BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา ปี C

บทเทศน์

บสร 3:17-18,20,28-29
ฮบ 12:18-19,22-24a
ลก 14:1,7-14

พี่น้องที่เคารพรัก วันนี้เป็นวันที่อาทิตย์ที่ 1 กันยายน 13 สัปดาห์ที่ยี่สิบสองในเทศกาลธรรมดา 
วันนี้เป็นวันของพระเจ้าที่เรามาร่วมชุมนุมกันในพระนามของพระองค์ เพื่อนมัสการ สรรเสริญ และขอบพระคุณพระองค์ อีกทั้ง เพื่อเราจะได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ด้วย
พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ ได้ตรัสเกี่ยวกับเรื่อง “ความสุภาพถ่อมตน”
ในบทอ่านที่ 1 จากหนังสือบุตรสิรา สอนเราว่า “จงทำทุกอย่างด้วยความสุภาพถ่อมตน แล้วท่านจะเป็นที่รักของผู้คน และพระเจ้าก็ทรงโปรดปราน”
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ของพระองค์ถึงความหมายของคำว่า “ผู้ยิ่งใหญ่” พระองค์เรียกเด็กเล็ก ๆ เข้ามาและตรัสว่า “จงทำตัวเหมือนเด็กเล็ก ๆ ถ้าท่านอยากจะเข้าสวรรค์ ใครก็ตามที่สุภาพถ่อมตนเหมือนเด็กเล็ก ๆ จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์”
พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ทุกคนที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น”
ทนายความคนหนึ่งได้พูดกับชาวนายากจนคนหนึ่งว่า ทำไมคุณต้องนบนอบถ่อมตัวและก้มหัวให้กับทุกคน? คุณดูผมเป็นตัวอย่างซิ  ผมไม่เคยก้มหัวให้ใครทั้งนั้น  ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร แม้แต่พระเป็นเจ้า ผมก็ไม่คิดจะนบนอบต่อพระองค์?” าวนามองดูทนายความคนนั้น พร้อมกับพูดว่า “คุณเห็นรวงข้าวในทุ่งนาไหม? มีแต่รวงข้าวที่ลีบที่ชูรวงในอากาศ ส่วนรวงข้าวที่มีเมล็ดเต็มจะล้มราบลงบนพื้นนา”
ความสุภาพถ่อมตน เป็นคุณธรรมที่จะทำให้เราอยู่ด้วยกันในสังคม ในหมู่บ้าน และในครอบครัวได้อย่างสงบ และสันติสุข คนที่โอ้อวดตัวเอง ก็เป็นเหมือนกับรวงข้าวลีบ ที่ไร้ประโยชน์ ยกตัวเองขึ้น แต่กลวง ไม่มีอะไรเลย เหมือนกับแกลบ เมื่อต้องลมก็ถูกพัดกระจายไป..
คนสุภาพถ่อมตน เหมือนกับรวงข้าวที่เต็มไปด้วยเม็ดข้าว ที่พร้อมจะนำความสุขไปสู่คนอื่น เหมือนกับว่า คนสุภาพถ่อมตนจะรับการการยกย่องมากกว่า
ในครอบครัว.. หากครอบครัวไหนที่มีคุณธรรมแห่งความสุภาพถ่อมตน ครอบครัวนั้นย่อมมีแต่ความสุข..วันนี้ ความสุภาพถ่อมตนในครอบครัว ที่อยากจะนำเสนอก็คือ “การฟังกันและกัน”  การรู้จักเงียบเพื่อจะฟังเสียง ฟังคำพูดของกันและกัน สามี และภรรยา ควรจะรู้จักฟังกันมากขึ้น ภรรยาก็ควรที่จะฟังสามีพูดบ้าง ไม่ใช่พูดถูกอยู่คนเดียว แต่เราจะต้องฟังเสียงของสามีเราบ้าง เพื่อจะได้เข้าใจกัน
“ฟังด้วยใจสุภาพถ่อมตน” ไม่ใช่ฟังเพื่อหาข้อโต้แย้ง หรือ หาข้อผิดพลาด ลูก ๆ ก็ควรจะฟังพ่อแม่บอกเตือนและสอน และพ่อแม่ก็ควรจะฟังเสียงของลูก ๆ บ้าง เพื่อจะได้เข้าใจกันและกันมากยิ่งขึ้น
ดังนี้แล้ว ครอบครัวของเราก็จะมีแต่ความสุข... เพราะ การฟังกันและกัน ด้วยใจสุภาพถ่อมตน นำมาซึ่งความสุขสำหรับทุกครอบครัวเสมอ..

