BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556

วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์2013

บทเทศน์

พี่น้องที่เคารพรัก ในค่ำคืนนี้ เรามาร่วมจิตร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เพื่อร่วมในพระธรรมล้ำลึกปัสกา ของพระคริสตเจ้า ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ
คืนนี้เป็นคืนตื่นเฝ้า

เราเริ่มต้นด้วยพิธีแสงสว่าง คือ เสกไฟ เสกเทียน นั่นแสดงให้เราเห็นว่า
พระคริสตเจ้าทรงเป็นแสงสว่าง ทรงเป็นผู้นำทางชีวิตคริสตชนของเรา
แสงเทียน แสงไฟ ที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืด เป็นเครื่องหมายถึง ชัยชนะของพระคริสตเจ้า
พระองค์ชนะบาปและความตายด้วยการกลับคืนพระชนมชีพ
การเสกไฟ เสกเทียน จึงมีความหมายว่า เราคริสตชนเป็นบุตรแห่งความสว่าง
เราคริสตชนเป็นผู้มีแสงสว่าง เราไม่ได้อยู่ในความมืด แต่เราอยู่ในความสว่างของพระคริสตเจ้า
แสงสว่างของพระคริสตเจ้า ส่องในจิตใจของเรา ให้เรา้รู้จักหนทางที่จะต้องเดิน
ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน

นอกจากนั้น เรายังได้ร่วมเป็นพยานในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์แห่งความรอดของมนุษย์ ด้วยการได้ยิน ได้ฟังกิจการที่พระเจ้าทรงกระทำกับมนุษย์ ตั้งแต่สร้างโลก อับราฮัม การช่วยให้รอดจากการเป็นทาสผ่านทางโมเสส และคำทำนายของบรรดาประกาศ ที่สุด ในพันธสัญญาใหม่ งานไถ่กู้มนุษย์ก็ได้สำเร็จลงที่องค์พระเยซูคริสตเจ้า ผุ้ซึ่งได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ

ในพระวรสาร เราได้ฟังเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ
บรรดาสตรีไปที่พระคูหา แต่ไม่พบ เพราะอะไร?

"ทำไมท่านมองหาผู้เป็น ในหมู่ผู้ตายเล่า??"

ใช่แล้ว.. ทำไมเรามองหาผู้เป็นในหมู่คนตาย เราจะพบได้อย่างไร?
เพราะเรามองหาผิดที่ ผิดทาง ผิดเวลา จึงไม่พบสิ่งใด
จึงต้องพบแค่ความว่างเปล่า

พระเยซูเจ้า ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว
เราจะพบพระองค์ในหมู่คนตายได้อย่างไร?
เราจะพบพระองค์ในความตายได้อย่างไร?

พระองค์ตรัสเสมอว่า "พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของผู้เป็น"  "เราคือผู้เป็น" บัดนี้ และตลอดไป

ชีวิตคริสตชน เป็นชีวิตที่มุ่งสู่การมีชีวิต
ไม่ใช่ มุ่งสู่ ความตาย
แม้จะตาย แต่เราก็จะมีชีวิตในพระองค์ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ
ความหวังของเรา ก็คือ การกลับคืนชีพ
และเราจะได้ัรับอย่างแน่นอน
เพราะเราเป็น..คนของพระเจ้า...

ดังนั้น.. เราจึงต้องดำเนินชีวิตอย่างผู้เป็น ไม่ใช่อย่างคนตาย

จากนี้ จะเป็นพิธีศีลล้างบาป นั่นคือ การเสกน้ำล้างบาป และเสกน้ำเสก
พร้อมกับการยืนยันว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า  เราเชื่อในพระเจ้า
พร้อมกับการประกาศที่จะละทิ้งปีศาจและกิจการทั้งสิ้นของมัน

และสุดท้ายพิธีศีลมหาสนิท  การรับพระคริสตเจ้า องค์ปัสกาเข้ามาสู่ชีวิตของเรา
ทำให้เราเข้มแข็ง ทำให้เรามีความหวัง ทำให้เราเติบโต
ทำให้เราอิ่มในความรักของพระองค์

