเวลารื่นเริงที่เสียงอึกทึกครึกโครมมาก 
มันจึงเป็นการดีที่เราจะเตรียมตัวรับพระองค์ด้วยการหาเวลาเงียบ สงบ รำพึง 
เพื่อจะได้ฟังเสียงที่พระเจ้าตรัสกับเราด้วยความรัก และความอ่อนโยน

ตรัสอีกว่า พระเจ้าเสด็จมาในโลก มิใช่ด้วยเสียงอึกทึก ครึกโครม แต่ด้วยความเงียบ สงบ ง่าย ๆ 
พระองค์ทรงถ่อมองค์ลงมาเป็นเด็กเล็ก ๆ อ่อนแอ เพื่อช่วยให้เราแข็งแกร่ง พระองค์ยอมตายเพื่อให้เรามีชีวิต

ความเงียบสงบฝ่ายจิตใจหรือจิตวิญญาณจะทำให้เราสัมผัสความรักของพระเจ้า 
ความสงบในจิตใจ หมายถึงการรู้จักความพอดี ความพอเพียง  การไม่ฟุ้งซ่าน แต่สงบใจ ด้วยความเชื่อฟังพระเจ้า

พระสันตะปาปาบอกว่า คริสตมาสปีนี้ ให้เราเรียนรู้ความสุภาพถ่อมตนของพระเยซูเจ้า





วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลเตรียมรับเสด็จฯ ปี A

บทเทศน์


สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลเตรียมรับเสด็จของพระคริสตเจ้า

พี่น้องที่เคารพรัก วันอาทิตย์นี้ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ซึ่งพระศาสนจักรเชิญชวนให้เรา “เตรียมตัว” “ตื่นเฝ้า” เพื่อต้อนรับการเสด็จมาของพระคริสตเจ้า  ซึ่งเราต้องเข้าใจทันทีว่า การเตรียมตัวต้อนรับพระคริสตเจ้านี้ มี 2 ความหมายด้วยกันคือ 1. การเตรียมตัวต้อนรับการเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูเจ้า คือ วันคริสตมาส  เตรียมตัวต้อนรับกษัตรย์ หรือ พระเมสสิยาห์ที่จะเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา  2. การเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อต้อนรับการเสด็จมาของพระคริสตเจ้า ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ หรือผู้พิพากษา คือ วันสิ้นพิภพ
พระศาสนจักรเชื้อเชิญให้เราคริสตชน ตื่นตัว และมีสติในการดำเนินชีวิต ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน และเป็นผู้มีความเชื่อ เราจะต้องดำเนินชีวิตตามแสงสว่างแห่งความเชื่อนั้น

บทอ่านที่หนึ่ง ได้พูดถึง ภาพอันเป็นความหวังของมนุษย์ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าเสด็จมา ภาพนั่นก็คือ ภาพแห่งสันติสุข ภาพแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ภาพของการอยู่ด้วยกันอย่างสงบ มีความเป็นพี่น้อง ภาพนี้จะเกิดขึ้น เมื่อมนุษย์ดำเนินชีวิตตามหนทางของพระเจ้า “จงมาเถิด เราจงเดินตามองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างของเรา” เป็นการเชิญชวนให้คริสตชนดำเนินชีวิตอยู่ในแสงสว่างแห่งพระวรสารของพระคริสตเจ้า เหมือนกับที่พระสันตะปาปาฟรังซิสได้ตรัสสอนเอาไว้ว่า “คริสตชนต้องดำเนินชีวิต โดยมีพระคริสตเจ้าเป็นศูนย์กลาง”

ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าได้ตรัสถึงการเสด็จมาครั้งที่ 2 ของพระเจ้า ที่พระองค์จะเสด็จมาเพื่อพิพากษามนุษย์ และมนุษย์จะถูกแยกออกไป คนดี และคนชั่วจะต้องแยกออกจากกัน และพระองค์จะพิพากษามนุษย์ตามการกระทำของเราแต่ละคน และตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา บทพระวรสารก็ได้พูดถึงเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว เหตุการณ์ที่จะทำให้โลกแตก ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับมนุษย์ (สำหรับคนที่ไม่พร้อม สำหรับคนที่ไม่ได้เตรียมตัว) บรรดาศิษย์ต่างก็ถามว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นวันไหน? เมื่อไร? พระเยซูเจ้าไม่เคยบอกเวลา แต่พระองค์ทรงบอกให้เรามีท่าทีในการเตรียมพร้อม ในการมีสติที่จะดำเนินชีวิต ไม่ต้องพะวงกับวันและเวลา แต่ให้มีสติในการดำเนินชีวิต รู้ว่าตัวเองเป็นคริสตชน ก็ให้ทำหน้าที่ของการเป็นคริสตชนอย่างดี

สิ่งที่พระองค์บอกกับเราก็คือ 1.  จงตื่นเฝ้า  2. จงเตรียมพร้อมไว้

พระองค์ทรงยกตัวอย่างให้เราเห็น ชัด ชัด และจะจะ... เรื่อง ขโมยขึ้นบ้าน ขโมยจะขโมยในเวลาที่เราไม่รู้ตัว ในวันและเวลาที่เราเผลอ เราขโมยตื่นเฝ้าอยู่เสมอ และรอคอยอย่างมีสติ และมีความตั้งใจจริง .. จะต้องขโมยเอามาให้ได้.. พระเยซูเจ้าตรัส ถ้าเรารู้ว่าขโมยจะมาขโมยเวลาเที่ยงคืน เราก็คงเตรียมตัวให้พร้อมที่จะต้อนรับมันอย่างอบอุ่นแน่นอน แต่ในความเป็นจริง ไม่ใช่เช่นกัน ขโมยจะมาในเวลาที่เราเผลอ แค่ไม่กี่นาที ก็สามารถทำได้ เช่นเดียวกัน พระเจ้าจะเสด็จมาหาเราในเวลาที่เราไม่รู้  ถ้าเรารู้ เราก็คงจะเตรียมตัวอย่างดี แน่นอน

พระองค์ยกตัวอย่างอีก เรื่องของโนอาห์ พระเจ้าทรงเตือนประชาชนทุกคนถึงความตาย การพิพากษา ถึงการทำลายล้าง (น้ำท่วม) แต่คนส่วนใหญ่ ไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้า คนส่วนใหญ่ไม่ฟังเสียงของพระเจ้าที่เตือน บอก และสอน ให้เป็นคนดี และมีสติในการดำเนินชีวิต มีเพียงครอบครัวของโนอาห์เท่านั้น ที่ได้ยินเสียงของพระเจ้า ส่วนคนอื่น ๆ ก็ไม่สนใจ ไม่แคร์ คงจะอีกนานกว่าโลกนี้จะแตก คงอีกนานกว่าที่เราจะตาย คงอีกนาน.. เป็นเรื่องของอนาคต อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ไม่สนใจ..ปัจจุบัน กินดื่ม เที่ยว เสพสุข ทำให้เต็มที่ก็พอแล้ว.. นี่คือ ท่าทีของคนที่ไม่คิดอะไรมาก ดำเนินชีวิตไปเรื่อย ๆ ดำเนินชีวิตไปตามสัญชาตญาณของการที่ต้องมีชีวิต  มีชีวิตไปวัน ๆ ไม่มีเป้าหมายใด.. สุดท้ายคนพวกนี้ก็ต้องตายเพราะการกระทำที่เมินเฉยและไม่สนใจที่จะกลับใจ หรือเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต.. รอดพ้นมีเพียงโนอาห์ ผู้ยำเกรงพระเจ้า เท่านั้น

พี่น้องที่เคารพรัก  “จงทำเวลานี้ให้ดีที่สุด ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน ในฐานะที่เราเป็นผู้มีความเชื่อ” พร้อมกับมีสติในการดำเนินชีวิต นักบุญเปาโลสอนเราว่า “เราจงละทิ้งกิจการแห่งความมืดมนเสีย จงสวมเกราะของความสว่าง จงดำเนินชีวิตเหมือนกับเวลากลางวัน”  นั่นคือ การเตรียมตัวเองให้พร้อม กลางวัน เรามีสติ กลางคืนเราขาดสติ.. กลางวันเราควบคุมตัวเองได้ กลางคืน ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย..



วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เข้าเงียบประจำปี 2013/วันที่สาม

วันพฤหัสบดี ที่ 14 พฤศจิกายน 2013
เวลา 09.00 น.

บทเทศน์

ณ ที่เรือนจำแห่งหนึ่งในประเทศบราซิล ซึ่งได้รับการดูแลจากคนที่เป็นคาทอลิก ผู้ตรวจเรือนจำกลาง พบว่า "ในห้องขังของนักโทษที่โหดร้าย ชั่วร้ายที่สุด มันจะต้องมีสิ่งที่น่ากลัว บรรยากาศที่เลวร้าย เพื่อให้เขาได้สำนึก เพื่อใช้โทษบาปผิดของเขาอย่างแน่นอน แต่ปรากฏว่า ในเรือนจำแห่งนี้ คุกที่ขังนักโทษที่ว่าชั่วร้ายที่สุด ปรากฎว่า ในห้องนั้น มีดอกไม้ มีแท่น และเหนือแท่น ก็มี กางเขน และมีป้ายเขียนไว้ว่า
"We are united"   กางเขนของพระเยซูเจ้าจะบอกว่า เราเป็นหนึ่งเดียวกันนะ เราอยู่กับเจ้านะ..

การเลียนแบบพระเยซูเจ้า
เพื่อถ่ายทอดความรัก ความเมตตากรุณาของพระองค์

พระเยซูเจ้าทรงรับสภาพมนุษย์ดุจเรา เว้นแต่บาป  พระองค์เป็นมนุษย์ เข้าใจมนุษย์ เข้าใจความอ่อนแอ
เข้าใจสภาพของมนุษย์ว่าต้องการความรัก ต้องการความเมตตา และพระองค์ก็ลงมาเพื่อมอบให้มนุษย์

พระเยซูเจ้าเข้ามาในโลก มีเพียงจุดประสงค์เดียวคือ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น อาศัยความรักควาเมตตา
กรุณาอันหาขอบเขตไม่ได้ของพระองค์

พระเยซูเจ้าทรงถ่ายทอดความรักความเมตตาของพระองค์
แม้ในขณะที่เราอยู่ในบาป  แม้ในขณะที่เรายังเป็นคนบาป  ยังอ่อนแอ
นี่คือ นิมิตใหม่ของความรักความเมตตาของพระเจ้าที่มนุษย์สามารถสัมผัสได้...

พระสฆ์ ต้องเลียนแบบ และ นำความเมตตาของพระเจ้า สำหรับพี่้น้อง

งานอภิบาลของพระสงฆ์ คืออะไร?  ก็คือ การถ่ายทอดความรักความเมตตาของพระเจ้าให้กับพี่น้อง
บรรดาสัตบุรุษ  เขาไม่ได้ต้องสติปัญญาของเรา แต่เขาต้องการการอยู่เป็นเพื่อนแม้ในเวลา
ที่เขาทำบาปหนัก แม้ในเวลาที่เขาอ่อนแอ
เขาต้องการความรักของพระเจ้า ผ่านทางชีวิตของเรา

ในพันธสัญญาเดิม
เทียบ อพย 32 "จงฆ่าผู้ที่ทำผิด ไม่ว่าใครก็ตาม... แล้วท่านจะเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า.."
เทียบ กดว 25    "ชาวอิสราเอลคนหนึ่งพาหญิงชาวมีเดียนเข้ามาในค่าย ฟิเนหัสใช้หอกฆ่าชายอิสเราเอลและหญิงคนนั้น.. แล้วพระเจ้าตั้งเขาให้เป็นสมณะ..

ในพันธสัญญาใหม่
พระวรสาร   พระเยซูเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตาสงสาร
                   พระเยซูเจ้าต่อสู้กับบาปเสมอ แต่สงสารคนบาป
                   พระเยซูเจ้ามาเพื่อถ่ายทอดความรักของพระบิดาต่อมนุษย์

คนที่อยู่ห่างไกลจากเรา  เราต้องติดตามเขาด้วยพระเมตตาของพระเจ้า
อย่างน้อยก็ทำตัวเป็นมิตรกับเขา

เพชรที่ตกลงไปในโคลน ก็ยังเป็นเพชรเสมอ แม้จะเปื้อนโคลนก็ตาม  มนุษย์เป็นบุตรของพระเจ้า
แม้จะทำบาป ผิด ก็ตาม  เพชรเปื้อนโคลนเราสามารถล้างออกได้ด้วยน้ำ  มนุษย์ทำบาปก็สามารถเช็ด และล้างได้ด้วยความเมตตาของพระเจ้า และพระโลหิตของพระองค์

พระสันตะปาปายอห์น ที่ 23 ตรัสในวันเปิดประชุมสังคายนาวาติกันที่ 2 ว่า "เวลานี้ เจ้าสาวของพระคริสตเจ้า คือ พระศาสนจักร ต้องการ ยาแห่งความรักเมตตากรุณา มากกว่า ยาแห่งความเคร่งครัด"

พระสงฆ์ อ่านพระวรสารทุกวัน พูด เทศน์สอน...ได้อะไร?
สิ่งสำคัญคือ เราต้องเจริญชีวิตด้วย นั่นคือ ดำเนินชีวิตตามพระวรสาร ตามสิ่งที่เราเทศน์สอน ตามสิ่งที่เราพูด เพื่อถ่ายทอดความรักความเมตตาของพระเจ้า

เราเทศน์เรื่องความรักความเมตตา ในชีวิตจริงกลับเป็นคนขี้เหนียว ไม่คบค้าสมาคมกับใคร..แย่นะ

ศีลอภัยบาป
เป็นแหล่งที่มาของพระเมตตากรุณาของพระเจ้า  เราเป็นสงฆ์ก็ต้องแสดงออกด้วยถึงความเมตตาของพระเจ้า เราจำเป็นต้องแก้บาปด้วย

คุณพ่อยอห์น มารี เวียร์ เนย์ "พ่อให้คุณทำกิจใช้โทษบาปไม่นาน เพราะส่วนที่เหลือนั้น พ่อทำเอง"

พระสงฆ์ต้องละม้ายคล้ายกับพระเยซูเจ้า
ในเรื่องความรัก ความเมตตากรุณาต่อคนบาป...


วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เข้าเงียบประจำปี 2013/วันที่สอง ภาคบ่าย

วันพุธ ที่ 13 พฤศจิกายน 2013
เวลา 15.00 น.