  

เสาร์ 21 ธรรมดา ปี C

บทเทศน์

มธ 25:14-30

อาณาจักรสวรรค์ เหมือนกับบุรุษผู้หนึ่ง มอบเงินให้คนรับใช้ 3 คน คนแรก 5 ตะลันต์ คนสอง 2 ตะลันต์ คนสาม 1 ตะลันต์ แล้วออกเดินทางไกล

พระเจ้าพระองค์ทรงมอบความไว้วางใจให้แก่เรามนุษย์ซึ่งเป็นบุตรของพระองค์
ด้วยพระหรรษทาน พระพร และความสามารถพิเศษต่าง ๆ มากมายที่แตกต่างกัน

เราสังเกตว่า พระเจ้าทรงรักเราเท่าเทียมกัน แต่แตกต่างกัน
เราสังเกตว่า พ่อแม่รักเราเท่าเทียมกัน แต่แตกต่างกัน

ความเท่าเทียม และความแตกต่าง ไม่ได้ทำให้ผลทีเกิดขึ้นแตกต่างกัน
ความเท่าเทียมและความแตกต่าง จะต้องนำไปสู่ผลที่เกิดขึ้นอย่างเท่ากันในความแตกต่าง

ชายคนที่ได้ 5 ตะลันต์ และคนที่ได้รับ 2 ตะลันต์ มีความแตกต่าง ไม่เท่ากันในลักษณะของจำนวน หรือ ปริมาณ แต่ผลที่ได้ แม้จะมีปริมาณแตกต่างกัน แต่มีลักษณะของความเท่ากัน
คือ ได้กำไร 1 เท่า เท่ากัน

"ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดี และซื่อสัตย์"

ไม่ใช่จำนวน แต่ อยู่ที่การกระทำให้เกิดผล  การกระทำให้เกิดผล เป็นเครื่องมือวัดความซื่อสัตย์

ส่วนคนที่ไม่ทำให้เกิดประโยชน์

"เลวและเกียจคร้าน"  เป็นสิ่งทีทำลายความไว้วางใจของผู้เป็นนาย
เพราะการไม่บังเกิดผล ไม่ใช่เพราะสิ่งที่ได้รับไม่เกิดผล แต่ไม่เกิดผล เพราะ
คนคนนั้น ไม่ทำให้กิดผล เก็บไว้กับตัวเอง ไม่ทำสิ่งใด..

ความรักที่พระเจ้าให้แก่เรา เท่ากัน แต่ แตกต่างกัน
เพราะแต่ละคนมีเอกลักษณ์และลักษณะที่แตกต่างกัน
บางคนได้รับมาก ก็เป็นประโยชน์มาก
บางคนได้รับมาก ก็ใช้ในทางที่ิผิด
บางคนได้รับน้อย ก็ทำเต็มที ดีกว่าได้รับมากเสียอีก

การได้รับพระหรรษทาน และพระพรของพระเจ้า หรือความสามารถพิเศษ
ที่แตกต่างกัน มีเพียงจุดประสงค์เดียว คือ

การช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน

คนที่ได้รับมา มีพรสวรรค์มาก ก็ต้องช่วยคนที่มีน้อย
คนที่มีน้อย แต่มีความสามารถอย่างอื่น ก็ต้องช่วยเหลือคนอื่นที่ไม่มีเหมือนเรา

นี่แหละคือ การช่วยเหลือ การพึ่งพิงกันและกัน


วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

จันทร์ 21 ธรรมดา ปี c


บทเทศน์

วิบัติ..ธรรมาจารย์และฟาริสี
   หน้าซื่อใจคด


    ท่านปิดประตูอาณาจักรสวรรค์
      (ในความเป็นจริงแล้ว ประตูอาณาจักรสวรรค์ พระเจ้าทรงเปิดไว้เสมอสำหรับเรามนุษย์
เพราะว่าความรอดพ้นเป็นของพระองค์ ที่ประทานให้แก่มนุษย์  แต่หลายครั้ง มนุษย์เองที่
ปิดประตูชีวิต หรือ หัวใจของตนเอง ไม่ยอมที่จะเข้าไปสู่อาณาจักรของพระองค์
ซ้ำร้ายกว่านั้น  บรรดาผู้นำ ปิดประตู ไม่ยอมให้คนอื่นเข้าไปอีก...)