สุขสันต์ปัสกา Buona Pasqua a tutti voi

don Pietro


วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

วันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ 2013

บทเทศน์

ยน 13:1-15

ก่อนวันฉลองปัสกา พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่จะทรงจากโลกนี้ไปเฝ้าพระบิดา พระองค์ทรงรัก ผู้ที่เป็นของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด
ระหว่างการเลี้ยงอาหารค่ำ ปีศาจดลใจ ยูดาส อิสคาริโอบุตรของซีโมให้ทรยศต่อพระองค์  พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าพระบิดาประทานทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว และทรงทราบว่า พระองค์ทรงมาจากพระเจ้า และกำลังเสด็จกลับไปหาพระเจ้า  จึงทรงลุกขึ้นจากโต๊ะ ทรงถอดเสื้อคลุมออกวางไว้ ทรงใช้ผ้าเช็ดตัวคาดสะเอว   แล้วทรงเทน้ำลงในอ่าง เริ่มล้างเท้าบรรดาศิษย์ และใช้ผ้าที่คาดสะเอวเช็ดให้
เมื่อเสด็จมาถึงซีโมนเปโตร เขาทูลพระองค์ว่าพระเจ้าข้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพเจ้าหรือ  ​​พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่าสิ่งที่เราทำอยู่ขณะนี้ ท่านยังไม่เข้าใจ แต่จะเข้าใจในภายหลัง  เปโตรทูลว่า 
ข้าพเจ้าไม่ยอมให้พระองค์ล้างเท้าข้าพเจ้าพระเยซูเจ้าตรัสตอบว่าถ้าท่านไม่ให้เราล้าง ท่านจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรา ซีโมนเปโตรทูลว่า พระเจ้าข้า อย่าล้างเฉพาะเท้าเท่านั้น แต่ล้างทั้งมือและศีรษะด้วย  ​​พระเยซูเจ้าตรัสว่าผู้ที่อาบน้ำแล้วก็ไม่จำเป็นต้องล้างอะไรอีกนอกจากเท้าเขาสะอาดทั้งตัวแล้ว ท่านทั้งหลายก็สะอาดอยู่แล้ว แต่ไม่ทุกคน  ทั้งนี้ทรงทราบว่า ใครกำลังทรยศต่อพระองค์ จึงตรัสว่าท่านทั้งหลายสะอาด แต่ไม่ทุกคน

เมื่อทรงล้างเท้าของบรรดาศิษย์เสร็จแล้ว พระเยซูเจ้าทรงสวมเสื้อคลุมอีกครั้งหนึ่ง เสด็จกลับไปที่โต๊ะ ตรัสว่าท่านเข้าใจไหมว่าเราทำอะไรให้ท่าน  ท่านทั้งหลายเรียกเราว่าอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ถูกแล้ว เพราะเราเป็นอย่างนั้นริง ๆ  ในเมื่อเราซึ่งเป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและอาจารย์ยังล้างเท้าให้ท่าน ท่านก็ต้องล้างเท้าให้กันและกันด้วย  เราวางแบบอย่างไว้ให้แล้ว ท่านจะได้ทำเหมือนกับที่เราทำกับท่าน



พี่น้องที่เคารพรัก วันนี้เป็นวันเริ่มต้นตรีวารปัสกา พระเยซูเจ้าพระองค์ทรงทราบว่า ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะต้องไปหาพระบิดา ถึงเวลาแล้วที่พระองค์ต้องจากโลกนี้ไป ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะต้องตาย..

ตลอดพระชนมชีพของพระองค์ พระองค์ตรัสเสมอว่า เวลาของเรายังมาไปไม่ถึง พระองค์ตรัสเช่นนี้หลายครั้ง แต่บรรดาศิษย์ไม่เข้าใจว่า พระองค์หมายถึงอะไร แต่วันนี้ชัดเจน ชัดเจนว่า เวลาของพระองค์ก็คือ  เวลาแห่งพระทรมาน เวลาแห่งความตาย เพื่อช่วยเราให้รอดพ้น

ก่อนที่พระองค์จะรับทรมาน สิ่งสำคัญที่พระองค์มอบให้แก่เรา เป็นเหมือนพินัยกรรมสุดท้ายก็คือ
รูปแบบชีวิตแห่งการรับใช้ 
ซึ่งเราในฐานะที่เป็นศิษย์ของพระองค์จะต้องนำสิ่งนี้ไปใช้ และปฏิบัติให้เป็นชีวิตของเรา ให้ดำเนินไปในการดำรงชีวิตประจำวันของเรา หรือ เราจะต้องทำให้พินัยกรรมของพระองค์ เป็นจริงให้ได้..