บทเทศน์

เอกลักษณ์ของพระสงฆ์

เรื่องเล่า

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากในเรื่องฟิสิกส์ เขาได้บรรยายตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
มากมาย และเช่นเดียวกัน วันนี้ เขาก็จะไปบรรยายในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ขณะที่เขานั่งอยู่ในรถส่วนตัว
คนขับรถก็พูดว่า "นายรู้ไหมว่า ผมได้ยินเรืองที่นายบรรยายมาตั้ง 30 กว่าครั้งแล้ว ผมจำได้ทุกอย่าง และผมสามารถบรรยายแทนท่านได้ พูดเหมือนอย่างที่ท่านพูดได้"  ไอน์สไตน์ ก็ถามว่า "จริงหรือ?  ถ้าอย่างนั้น วันนี้ เจ้าบรรยายแทนเราก็แล้วกัน ส่วนเราจะเป็นคนขับรถ"
เมื่อไปถึงมหาวิทยาลัยดังกล่าว คนขับรถที่ทำตัวเป็นไอน์สไตน์ ก็วางท่าท่างเหมือนตัวจริงทุกอย่าง และไอน์สไตน์ ก็เดินก้มหน้า เพราะตัวเองเป็นคนขับรถ
เมื่อเข้ามาในห้องบรรยาย บรรดาคณาจารย์ และนักศึกษาต่างก็จดจ้อง มองเขา ฟังเขาบรรยายถึงกฎฟิสิกส์ต่าง ๆ เขาก็พูดด้วยความมั่นใจ เหมือนกับว่า เขามีความรู้จริง ๆ
พอบรรยายเสร็จ ทุกคนก็ปรบมือให้ และเมื่อถึงเวลาคำถาม อาจารย์คนหนึ่งก็ถามถึงปัญหาด้วยโจทย์เลขที่ยากและร่ายยาวมา คนขับรถที่ทำตนเป็นไอน์สไตน์ ก็บอกว่า "ปัญหานี่ง่ายมาก แม้แต่คนขับรถของผมก็ยังตอบได้เลย" เขาจึงเชิญคนขับรถ ที่เป็นไอน์สไตน์ตัวจริงขึ้นมาตอบคำถามนั้น ทุกคนต่างก็เชื่อว่า เขาเก่งจริง แม้แต่คนขับรถก็ยังทำได้เลย...

คุณพ่อมักซีเลียน ชาวโปแลนด์  ได้เสียสละชีวิตของตนเองเพื่อคนอื่น ในค่ายนาซี เมื่อทหารต้องเลือกคนหนึ่งขึ้นมาเพื่อที่ฆ่า เพราะมีคนสามารถหนีค่ายไปได้ ชายคนนั้นอ้อนวอน เพราะว่าเขามีลูก มีภรรยา
มีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู และเขายังไม่อยากตาย แต่ทหารไม่ฟัง คุณพ่อมักซีเลียนร้องว่า "ผมยินดีตายแทนคนนี้" ทหารถามว่า "ใครพูด มันเป็นใคร"  คุณพ่อตอบว่า "ผมเป็นพระสงฆ์คาทอลิก ผมไม่มีภรรยา ไม่มีลูก ไม่มีครอบครัว ผมยินดีตายแทนคนนี้"

ศีลบวชทำให้เรามีความละม้ายคล้ายกับพระคริสตเจ้า เราได้รับมอบอำนาจเหมือนกับพระคริสตเจ้า
เราเป็นสมณราชตระกูลสงฆ์  เราเป็นผู้แทนของพระคริสตเจ้าผู้เป็นศีรษะ
ฉะนั้น ชีวิตสงฆ์ไม่ใช่อาชีพ ไม่ใช่บทบาทสำคัญทางการสังคม การเมือง แต่พระสงฆ์ เป็นผู้ที่แสดง
ตนถึงเอกลักษณ์แห่งการเป็นพระคริสตเจ้า
ในพิธีบวช การเป็นสงฆ์ของเรา มาจากพระบุคคลของพระคริสตเจ้า ไม่ใช่มาจากสิ่งของในโลกนี้
เราเน้นไปที่ พระสงฆ์เป็นใคร? คำตอบก็คือ พระคริสตเจ้า

การที่เรามองว่า เราเป็นใคร?
ทำให้เรามีความชัดเจนในการกระทำ เพราะการกระทำย่อมไหลออกมาจากสิ่งที่ เราเป็น
การเป็น จึงเป็นเอกลักษณ์ของเรา
เราเป็นพระสงฆ์ เราจึงกระทำอย่างที่เราเป็นพระสงฆ์
เราเป็นพระสงฆ์ เราจึงแสดงออกอย่างที่เราเป็นพระสงฆ์

เอกลักษณ์ของเรา ต้องปรากฎออกมา และเราก็ต้องกล้าที่จะยืนยัน เป็นอันดับแรกถึงการเป็นสงฆ์ของเรา เพราะนั่นคือชีวิตของเรา  ตัวตนของเรา

เมื่อเราบวชเป็นพระสงฆ์ เราเป็นพระสงฆ์ตลอดชีวิต ไม่ว่าเราจะทำหน้าที่ได้หรือไม่ได้ก็ตาม ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เราเป็นสงฆ์เสมอ  แม้จะเจ็บป่วยนอนบนเตียง เราก็เป็นพระสงฆ์

เราจะต้องมองเอกลักษณ์ที่เป็นภายในของชีวิตสงฆ์ นั่นคือ สิ่งที่เราเป็น
ภายในตัวของสงฆ์ มีตราประทับที่ไม่อาจจะลบเลือนได้ ไม่เหมือนกับแสตมป์ ที่สามารถถอนได้
แต่พระสงฆ์มีตราประทับของพระจิตเจ้า นับวันยิ่งซึมซับ และหยั่งรากลึกลงไปในจิตใจ
ในตัวตนของเรา ทำให้เรากลายเป็นพระคริสตเจ้า จนเราไม่สามารถแยกตัวเองออกจากตราประทับนี้ได้

ความละม้ายคล้ายคลึงพระคริสตเจ้า เป็นความละม้ายคล้ายภายใน  ในการเป็น ไม่ใช่เหมือนพระเยซูเจ้าเพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอก ผมยาว หนวดยาว.. แต่ต้องเหมือนพระองค์ในความซื่อสัตย์
ความซื่อสัตย์แห่งการเป็นสงฆ์ ซื่อสัตย์ต่อความรักของพระองค์ นี่คือสิ่งที่สำคัญ

เราจงภูมิใจในความเป็นสงฆ์ของเรา

แม้จะมีความอ่อนแอ แต่พระเจ้าก็ใช้เราผู้อ่อนแอนี่แหละทำงานของพระองค์ สิ่งสำคัญคือ การสำนึกเสมอว่า เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า เพื่อจะสามารถเอาชนะความอ่อนแอของเราได้
เราต้องสำนึกว่า เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้า เราจึงไม่กลัวการประจญ ไม่กลัวการทดลอง
ไม่กลัวกลลวงของปีศาจ เพราะเรามีพระคริสตเจ้าอยู่กับเรา

ความซื่อสัตย์ จึงเป็นศักดิ์ศรี และเอกลักษณ์ของพระสงฆ์

เราต้องซื่อสัตย์ต่อพระบุคคลของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นเจ้าบ่าว และต่อพระศาสนจักร ซึ่งเป็นเจ้าสาว
เราซื่อสัตย์ต่อบุคคล ไม่ใช่ต่อสิ่งของสิ่งหนึ่ง และเราต้องสำนึกถึงความรักต่อพระศาสนจักร
ที่เป็นพระวรกายของพระคริสตเจ้า
ที่สำคัญ เราจะต้องคิดถึงพระเยซูเจ้าทุกวัน ทุกวัน และเสมอ

เรื่องเล่า

สามีภรรยาคู่หนึ่งใช้ชีวิตร่วมกันมาพอสมควร แต่ว่า เมื่อแต่งงานกันแล้ว สามีเป็นโรคจิต รักษาไม่หาย และเจ้าหน้าที่บ้านเมืองพยายามจะนำตัวชายคนนี้ไปรักษาที่สถานที่ที่รักษาโรคนี้ แต่ภรรยาไม่ยอม
นางบอกว่า "ฉันรักสามีของฉัน เขาต้องการฉัน และฉันก็ได้สัญญาเมื่อตอนแต่งงานว่า ฉันรักเขา และจะอยู่กับเขาเสมอ" แต่พวกเจ้าหน้าที่บอกว่า "เขาไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว" นางก็ตอบว่า "ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญว่า เขาจะรู้หรือไม่ แต่เขาเป็นสามีของฉัน ความรักของฉันที่มีต่อเขาไม่ได้มีน้อยไปกว่าในวันที่ฉันและเขาแต่งานกันใหม่ ๆ เลย และเขาเป็นสามีของฉันตลอดไป..."