   ท่านทำให้คนสมควรตกนรกมากกว่าสองเท่า
      (ในความเป็นจริง อาจารย์ จะต้องนำทางศิษย์ไปสู่เป้าหมายที่ถูกต้อง และเป้าหมายของ
ศิษย์ก็คือ เมืองสวรรค์ แต่คนที่เห็นแบบอย่างของฟาริสี และธรรมาจารย์แล้ว ก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจ
ในความชั่ว ด้วยการกระทำให้หนักกว่าเสียอีก...)


   ท่านผู้นำทางที่ตาบอด
     (ในความเป็นจริง คนที่มองไม่เห็น ก็ไม่สามารถที่จะชี้หนทางให้แก่คนอื่นได้  คนที่ตาบอดจะนำ
ทางคนตาดีได้อย่างไร?  ชาวฟาริสี และธรรมาจารย์ไม่รู้จักพระเจ้า จะชี้บอกให้คนอื่นไปถูกทางได้
อย่างไร?  พวกเขาบอกก็หลงทาง พวกเขาบอกก็ผิดทาง.. คนตาบอดจะนำทางคนตาบอดด้วยกัน
ได้หรือ??


ผู้นำที่ไม่ฟังพระวาจาของพระเจ้า ก็กลายเป็นผู้นำที่้ล้มเหลว และกลายเป็นผู้นำจอมปลอมเท่านั้น
ผู้นำที่ปิดหู ปิดตา ปิดใจของตนเอง เขาก็จะกลายเป็นแบบอย่างอันเลวร้ายให้กับคนอื่น
และจะนำทางคนอื่นไปสู่ความหายนะ...

พระเยซูเจ้าสอนว่า พระองค์ทรงเป็นหนทาง  ความจริง และชีวิต
พระองค์ทรงเป็นประตู..ที่นำไปสู่ความรอดพ้น...




วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วันผู้ปกครอง 2013

วัน เสาร์ ที่่ 17  สิงหาคม 2013
วันพบปะผู้ปกครองสามเณรประจำปีการศึกษา 2556
ณ บ้านเณรฟาติมา ท่าแร่
เริ่ม 09.30 น.

“กระแสเรียก และการมีส่วนร่วมของครอบครัว”

ความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า “กระแสเรียก”

หลายคนเข้าใจว่า กระแสเรียก คือ พระสงฆ์ นักบวช ซิสเตอร์ มาเซอร์ เท่านั้น ส่วนฉันไม่ได้เป็น ก็ไม่มีกระแสเรียก  เป็นความเข้าใจผิด เพราะว่า เราทุกคนมีกระแสเรียกเดียวกันคือ การมุ่งสู่ความครบครันตามฐานะและบทบาทของตนเอง เป็นการตอบสนองพระประสงค์ของพระเจ้า เป็นการทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จไปในชีวิตนั่นเอง

ดังนั้น กระแสเรียก คือ การดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า

กระแสเรียกมี 2 ส่วนเสมอ คือ การเรียก และ การตอบรับ และพระเจ้าจะเป็นผู้เริ่มต้น เรียก  และมนุษย์ก็ตอบรับ เราคริสตชนจึงมีหน้าที่ในการแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้า ในชีวิตประจำวันของเรา  ในแต่ละสถานการณ์ของชีวิต ว่า เวลานี้ วันนี้ พระองค์ต้องการบอกอะไร? หรือจะให้เราทำอะไร?