พระองค์ทำอย่างไรในสอนเรื่อง การรับใช้ นั่นคือ พระองค์ทรงล้างเท้าบรรดาศิษย์  ล้างเท้าให้คนที่เราสอน ล้างเท้าให้คนที่เราเห็นแล้วว่า "ไม่ได้เรื่อง" แต่พระองค์ทรงกระทำ เป็นเครื่องหมาย และแบบอย่างแก่เรา 

ตามปกติ ผู้ที่เป็นอาจารย์ มีหน้าที่ในการอบรมสั่งสอน และจะถูกยกฐานะให้เป็นผู้ที่สูงกว่า จะได้รับเกียรติ และความเคารพมากกว่า   การเป็นศิษย์..ต้องเคารพ นบนอบ และเชื่อฟังอาจารย์ ต้องให้เกียรติอาจารย์ของตน ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นหรือเหยียดหยามอาจารย์ของตนเอง

สำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงเป็นอาจารย์ของบรรดาศิษย์ แต่สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำก็คือ การล้างเท้าให้บรรดาศิษย์ และบอกว่า ท่านต้องล้างเท้าให้กันและกันด้วย

การล้างเท้า มีความหมายว่า แผนการแห่งความรอดจะสำเร็จสมบูรณ์ได้มาจาก การสละน้ำใจของตนเอง  มาจาก การนอบน้อมเชื่อฟัง มาจาก การไม่เห็นแก่ตัว  มาจาก ความรัก

พระเยซูเจ้าทรงยอมก้มศีรษะให้บรรดาศิษย์ พระองค์ใช้มือ ล้างเท้าของบรรดาศิษย์ทุกคน เพราะพระองค์ทรงเห็นแล้วว่า ความนบนอบ หรือ นอบน้อมเชื่อฟัง เป็นหนทางที่สร้างความเป็นหนึ่งเดียวซึ่งกันและกันได้

เวลานี้ พระองค์ใช้น้ำ..ล้างเท้าบรรดาศิษย์ให้สะอาด เหมาะสม และมีส่วนร่วมในชีวิตของพระองค์ แต่อีกไม่นาน พระองค์จะทรงใช้เลือดและชีวิตของพระองค์ล้างบาปทั้งหมดทั้งสิ้นของเรา..บนไม้กางเขน..

พี่น้องที่เคารพรัก เวลานี้ ถึงเวลาของเราแล้ว ที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูเจ้า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องลงมือกระทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงสอนเรา ถึงเวลาของเราแล้วที่เราจะต้องตาย ตายต่อตัวเอง ตายต่อชีวิตของตนเอง เพื่อสร้างชีวิตสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า และเพื่อนพี่น้อง

เราเป็นคริสตชน เราได้รับการไถ่ และชำระล้างจากการตายของพระเยซูเจ้า การรับใช้ซึ่งกันและกัน หรือ การยอมเชื่อฟังกันและกัน เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตของเรา กลุ่มคริสตชนเป็นกลุ่มชนแห่งความเชื่อ เราเชื่อในพระเยซูเจ้าผู้ทรงรักเรา และยอมตาย กลับคืนพระชนมชีพเพื่อเรา.. กลุ่มชนแห่งความเชื่อ เราไม่ได้เชื่อในสิ่งที่งมงาย หรือเป็นไปไม่ได้ แต่เราเชื่อในความจริง   การรับใช้กันและกัน การให้อภัยกันและกัน การฟังเสียงของกันและกัน หรือ การรักกันและกัน เป็นการแสดงออกถึงความเชื่อที่เรามีต่อพระเยซูคริสตเจ้า นี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่นี่คือ ความจริง

กลุ่มคริสตชนของเราจะเป็นปึกแผ่น และพร้อมเพียงกัน ก็มาจากการที่เราแต่ละคนเลียนแบบชีวิตของพระเยซูเจ้า โดยเฉพาะในเรื่องของความรักต่อกันและกัน เพราะว่า ศูนย์กลางชีวิตของเราก็คือ ชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า นั่นก็คือ ศีลมหาสนิท นั่นเอง

ยิ่งเราศรัทธา ยิ่งเรารักพระเจ้ามากเท่าใด เราจะรักกันมากเท่านั้น เราจะสามารถให้อภัยกันได้เสมอ ความเกลียดชัง ความโกรธแค้น หรือ การอิจฉาริษยากันและกัน จะหมดไป หากเราพยายามที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ในศีลมหาสนิท