เรากับพระคริสตเจ้าเป็นอย่างไร?  เราเป็นพระสงฆ์เสมอนะ..

การภาวนา   ทำให้เรามีความชัดเจนในความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา
                    "ปราศจากเรา ท่านไม่สามารถทำอะไรได้เลย"
                    "เราต้องติดกับลำต้นเสมอ"
พระสงฆ์ต้องการการภาวนามากกว่าสัตบุรุษ พระสงฆ์ต้องภาวนามากกว่าสัตบุรุษ เพราะความสัมพันธ์ของเรากับพระคริสตเจ้า เหมือนกับกิ่งก้านที่ติดกับลำต้น
เหมือนกับลมหายใจ กับอากาศ ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างที่แยกออกจากกันไม่ได้เลย

พระสงฆ์เป็นนักภาวนา นะ เพราะเราจะรับพระหรรษทาน ของประทานจากพระเจ้าผ่านทางการภาวนา
เพื่อนำสิ่งนี้ไปสู่เพื่อนพี่น้องสัตบุรุษ

พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ตรัสว่า "พ่อไม่เคยที่จะละเลยการถวายมิสซาทุกวัน"  "มิสซาเป็นศูนย์กลางสูงสุดของชีวิต ทุกวันของชีวิตของพ่อ"

คนที่ต้องการศีลมหาสนิทมากที่สุด ก็คือ พระสงฆ์

พระสงฆ์แจกศีลมหาสนิท ก็เท่ากับว่า พระสงฆ์แจกตัวเองให้กับสัตบุรุษด้วย


เข้าเงียบประจำปี 2013/วันที่สอง

วันพุธ ที่ 13 พฤศจิกายน 2013
เวลา 09.00 น.

บทเทศน์

รักและรับใช้

เรื่องเล่า
หญิงสาวคนหนึ่งยังไม่แต่งงาน และเธออยากแต่งงานมาก เธอเป็นคนศรัทธา ทุก ๆ วัน
เธอจะขึ้นไปบนชั้นสองเพื่อสวดภาวนาต่อหน้าพระรูปนักบุญยอแซฟ เพื่อขอให้มีชายหนุ่มมาขอ
เธอแต่งงาน เธอมักจะสวดว่า "โปรดเถิด โปรดส่งใครสักคนมาขอฉันแต่งงานเถิด" เสมอ ๆ วันหนึ่ง
หลังจากที่สวดเสร็จ บังเอิญรูปปั้นนักบุญยอแซฟหล่นลงไปข้างล่าง เธอจึงรีบวิ่งลงมาดู ปรากฎว่า
รูปปัันนักบุญยอแซฟแตกกระจาย และทำให้ศีรษะของชายหนุ่มคนหนึ่งแตกไปด้วย เธอตกใจมาก
จึงรีบไปขอโทษ และทำแผลให้... ต่อมาไม่นาน ทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน...

ความบังเอิญ หรือ อุบัติเหตุทำให้เกิดรัก..

พระเจ้าอาจจะใช้ความบังเอิญ หรือ อุบัติเหตุให้เกิดขึ้นในชีวิตของเราก็ได้ เพื่อเป็นการเตือนใจเรา
เพื่อเตือนสติเรา ให้เราเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต เช่น น.ออกัสติน  น.เปโตร  หรือ น.เปาโล มีอุบัติเหตุในชีวิตเสมอ และทำให้ท่านเปลี่ยนแปลงตนเอง

ความรัก (จากมนุษย์) และ การรับใช้ (พันธกิจจากพระเจ้า)

บทสนทนาของพระเยซูเจ้าและนักบุญเปโตร (ยน 21:15-17)
พระเยซูเจ้าถามเปโตรว่า "ท่านรักเราไหม?" ถึง 3 ครั้งด้วยกัน และเปโตร ก็ตอบว่า "รัก พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพเจ้ารักพระองค์"

พระเยซูเจ้าทรงท้าทายนักบุญเปโตรไม่ใช่เรื่องอื่นใด นอกจากเรื่องของ "ความรัก" ไม่ใช่เรื่องความเชื่อ ไม่ใช่เรื่องความซื่อสัตย์ แต่เป็นเรื่องความรักที่เปโตรจะต้องมอบให้พระองค์

พระองค์ตรัสว่า "จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด"
พระเยซูเจ้าบอกว่า ถ้าท่านรักเรา ท่านจงเลี้ยงแกะของเรา (หมายถึง ของพระเยซูเจ้า ไม่ใช่ของมนุษย์)

พระเยซูเจ้าบอกกับเปโตรว่า "จงเลี้ยง.." หมายถึง เวลานี้ ตอนนี้ ไม่ใช่ในอนาคต หรือ เวลาอื่น แต่เป็นเวลาปัจจุบันนี้

พระเยซูเจ้ามอบอำนาจให้เปโตร ไม่ใช่อำนาจปกครอง แต่เป็นอำนาจในการเลี้ยงดู  อำนาจในการดูแล
ลูกแกะของพระเจ้า อำนาจนั้นก็คือ อำนาจแห่งความรักและการรับใช้ ไม่มีอำนาจอื่น ไม่ใช่การบังคับ ข่มขู่ หรือ เอารัดเอาเปรียบ

นักบุญเปโตรกลับใจ เสียใจ เป็นทุกข์ในเวลาที่ปฏิเสธพระเยซูเจ้า เพราะอะไร?  เพราะว่า นักบุญเปโตรสำนึกว่า "พระเยซูเจ้าทรงรัก และซื่อสัตย์ต่อคำสัญญาของพระองค์เสมอ"  พระเยซูเจ้าสัญญาว่าจะประทาน
กุญแจสวรรค์ให้  จะตั้งพระศาสนจักรบนศิลานี้

แม้ว่าท่านเป็นคนบาป  แม้ว่าท่านเป็นคนปฏิเสธ พระองค์ ปฏิเสธที่จะรู้จักพระองค์ แต่คำสัญญาของ
พระเยซูเจ้ายังคงซื่อสัตย์ต่อท่านเสมอ

เราไม่ได้รับการอภัยจากพระเจ้า เพียงเพราะว่า เราขอโทษ
เราไม่ได้รับการอภัย ไม่ใช่จากการที่เรา คุกเข่าลงสารภาพบาป
แต่มาจาก ความรัก และความซื่อสัตย์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรา

ความซื่อสัตย์ของพระเจ้า ทำให้นักบุญเปโตรกลับใจ และซื่อสัตย์ต่อพระองค์จนตลอดชีวิต
ซื่อสัตย์ในการรับใช้ตนตาย เหมือนกับพระองค์

พระเยซูเจ้าตรัสว่า "ท่านรักเรา จงเลี้ยงแกะของเราเถิด"
เมื่อเรารักพระเยซูเจ้า เราก็ต้องรับใช้พระเจ้า ในฝูงแกะของพระองค์

ฝูงแกะ หรือ สัตบุรุษ ไม่ใช่ของเรา  แต่เป็นของพระเจ้า
เรามีหน้าที่เลี้ยงดู มีหน้าที่อุทิศตน เพื่อฝูงแกะของพระเจ้า ที่พระองค์ฝากเราไว้..