ความสำคัญของครอบครัวต่อกระแสเรียก
พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 ทรงย้ำว่า ครอบครัวคือเนื้อดินที่อุดมสมบูรณ์ในการบ่มเพาะกระแสเรียก การเป็นพระสงฆ์และนักบวช
พร้อมกันนี้ทรงยก น.มอนิกา เป็นแม่ตัวอย่าง เนื่องจากท่านสามารถช่วยนักบุญออกัสตินกลับใจและตระหนักถึงเสียงเรียกในการติดตามพระเยซูคริสตเจ้า
พระสันตะปาปา ตรัสว่า  “เมื่อสามีและภรรยาอุทิศตนอย่างจริงจังให้การอบรม ชี้แนะ และนำทางลูก ๆ ให้ค้นพบแผนการแห่งความรักของพระเจ้า มันเท่ากับว่า พวกเขา (พ่อแม่) ได้เตรียมดินที่อุดมสมบูรณ์ในจิตใจ ซึ่งได้แก่ กระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์ และนักบวชให้ลูก ๆ แล้ว สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดและการเติบโตทางความคิดอย่างเต็มที่ในชีวิตสมรส ซึ่งทั้งหมดได้เริ่มต้นขึ้นด้วยบ่อเกิดแห่งความรักในพระพระคริสตเจ้า”

การส่งเสริมกระแสเรียก  (เอกสาร สังคายนาวาติกันที่ 2  Optatam totius)

เป็นหน้าที่ของชุมชนคริสตชนทั้งมวล ซึ่งก่อนอื่นหมดต้องเริ่มด้วยการดำเนินชีวิตคริสตชนแท้จริง 
ครอบครัว ที่เปี่ยมด้วยจิตตารมณ์ความเชื่อ ความรัก และความเลื่อมใสศรัทธา ครอบครัวจึงเป็นเสมือนสามเณราลัยแห่งแรก

บ้านเณร

บ้านเณร คือ หัวใจของมิสซัง

บ้านเณรคือ สถาบันที่จัดตั้งขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายให้การฝึกอบรมเยาวชนชาย ที่จบม.6 ขึ้นไป มีคุณสมบัติเหมาะสม และมีแนวโน้มอยากเป็นพระสงฆ์ในอนาคต

บ้านเณรจึง มุ่งอบรมให้พวกเขาได้เห็นกระแสเรียกของตนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และพร้อมที่จะตอบสนองกระแสเรียกดังกล่าว เพื่อบรรลุเป้าหมาย การเป็นพระสงฆ์


·       การอบรมในบ้านเณร

ด้านวุฒิภาวะความเป็นคน
                              ความรับผิดชอบ  มีวินัยในตนเอง  มีความซื่อสัตย์ จริงใจ มีความสมดุลในชีวิต

ด้านชีวิตจิต
                              เห็นคุณค่าในชีวิตของพระเยซูเจ้า (แบบอย่าง)

ด้านสติปัญญา
                              รู้จักคิดอย่างมีเหตุผล และตัดสินใจที่ถูกต้อง มีความสามารถที่จะเรียนวิชาพระศาสนจักรขั้นสูง

ด้านการอภิบาลและแพร่ธรรม
                            เข้าใจจิตตารมณ์ของการเป็นผู้อภิบาลและแพร่ธรรม (การเป็นตัวอย่างแก่เด็กนักเรียน)

การดำเนินชีวิตตามคุณค่าพระวรสาร

ความยากจน        รู้จัก มัธยัสถ์ อดออม และเพียงพอ ไม่เก็บเงิน ไม่กินของนอกเวลา

ความบริสุทธิ์       รู้จักรักนวลสงวนตัว รักให้เป็น        ไม่ให้มีโทรศัพท์ ไม่ให้เล่น facebook

ความนบนอบเชื่อฟัง  การยอมทุกอย่างด้วยใจอิสระ   การถือตามระเบียบ และข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด

การมีส่วนร่วมของครอบครัว
1.   การเป็นแบบอย่างให้แก่บรรดาลูก ๆ สามเณร ในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะในเรื่องการเข้าวัดเข้าวา การสวดภาวนร่วมกันในครอบครัว

2.  การอบรม บอกเตือนในพฤติกรรมทางศีลธรรม จริยธรรม และศาสนา






ตารางเวลา
วันผู้ปกครอง
“กระแสเรียก และการมีส่วนร่วมของครอบครัว”
17 สิงหาคม 2013

09.00 น.                      ลงทะเบียน
09.30 น.                      รวมกันที่โรงพละ/ภาวนาเปิด
09.40 น.                      วาระคุณพ่อวิโรจน์ โพธิ์สว่าง (อธิการ)
10.10 น.                      วาระคุณพ่อจีระศักดิ์  อุ่นหล้า (ระเบียบวินัย)
10.30 น.                      วาระคุณพ่อทินกร  เหลือหลาย (การเงิน)
10.50 น.                      อธิการกล่าวสรุป
11.00 น.                      สนทนา ถาม-ตอบข้อสงสัย
11.30 น.                      กิจกรรม “ลูก ๆ กราบเท้าคุณแม่”
13.00 น.                      รับประทานอาหารเที่ยง ร่วมกัน
                                    กลับบ้าน



วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ครบรอบแต่งงาน 2013

บทเทศน์

ครบรอบแต่งงาน

การแต่งงานเป็นเหมือนกับการเดินทาง

เมื่อเริ่มต้นที่จะออกเดินทางไปสู่เป้าหมายของการสร้างครอบครัว  แน่นอนว่า จำเป็นที่แต่ละคนจะต้องแสวงหา คนที่จะมาร่วมเดินทางไปกับเรา เราจะต้องมองหา และเลือกคนที่จะเดินไปกับเรา โดยมีเป้าหมายอันเดียวกัน  เครื่องมือที่เราใช้ในการเลือกก็คือ ความรัก  ความรักที่เรามีต่อบุคคลหนึ่ง หรือ ความรักที่เราถูกรักจากบุคคลหนึ่ง เรามักจะได้ยินว่า รักคนที่เรารัก หรือ รักคนที่รักเราดีกว่า เป็นต้น จะอย่างไรก็ตาม ความรักก็เป็นพื้นฐานของการเลือกผู้ที่จะร่วมเดินทางไปกับเรา
เมื่อได้คนที่ร่วมเดินทาง ได้เพื่อนที่รู้ใจ ได้คนที่มาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเราแล้ว เราก็ต้องออกเดินทาง คือ การแต่งงาน ในการแต่งงาน เรามีเป้าหมายร่วมกันคือ การสร้างครอบครัว  สร้างครอบครัวที่มาจากความรัก ความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างเรากับคู่ชีวิตของเรา

เมื่อเป้าหมายชัดเจน และร่วมกันแล้ว เราก็ออกเดินทางร่วมกัน การใช้ชีวิตรวมกัน ความสุข และความทุกข์ การดำเนินชีวิตเพื่อที่จะสร้างครอบครัวที่อบอุ่น การสร้างครอบครัวที่น่ารัก การมีบุตร ซึ่งเป็นเหมือนของขวัญที่พระเจ้ามอบให้แก่เรา เมื่อมีบุตร ชายและหญิงก็เปลี่ยนสถานะเป็น พ่อ และ แม่ ซึ่งเป้าหมายเหมือนเดิม แต่สถานภาพเปลี่ยนไป

การเลี้ยงดูบุตร เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะขาดไม่ได้ของผู้ที่เป็นพ่อและแม่ การเอาใจใส่ต่อบุตรเป็นเรื่องของความรักล้วน ๆ ไม่มีสิ่งใดเจือปน  พ่อแม่ต้องเหน็ดเหนื่อยและทำงานอย่างหนักเพื่อลูก เพื่อสร้างครอบครัวของตนเองให้แข็งแรงและมั่นคง

การอยู่ด้วยกันของคู่แต่งงาน จากปี ถึงปี ปีแล้วปีเล่า ระยะเวลาเป็นการพิสูจน์ความรักอย่างแท้จริง ระยะเวลาเป็นการพิสูจน์ความจริงแท้ของชีวิตคู่อย่างแท้จริง อุปสรรคทั้งส่วนตัวและส่วนครอบครัวไม่สามารถทำลายความสัมพันธ์และความรักของกันและกันได้ ถือว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์และแท้จริง

การอยู่ด้วยกันจนถึง 55 ปี ไม่ธรรมดา...