ในการรับใช้
พระเยซูเจ้าสอนเรา "ถ้าใครอยากเป็นเอก จงรับใช้คนอื่น จงรับใช้ทุกคน"
พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 "ผู้นำประเทศเดินบนพรม  แต่ผู้นำพระศาสนจักรจะต้องเป็นเหมือน
พรม เพื่อให้พี่น้องสัตบุรุษเดินอย่างปลดอภัยในสู่ความจริง และความรอด"

หมายความว่า เราจะต้องถ่อมตัวเองลง เพื่อให้คนอื่นเดินบนชีวิตของเรา เพื่อเขาจะได้รับความปลอดภัย
เพื่อเขาจะได้พบพระเจ้า ผ่านทางชีวิตของเรา

การรับใช้ของเรา ย่อมไม่ใช่รับใช้เพื่อจะได้รับรางวัล หรือการตอบแทน เหมือนกับนักธุรกิจ หรือข้าราชการ  แต่การรับใช้ของเราเป้นการรับใช้ที่ไม่หวังผลตอบแทนใดใด เพราะความรักย่อมตอบแทน
ด้วยความรักในตัวของมันเองอยู่แล้ว..

การจะรับใช้ได้ก็ต้องรักเสียก่อน
การจะรักได้ ย่อมต้องรักพระเจ้าเป็นอันดับแรก

"เปโตร ท่านรักเราไหม?"  อันดับแรกที่่เปโตรจะทำได้ ก็คือ รักพระเจ้าก่อน พระเยซูเจ้าถามว่าเจ้ารักเราไหม?  ถ้าเจ้ารักเรา จงรักแกะของแรา  จงเลี้ยแกะของเรา
แกะ กับ เจ้าของ ย่อมแยกออกจากกันไม่ได้ เมื่อรักเจ้าของแกะ ก็ต้องรักแกะด้วย

"คุณพ่อ... ท่านรักเราไหม?"
"จงเลี้ยงดูสัตบุรุษของเราเถิด"
"จงรักลูกวัดของเราเถิด"
"จงหล่อเลี้ยงความเชื่อของลูกวัดของเราเถิด"

พระเยซูเจ้า ฝาก สัตบุรุษไว้ในการดูแลของเรา ภายใต้ อำนาจแห่งความรัก และการรับใช้
สัตบุรุษเป็นของพระเจ้า ไม่ใช่ของเรา เรามีหน้าที่ที่จะต้องรัก รับใช้ ดูแลอย่างดี
มันไม่ง่ายนะที่จะเลี้ยงดูแกะของพระเจ้า.. มันเรียกร้องกรอุทิศตน การเสียสละตนเองอย่างมาก..

เรื่องเล่า..
หลังจากที่พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพแล้ว ก็เสด็จเข้าสู่สวรรค์ ระหว่างทาง ก็มีบรรดาเทวดา ทูตสวรรค์ออกมาต้อนรับ ชูป้าย ร้องตะโกนว่า "Welcome home" "ยินดีต้อนรับกลับบ้านของเรา" และก็มีเทวดานักข่าว มาสัมภาษณ์พระเยซูเจ้าว่า "พระองค์ได้ทำงานในโลกมากมาย ได้สอน ได้ทำอัศจรรย์ ได้ตายและกลับคืนชีพ ได้ส่งสาวกไปประกาศข่าวดีแล้ว ทุกอย่างสำเร็จแล้ว"  พระเยซูเจ้าตอบว่า "จริง" นักข่าวถามว่า "สมมติว่า พันธกิจล้มเหลว คือ สาวก ไม่ได้ทำงานของพระองค์ สาวกลืมพระองค์ล่ะ จะทำอย่างไร?"

พระเยซูเจ้าตอบว่า "เจ้ารู้ไหมว่า พวกเขาได้สัญญาไว้ว่า เขาจะรักเรา สิ่งที่เราทำดีที่สุดแล้ว แม้เขาจะล้มเหลว แต่เราก็รักเขา เรามั่นใจในความซื่อสัตย์ของเขา"



วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เข้าเงียบประจำปี 2013/วันแรก ภาคบ่าย

วันที่ 12 พฤศจิกายน 2013
เวลา 15.00 น.

บทเทศน์

สิ่งสำคัญ  กับ สิ่งเร่งด่วน

(จะสังเกตได้ว่า ในชีวิตของเรา สิ่งเร่งด่วนจะสำคัญเสมอ และจะชนะสิ่งที่สำคัญที่สุดเสมอ)

มีเด็กน้อย 2 คนกำลังเล่นก้อนหินกันอยู่ เขาก็เล่นโยนไปโยนมา ตามประสาเด็ก มีพ่อค้าคนหนึ่งสังเกตเห็นก้อนหินที่เด็กเล่นอยู่นี้ ทำไมมันมีแสงสะท้อนออกมาทุกครั้งที่กระทบแสง เมื่อสังเกตดูชัด ๆ แล้ว เขาก็หยิบลูกแก้วซึ่งมีสีอยู่ข้างในขึ้นมา แล้วเดินไปหาเด็ก ๆ ถามว่า หนูแลกก้อนหินที่หนูเล่น กับลูกแก้วนี้ไหม?   เด็ก ๆ เห็นว่า ลูกแก้ว กลม ใหญ่ และมีสีข้างในด้วย ก็ยอมตกลง.. เด็กหารู้ไม่ว่า ก้อนหินนั้นก็คือ ก้อนเพชร นั่นเอง

คนที่มีตาดี ก็ย่อมรู้ว่า อะไรเป็นสิ่งมีค่า และอะไรเป็นสิ่งไร้ค่า
คนที่ตาดี ย่อมรู้คุณค่าของสิ่งที่ตนเองแสวงหา หรือ สิ่งที่ตนเองกำลังกระทำ

ลก 14:16-35 งานเลี้ยงที่ผู้รับเชิญไม่สนใจ
คนที่ได้รับเชิญไม่สนใจที่จะมาในงานเลี้ยงที่พระเจ้ามอบให้ ที่พระเจ้าได้จัดให้
พวกเขาไม่สนใจในสิ้งที่พระเจ้าประทานให้ คือ ความรอดพ้น
พวกเขาสนใจในสิ่งที่เร่งด่วนมากกว่า
  สนใจในเรือกสวนไร่นา
  สนใจในชีวิตแต่งงาน
  สนใจในกินการอยู่ หรือ การใช้ชีวิต

เรามักจะสนใจในโฆษณา สนใจในสิ่งที่โลกได้บอก และเชิญชวน
โดยที่เราไม่ได้ให้คุณค่า และเห็นความสำคัญของชีวิตที่ต้องเอาตัวรอดไปสวรรค์
หากเราพระสงฆ์ สนใจในสิ่งที่เป็นของโลก
และไม่สนใจในคุณค่าแห่งพระวรสาร   มันน่าเสียดายนะ...