สิ่งที่ทำให้เราอยู่ด้วยกันได้ยืนนานจนถึงทุกวันนี้.. คือ พระหรรษทานของพระเจ้า ที่พระองค์ประทานชีวิตให้แก่เรา พระองค์ทรงอวยพรชีวิตของเรา

การตายต่อตัวเอง เพื่อให้ชีวิตใหม่เกิดขึ้นในชีวิตคู่ของเรา เหมือนกับเมล็ดพืชที่ต้องเปื่อยและสลายไป เพื่อให้มีความดีงาม และสิ่งใหม่เกิดขึ้น  สามี-ภรรยา หรือ บิดา-มารดา ต้องตายต่อตัวเองนับครั้งไม่ได้ เพื่อทำให้ความดีในครอบครัวงอกขึ้น เติบโตขึ้น

การแต่งงาน เป็นพระพรของพระเจ้าอย่างแท้จริง...


จากหนังสือ 108 ร้อยแปด 1009 พันเก้า เขียนโดย ศจ.มาโนช แจ้งมุข
  


พวกฝรั่งเขามีการนับ "ปีครบรอบวันแต่งงาน" ไว้อย่างน่าคิดมาก ตั้งแต่ครบรอบวันแต่งงานปีแรก ไปจนถึงวันครบรอบแต่งงานปีที่ 60 ดังต่อไปนี้

ครบรอบ 1 ปี เรียกว่า "ปีกระดาษ" ที่ใช้กระดาษเป็นสัญลักษณ์อาจจะเพราะว่า เพิ่งเริ่มต้นไม่นาน ยังไม่ค่อยมองเห็นคุณค่าของการสมรสมากนัก ยังบอบบางอยู่มาก

ครอบรอบ 2 ปี เรียกว่า "ปีฝ้าย" ฝ้ายเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งออกฝักมาเป็นปุยขาวนวล น้ำหนักเบา การสมรสมาถึงช่วงนี้ไม่มากนัก เป็นช่วงที่สามีภรรยาจะเรียนรู้จักนิสัยใจคอของกันและกัน

ครบรอบ 3 ปี เรียกว่า "ปีหนัง" หนังเป็นส่วนห่อหุ้มร่างกายสัตว์ ที่นำมาฟอกแล้วประดิษฐเป็นเครื่องใช้ เช่น กระเป๋า รองเท้า เสื้อคลุม มีลักษณะทนทาน เมื่อการแต่งงานมาถึงรอบปีที่ 3 แล้ว ก็นับว่าผ่านการผจญในครอบครัวมาพอสมควร ชีวิตเริ่มมองเห็นคุณค่าและความคงทน

ครบรอบ 4 ปี เรียกว่า "ปีผลไม้และดอกไม้" ผลไม้มีรสหวาน ทุกคนชอบรับประทานส่วนดอกไม้มีสีสวยและกลิ่นหอม ปีที่สี่แห่งการแต่งงานมักจะหวานชื่นและสวยงาม สามารถที่จะปรับตัวเข้ากันได้ดีขึ้น

ครบรอบ 5 ปี เรียกว่า "ปีไม้" ไม้เป็นพืชที่งอกขึ้นจากดิน มีลำต้น เนื้อแข็ง มีกิ่งก้านสาขา ปีนี้รากฐานแห่งการสมรสมั่นคงขึ้น เริ่มมีลูกหลายคน

ครบรอบ 6 ปี เรียกว่า "ปีน้ำตาลและขนม" น้ำตาลเป็นวัตถุที่มีรสหวาน ได้จากตาลอ้อยและมะพร้าว ส่วนขนม คือ ของกินที่ไม่ใช่กับข้าว ปรุงด้วยกะทิ หรือน้ำตาลเป็นของหวาน คู่แต่งงานปีนี้มีความรักกันอย่างหวานชื่น มีความเข้าใจกันมากกว่าปีที่ผ่านๆมา และนับวันความรัก จะเพิ่มพูนทวีขึ้น ดังที่พระคัมภีร์กล่าวว่า "สามีจงรักภรรยาของตน"

ครบรอบ 7 ปี เรียกว่า "ปีขนแกะ" ขนแกะเอามาทอเป็นเครื่องนุ่งห่ม ให้มีความอบอุ่นมากกว่าอย่างอื่น ปีนี้เป็นปีแห่งการเอาใจใส่ซึ่งกันและกันในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจและด้านจิตวิญญาณ เลข 7 ในพระคัมภีร์ถือว่า เป็นเลข "ครบบริบูรณ์" ปีนี้ทุกอย่างจึงอุดมสมบูรณ์ด้วย

ครบรอบ 8 ปี เรียกว่า "ปีเกลือ" เกลือเป็นธาตุผสมมีรสเค็มใช้ประกอบอาหารและป้องกันการเน่าเสีย คู่แต่งงานเมื่อมาถึงปีนี้จะรักษาซึ่งกันและกัน ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ต่อคริสตจักร ต่อเพื่อนบ้านและสังคม ดังที่พระเยซูคริสต์ตรัสว่า "ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งแผ่นดินโลก" และในความสัมพันธ์กับคนอื่น พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณ ปรุงด้วยเกลือที่มีรสเพื่อท่านจะได้รู้จักตอบให้จุใจแก่ทุกคน"

ครบรอบ 9 ปี เรียกว่า "ปีทองแดง" ทองแดงเป็นธาตุชนิดหนึ่งเป็นโลหะสีแดง บุแล้วรีดได้ง่ายเป็นตัวนำไฟฟ้าได้ดี และมีราคาไม่แพง จะเห็นได้ว่า ชวิตแห่งการสมรสเริ่มมีคุณค่ามากขึ้นจากการเป็นไม้ กลายเป็นโลหะ แต่ละฝ่ายเป็นสื่อแห่งพระคุณและความรักของพระเจ้า ที่หลั่งไหลสู่กันและกัน และยังไหลบ่าไปสู่คนอื่นๆด้วย

ครบรอบ 10 ปี เรียกว่า "ปีดีบุก" ดีบุกเป็นโลหะสีขาวมีประโยชน์มาก ใช้ทำฝาครอบเครื่องยนต์ หุ้มกล่องสบู่ ภาชนะหุงต้ม ทำกระป๋อง ในปีที่สิบนีชีวิตการแต่งงานมีประโยชน์มากขึ้น สายตาของเขาทั้งสองจะไม่มองเพียงแคบๆ เฉพาะในครอบครัวของตนเองเท่านั้น แต่จะตระหนักถึงผู้อื่นและยอมถวายตัวที่จะรับใช้พระองค์อย่างเต็มความสามารถ

ครบรอบ 11 ปี เรียกว่า "ปีเหล็กกล้า" เหล็กกล้าเป็นโลหะที่แข็งมาก ใช้ทำเครื่องมือต่างๆเหนียวมีความทนทาน การสมรสเมื่อมาถึงปีที่ 11 ความรักที่มีต่อกันจะแนบแน่นแข็งแรงในด้านความเชื่อ ความศรัทธาต่อพระเจ้า เป็นผู้นำครอบครัวที่ดี ฝึกฝนลูกๆในทางพระเยซูคริสต์ และนำคนอื่นมาพบกับความรอด

ครบรอบ 12 ปี เรียกว่า "ปีผ้าลินินและผ้าไหม" ผ้าไหมเป็นมันอ่อนนุ่ม สวยงามมีราคาแพง ส่วนผ้าลินินเป็นผ้าที่ได้จากต้นปอแฟลกทำเสื้อผ้า ชีวิตการแต่งงานที่สวยงามครบ 1 รอพอดี อ่อนหวานและมีคุณค่ายิ่งนัก คู่สมรสจะเข้าใจถึงความสูงส่งของสถาบันครอบครัวว่า "จงให้การสมรสเป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง"

ครบรอบ 13 ปี เรียกว่า "ปีลูกไม้" เป็นการขลิบระบายน่ารัก กระจุ๋มกระจิ๋มให้ความหมายต่อการแต่งงานมาก 

ครบรอบ 14 ปี เรียกว่า "ปีงา" ตามบ้านของผู้มีอันจะกิน เขาจะประดับด้วยงาช้างถือว่ามีคุณค่า ราคาแพงและหายากยิ่ง สง่างามและน่าเกรงขามด้วยเมื่อมีการแต่งงานผ่านมาถึงปีนี้ชีวิตคู่ดูเหมือนมีการประดับประดาด้วยสิ่งที่มีค่าราคาแพงและหายากยิ่ง