อะไรที่จำเป็น  อะไรที่สำคัญ  ให้เราดูชีวิตของมารธา กับมารีย์ และพระเยซูเจ้าก็ตรัสว่า "สิ่งจำเป็นมีเพียงสิ่งเดียว และมารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุด" (ลก 10: 38-42)

สิ่งที่จำเป็น และสิ่งที่สำคัญที่สุด มีเพียงสิ่งเดียว คือ พระเจ้า คือชีวิตนิรันดร

คนโง่เขลาที่สุด คือ คนที่มองไม่เห็นสิ่งที่มีค่าที่สุด
คือ คนที่ยึดโลกนี้เป็นหลักในการดำเนินชีวิต
ใจยึดติด กับสิ่งสร้าง จนลืม พระผู้สร้าง
ใจยึดติด กับโลกนี้  จนลืมไปว่า มีพระเจ้า

คนที่สูญเสียพระเจ้า ก็ สูญเสียทุกอย่างในชีวิตของตน

อันตรายที่สุด   หากพระสงฆ์คนหนึ่ง ถือว่า หน้าที่ของพระสงฆ์เป็นหน้าที่รอง
                                          รอง  จากค่านิยมของโลก
                                          รอง  จากวัตถุนิยม
                                          รอง  จากความสะดวกสบายในชีวิต

พระสงฆ์ต้องตระหนักเสมอว่า เราเป็นคนของพระ
เราไม่ต้องพูดมาก  แต่เราต้องแสดงออกมา
เราต้องแสดงออกมาให้คนเห็นว่า เราเป็นคนของพระเจ้า
เราต้องแสดงออกมาในชีวิตประจำวันของเรา
ในชีวิตที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ ชีวิตที่ดูเหมือนว่ ไม่มีอะไร

ชีวิตของพระสงฆ์ เป็นของพระเจ้า
ทุกสิ่งที่เราทำ
ทุกสิ่งที่เราปฏิบัติ
เราเป็นของพระเจ้า

ความเชื่อและชีวิตของเราอยู่ในพระเจ้า
ความเชื่อและชีวิตของเรามีพื้นฐานมาจากพระเจ้า

เราจะต้องรักทุกสิ่งที่เป็นของพระเจ้า
วัด ของเรา
สัตบุรุษของเรา

เราจะต้องรัก จะต้องปกป้อง จะต้องเป็นแบบอย่างแห่งความเชื่อให้กับพวกเขา
เราจะต้องหล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเขา
ด้วยชีวิตของพระสงฆ์ ของเรา....

เก็บตก...ภาพ









ภาพ โดยคุณพ่อชำนาญ  บัวขันธ์


เข้าเงียบประจำปี 2013/วันแรก

วันอังคาร ที่ 12 พฤศจิกายน 2013

บทเทศน์

เวลา 09.00 น.

เรื่องเล่า

ชายคนหนึ่งเขาฝันทุกคืนว่า เขาพยายามเปิดประตูบานใหญ่ โดยการดึงเข้ามาหาตัวเอง เพื่อที่จะเข้าไปข้างใน พยายามแล้ว พยายามอีก ก็ไม่สามารถเปิดประตูได้ เขาพยายามทั้งคืน จนหมดแรง
พอตื่นขึ้นมา เขาก็รู้สึกเหนื่อย ไม่มีเรี่ยวแรง.. เป็นอย่างนี้หลายคืน
ในที่สุด เขาจึงตัดสินใจไปพบกับจิตแพทย์
จิตแพทย์ ก็ถามเขาว่าเขานั้นฝันอย่างไร?  เขาก็เล่าเรื่องให้ฟังอย่างละเอียด
แล้วจิตแพทย์ก็ถามว่า ที่ประตูนั้นมีคำเขียนไว้ไหม? เขาก็ตอบว่า "มีเขียนคำหนึ่ง"
"เขียนไว้อย่างไร" ถาม ชายคนนั้นตอบว่า "ผลัก"

เราเห็นไหมว่า ที่ประตูเขียนไว้ว่า ผลัก เพื่อเปิดเข้าไปข้างใน  แต่ชายคนนั้นกลับดึงประตูเข้าหาตนเอง เพื่อที่จะเข้าไปข้างใน... เขาทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่บอกไว้  แล้วเขาจะเข้าไปได้อย่างไร?

ชีวิตภายใจของเราเองก็เช่นกัน
หลายครั้ง เราพยายามดึง ดึง ดึงหลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเรา เข้ามาหาตัวเรา เรียกว่า การยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ทำให้เราไม่สามารถที่จะพัฒนา หรือก้าวหน้าในชีวิตฝ่ายจิตได้

ประตูชีวิตของเราจะต้องเปิดออก อย่ามองแค่ตัวเองเท่านั้น ต้องมองคนอื่น ต้องมองเพื่อนพี่น้อง
ต้องเข้าใจเขา ต้องเคารพ และให้เกียรติเขา

การมองไม่เห็นความดีของคนอื่นนั้น  ถือว่า อันตราย  ต่อชีวิตภายใน..

เราจะต้องไม่มองในสิ่งที่ตนเองทำ เพื่อตนเอง  แต่เราต้องมองที่ความดีของคนอื่น เพื่อพระสิริมงคลของพระเจ้า

หัวข้อในเช้าวันนี้ คือ เรื่อง ความเชื่อ

 -  ถ้าผู้นำมีความเชื่อน้อย
 -  แล้วคนตามล่ะ จะมีความเชื่อเป็นอย่างไร?

ความเชื่อไม่ได้มาจากหนังสือ แต่มาจากชีวิต
พระเยซูเจ้าไม่เคยเรียกร้องให้ศิษย์ของพระองค์เชื่อในพระองค์ด้วยสติปัญญา (Intellectual Faith)
แต่พระองค์ทรงเรียกร้องให้บรรดาศิษย์ของพระองค์ เชื่อในพระองค์ ด้วยชีวิต
เช่น ความเชื่อของนายร้อย..

Personal Faith หรือ Personal Trinity

เราเชื่อในพระเจ้า ด้วยตัวของเราเอง ด้วยชีวิตของเรา ไม่ใช่ด้วยคำพูดของคนอื่น
ด้วยชีวิตที่เราสัมผัส เป็นเราเองที่ืเชื่อในพระองค์
"แล้วท่านละ คิดว่าเราเป็นใคร?"
เชื่อด้วยตนเอง เชื่อในพระบุคคลของพระเจ้าด้วย

เราเชื่อในพระเยซูเจ้าจริงๆ ไหม?   "เราเป็นปังแห่งชีวิต" (ยน 6:35)
"นี่คือกายของเรา"  กาย    หมายถึง กายของพระสงฆ์
                                         หมายถึง กายขอพระคริสตเจ้า

ความเชื่อ ต้องการประจักษ์พยาน
นี่คือสิ่งที่สำคัญมาก และมากที่สุด ประจักษ์พยานด้วยชีวิต
พระสงฆ์ เทศน์ พระสงฆ์พูด ชาวบ้านจดจำไม่ค่อยได้  แต่เขาจะจดจำ สิ่งที่พระสงฆ์ปฏิบัติ
สิ่งที่พระสงฆ์กระทำในชีวิตประจำวัน ชีวิตที่ง่าย ๆ เรียบ ๆ นั่นแหละ
สัตบุรุต เขามีตานะ เขามองเห็น เขาไม่ได้ตาบอด เขาเห็นประจักษ์พยานของพระสงฆ์
เขาจึงเชื่อในคำพูด และคำเทศน์สอนของพระสงฆ์

เรารู้ไหมว่า "ความเชื่อของสัตบุรุษขึ้นอยู่กับความเชื่อของพระสงฆ์"
แม้แต่เรื่องภายนอก
                                  การแต่งกาย
                                  คำเทศน์สอน
                                  การใช้คำพูดคำจา
                                  การไปในสถานที่ต่าง ๆ
สิ่งเหล่านี้ มีอิทธิพลต่อความเชื่อของชาวบ้าน เป็นอย่างมาก
เราอาจจะมองว่า เป็นเรื่องภายนอก  และเป็นเรื่องไม่สำคัญ เราจึงไม่ระวังตนเอง
แต่สำหรับชาวบ้าน... เขามีตานะ   เขาไม่ได้ตาบอดที่จะมองไม่เห็นว่าอะไรเป็นอะไร

พระสงฆ์ ไม่สามารถดำเนินชีวิต 2 แบบได้ในเวลาเดียวกัน นั่นคือ การดำเนินชีวิตเป็นพระสงฆ์
และการดำเนินชีวิตในแบบของฆราวาส หรือ การดำเนินชีวิตตามประสาโลก
พระสงฆ์ต้องชัดเจน ในการดำเนินชีวิตของตนเอง

เราเคยเห็นไหม ปลวกกินหนังสือ มันไม่ได้กินข้างนอกก่อนนะ  แต่มันจะเจาะกินข้างในก่อน
จนบางครั้งเราตายใจ คิดว่าหนังสือของเราใหม่ และยังเรียบร้อยอยู่ดี  แต่พอจะหยิบขึ้นมาอ่าน
ปรากฎว่า ภายนอกดูดี แต่ข้างใน ปลวกกินหมดแล้ว..น่าเสียดายหนังสือนะ

ทุกวันนี้ ปีศาจมันฉลาด มันพยายามโจมตี ด้านใน ภายในจิตใจของมนุษย์ก่อน
กระแสสังคม  กระแสโลก มันพยายามเจาะด้านใจจิตใจของเราก่อน กันจะกินจิตใจของเรา
มันทำให้เราติดใจ กับรสชาติแบบโลก ความหวาน สีสัน ชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ
จนดูเหมือนว่า ภายนอกดูดี ปฏิบัติศาสนากิจอย่างดี  แต่ภายในนั้น โดยกินหมดแล้ว...

ฉะนั้น เราพระสงฆ์จะต้องไม่เป็นมิตร กับ โลก มากเกินไป





วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เข้าเงียบประจำปี 2013/เตรียมจิตใจ

11 พฤศจิกายน 2013
เวลา 20.00 น.

บทเทศน์

ที่ประเทศอียิปต์ ที่นั่นชาวบ้านมีอาชีพหาปลา คือเป็นชาวประมง
วันหนึ่งพวกเขาก็พากันสร้างหอประภาคารที่สูงที่สุดขึ้น เพื่อช่วยเหลือชาวประมง
ในเวลาที่เกิดพายุ จะได้ช่วยพวกเขาให้พ้นมาถึงฝั่งได้

ปกติแล้วก็จะเป็นหน้าที่ของชายชราคนหนึ่ง แต่ต่อมาเขาก็ได้เสียชีวิตไป ชาวบ้านก็ได้เลือก
ชายหนุ่มคนหนึ่งให้มาทำหน้าที่แทน

หน้าที่ของเขาก็คือ การเติมน้ำมันอยู่เสมอ เพื่อให้หม้อไฟส่องแสงสว่างได้ไกลๆ
ที่นั่นก็มีไหเก็บน้ำมันหลายใบ แต่ละใบก็มีน้ำมันเต็มไปหมด

ชายหนุ่มคนนี้เขาก็ทำงานเหมือนปกติทั่วไป คือ ไม่มีอะไรทำ เพราะไม่มีพายุ
เขาก็ทำตัวสบาย ๆ ฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ

ชาวบ้านแวะมาขอน้ำมันจากเขา เขาก็ให้ไปคนละลิตร สองลิตร เพราะเขาไม่ได้ใช้อยู่แล้ว
ให้ชาวบ้านที่ต้องการดีกว่า

วันหนึ่งมีคนมาบอกว่า พายุกำลังมา ต้องใช้ประภาคารส่องแสงสว่างให้ชาวประมงที่อยู่กลางทะเล
ได้รับรู้ และสามารถเข้ามาฝั่งได้

เขาก็รีบไปตักน้ำมันในไห ปรากฎว่า เจอแต่หยักไย น้ำมันไม่มีแล้ว

ผลที่ตามมาก็คือ ความเสียหลายที่เกิดขึ้น เรือของชาวบ้านได้รับความเสียหายอย่างมาก
คนที่ถูกตำหนิ ก็คือ ชายหนุ่มที่ไม่ทำหน้าที่ของเขาในการเฝ้าประภาคาร

การมาเข้าเงียบ...เป็นการมาอยู่กับพระเยซูเจ้า
บรรดาศิษย์เข้ารายงานถึงสิ่งที่ตนเองได้กระทำ แต่ไม่รู้ว่า พระเยซูเจ้าทรงฟังผลงานของเขาหรือเปล่า?

สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำก็คือ เรียกบรรดาศิษย์เข้ามา บอกว่า มา มา พักผ่อนกับเราเถิด..
พระเยซูเจ้าไม่ต้องการผลงานของเรา  แต่พระองค์สนใจ และโฟกัสไปที่คุณภาพชีวิตของเรา
พระองค์สนใจ ชีวิตของเรามากกว่างานของเรา


หลายครั้งในชีวิตสงฆ์ของเรา..เหมือนกับ ชายหนุ่มที่เฝ้าประภาคาร
ชวิตที่เรียยง่าย  ชีวิตที่สบาย สบาย ชีวิตที่ไร้ปัญหา
เราก็ละเลย เราก็เมินเฉย เราก็ไม่เตรียมตัวอะไร

แต่เมื่อปัญหามา เราจึงไม่สามารถแก้ไข หรือไม่สามารถต้านทานมันได้
เมื่อมีปัญหา เราก็เลยพ่ายแพ้
เพราะเราเตรียมตัวไม่พร้อมที่จะต่อสู้ หรือเผชิญกับปัญหา
ในเวลาปกติ เราไม่ได้เตรียมตัวให้ดี ให้พร้อม...

การเข้าเงียบ...
เป็นการมาดูชีวิตของเรากับพระเจ้า

คุณพ่อผู้เทศน์ เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้นเอง
สิ่งสำคัญก็คือ เรามาเข้าเงียบกับพระเยซูเจ้า เรามาฟังเสียงของพระองค์



วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เสกป่าช้าศักดิ์สิทธิ์ 2013


บรรยากาศแห่งวันรวมญาติ..
ทั้งผู้เป็น และ ผู้ตาย...เสมือนครอบครัวเดียวกัน

ครอบครัวแห่งศีลล้างบาป ครอบครัวของพระเจ้า


























บรรยากาศหลังมิสซา


















ครอบครัวของชาวนามน



วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ผู้ล่วงลับ 2013


บทเทศน์

บทเทศน์ ผู้ล่วงลับ

ในเดือนพฤศจิกายาน  เราคริสตชนมีธรรมเนียมปฏิบัติก็คือ การระลึกถึงบรรดาบรรพบุรุษของเราที่ล่วงลับไปแล้ว 
ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนสนิทมิตรสหาย หรือแม้แต่บุคคลที่เราไม่รู้จัก 
เมื่อเขาตายไป เราก็คิดถึงเขา  การระลึกถึงผู้ล่วงลับ เราคริสตชนสามารถทำได้โดย 

การสวดภาวนาทั้งส่วนตัวและส่วนรวม คือ สวดในจิตใจคนเดียว หรือรวมกันสวดเป็นครอบครัว หรือเป็นกลุ่ม 
ก็สามารถทำได้ นอกจากนี้สุดยอดของคำภาวนาก็คือ 

การขอมิสซาสำหรับผู้ล่วงลับไปแล้ว พระศาสนจักรสอนว่า เมื่อเราร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ เราก็ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมล้ำลึกปัสกาของพระเยซูเจ้า นั่นคือ การรับทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพ  ในการมีส่วนร่วมของเราในมิสซานี้แหละที่เป็นผลไปถึงบรรดาผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย

ในเดือนนี้ เป็นเดือนที่เราระลึกถึงผู้ตาย ที่อยู่ในไฟชำระ คือ ผู้ที่รอคอยวันเวลาแห่งการชำระตนเองให้สะอาด 
เพื่อจะได้เป็นผู้เหมาะสมที่จะเข้าไปสู่สวรรค์ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระศาสนจักรสอนเราเรื่อง “สหพันธ์นักบุญ” 
หรือ “ความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวของผู้ศักดิ์สิทธิ์” มีอยู่ 3 ที่ด้วยกัน  นั่นคือ

 มนุษย์ที่มีชีวิตบนโลกนี้  
ผู้ล่วงลับที่อยู่ในไฟชำระ
 และผู้ล่วงลับที่อยู่ในสวรรค์ เราเรียกว่า นักบุญ

พระศาสนจักรย้ำเตือนเราเสมอว่า “อย่าลืมบรรดาผู้ล่วงลับทั้งหลาย
 เพราะเขาไม่สามารถทำกิจการใดใดได้เลยเพื่อช่วยตัวเองให้รอดพ้น”

พี่น้อง มีเพียงชีวิตบนโลกนี้เท่านั้น ที่จะกำหนด ชีวิตหลังความตายได้  ตายแล้วจะไปไหน? 
ไม่ต้องรอคำตอบจากคนตายให้กลับฟื้นขึ้นมาบอก ตายแล้วจะเป็นอย่างไร?
 ไม่ต้องรอให้วิญญาณญาติพี่น้องมาบอกในฝันหรือในนิมิต เรารู้ว่า เมื่อเราตายแล้วเราจะอยู่ที่ไหน 
เรารู้ได้ตั้งแต่เวลานี้ เรารู้จักตัวของเราดี ไม่ต้องห่วงคนอื่น เราความเป็นตัวของเราเองดี จากการกระทำของเรา 
พระเยซูเจ้าพระองค์ตรัสเสมอ “รางวัลของผู้ชอบธรรม หรือ รางวัลของคนดีมีศีลธรรม ก็คือ เมืองสวรรค์ 
ก็คือ การอยู่กับพระองค์ตลอดไป”

หากชีวิตของเราเคร่งครัดในการดำเนินชีวิตคริสตชน เอาจริงเอาใจใส่ต่อการถือตามคำสอนของพระเยซูเจ้า ใส่ใจในความรักความเมตตา การให้อภัย การแบ่งปันน้ำใจให้แก่กันและกันในโลกนี้  แล้วเมืองสวรรค์จะไปไหน? 
เมืองสวรรค์จะเป็นของใคร? ก็ต้องเป็นของเรา  

เมืองสวรรค์คงไม่ใช่รางวัลสำหรับคนที่กระทำดังต่อไปนี้

การผิดประเวณี ความลามกโสมม การปล่อยตัวตามราตัณหา 
การกราบไหว้รูปเคารพ การใช้เวทมนตร์คาถา การเป็นศัตรูกัน 
การทะเลาะวิวาท ความอิจฉาริษยา ความโกรธเคือง การแก่งแย่งชิงดี 
การแตกแยก การแบ่งพรรคแบ่งพวก  การเมามาย การสำมะเลเทเมา (กท 5:19-21)

คนที่ดำเนินชีวิตในเรื่องเหล่านี้ ไม่สามารถเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ หากเราจะถามต่อไปว่
 “ดังนี้แล้วใครจะรอดได้” พระเยซูเจ้าก็จะตรัสว่า “สำหรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไปได้”

หากเราจะสังเกต ตามที่นักบุญเปาโลได้ให้รายละเอียดของคนที่จะไม่ได้เมืองสวรรค์เป็นมรดกนั้น 
เราจะเห็นว่า เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องของ “การขาดความรักความเมตตาต่อกัน” 
หรือ “การไม่รักกันและกันเหมือนอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงรักเรา”
 สำหรับความรักความเมตตานั้น พระเยซูเจ้าสอนเราว่า 
“ท่านให้น้ำแก้วหนึ่งแก่คนเล็กน้อยหรือต่ำต้อยคนหนึ่ง ก็เท่ากับทำต่อเราเอง”

ดังนั้น ความรักความเมตตากรุณาต่อกันและกัน จึงเป็นเสมือนกุญแจสำคัญที่จะนำเราไปสู่เมืองสวรรค์
“จงเป็นคนดีบริบูรณ์เหมือนดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ทรงความดีบริบูรณ์”

พีน้องที่รัก พระสันตะปาปาฟรังซิสบอกเราว่า ชีวิตคริสตชนขอเรา จะต้องให้พระคริสตเจ้าเป็นศูนย์กลาง 
หากเราเอาชีวิตของเราเองเป็นศูนย์กลางเราก็ไม่ใช่คริสตชนที่แท้จริง เราเป็นคริสตชนจอมปลอมเท่านั้นเอง..

ทำไม่พระสันตะปาปาตรัสเช่นนี้ เพื่อที่จะดำเนินชีวิตให้อยู่ในหลักธรรมคำสอนของพระเยซูเจ้า
 หรือ เพื่อเราจะได้มีใจเมตตากรุณา ใจให้อภัย ใจที่เปี่ยมล้นด้วยความรักต่อกันและกันได้ 

จำเป็นต้องมีพระคริสตเจ้าในชีวิตของเรา เราจึงจะสามารถเอาชนะความลามกโสมมได้ 
สามารถเอาชนะความโกรธ การอิจฉาริษยากันได้ หรือแม้แต่การทะเลาะเบาะแว้ง 
เราก็สามารถเอาชนะได้ หากเรายึดพระเยซูเจ้าเป็นศูนย์กลางของชีวิต

พี่น้องที่เคารพรัก หากว่า ชีวิตนี้ของเรา เราไม่ต้องการพระเจ้า แล้วชีวิตในโลกหน้า
เราจะต้องการเจ้าหรือ? หากว่าในชีวิตนี้ เราไม่อยากเข้ามาหาพระองค์ ในชีวิตหน้า เราอยากจะอยู่กับพระองค์หรือ? 
คงเป็นไปไม่ได้

ดังนั้น ไม่ว่าท่านมีชีวิตอยู่หรือตาย ท่านก็เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า

..ราไม่จำเป็นต้องถามและรอคอยคำตอบว่า ตายแล้วจะไปไหน? ตายแล้วจะเป็นอย่างไร? 

พระศาสนจักรสอนเราว่า “ตายแล้วเราจะไปอยู่สวรรค์ ตายแล้วเราจะมีความสุขตลอดนิรันดร 
สำหรับผู้ที่เป็นคนดีในสายตาของพระเจ้าเท่านั้น”