ครบรอบ 15 ปี เรียกว่า "ปีแก้วมณี" เป็นรัตนชาติที่มีรูปลักษณืหลากหลาย เป็นลูกแก้ว เป็นผลึก ใสสวยงาม การสมรสที่ดำเนินมาถึงปีที่สิบห้านี้ เปรียบประดุจอัญมณีมีค่า ชีวิตของเขาจะส่องแสงเป็นประกายสวยงามยิ่งนัก

ครบรอบ 20 ปี เรียกว่า "ปีไชน่า"

ครบรอบ 25 ปี เรียกว่า "ปีเงิน" เงินเป็นแร่สีขาวเนื้ออ่อนเงาวาว เรียกว่า สีเงิน ยิ่งขัดก็ยิ่งเงางาม คู่สมรสเมื่ออยู่ด้วยกันจนมาถึงป่านนี้แล้ว ได้ขัดเกลาซึ่งกันและกัน ทั้งทางด้านนิสัย ทัศนคติ รสนิยม จนหล่อหลอมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ครบรอบ 30 ปี เรียกว่า "ปีไข่มุก" ซึ่งได้มาจากหอยนางรมชนิดหนึ่ง เป็นของหายาก มีค่า กว่าจะเกิดเปนไข่มุกในตัวหอยได้ มันจะต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัส เรียกว่า "ความสวยงามที่เกิดจากความเจ็บปวด" ปีไข่มุกแห่งการแต่งงาน จึงแสดงให้เห็นถึงความสวยงามของชีวิตที่ผ่านความทุกข์ยากลำบาก

ครบรอบ 35 ปี เรียกว่า "ปีปะการัง" ปะการังเป็นหินที่เกิดใต้น้ำ บางอย่างเคลื่อนไหวได้อย่างสวยงาม นำเอามาประดับห้องรับแขกได้

ครบรอบ 40 ปี เรียกว่า "ปีทับทิม" ทับทิมเป็นพลอยชนิดหนึ่งสีแดง บางทีก็เรียกว่า แสงแดง เป็นเครื่องประดับที่สวยงามที่คอที่หู หรือที่นิ้วมือ

ครบรอบ 45 ปี เรียกว่า "ปีนิล" หรือบุษราคัม หรือเป็นสีเขียวขาบและสีเขียวแก่

ครบรอบ 50 ปี เรียกว่า "ปีทอง" ทองเป็นโลหะสีเหลืองทองบริสุทธิ์ เรียกว่า ทอง 24 กะรัต มีคุณสมบัติคือ คงทนต่อสภาพแวดล้อม ไม่เกิดสนิม มีค่าสูง มีราคาแพง ยากแก่การปลอมแปลง และมีค่าลงตัวเมื่อแบ่งแยก ปีที่ 50 เป็นปีที่คู่สมรสได้เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเกือบจะถึงบั้นปลายของชีวิตแล้ว ช่วงนี้สภาพแวดล้อมไม่มีอิทธิพลต่อเขาได้เลย เขาจะยืนหยัดอยู่อย่างมั่นคง เป็นร่มของพวกลูกๆหลานๆ

ครบรอบ 55 ปี เรียกว่า "ปีมรกต" ชาวกรีกโบราณเรียก มรกตว่า "หินดาวกระพริบ" มรกตเกิดขึ้นยากมาก ปกติจะพบในหินไมกาซิสต์ที่มีเปกมาไตท์เวนตัดผ่านหินดังกล่าว มรกตที่เจียระไนแล้ววาววับ มีแสงสีเขียวแผ่ออกมาเรืองตา คู่สามีที่อยู่กินด้วยกันจนลุล่าง 55 ปีนั้นมีไม่มากคู่นัก ชีวิตเขาจึงมีค่า

ครบรอบ 60 ปี เรียกว่า "ปีเพชร" เพชรบริสุทธิ์เป็นสารโปร่งตาไม่มีสี เพชรกระจายแสงได้มาก แสงเอ็กซเรย์ผ่านได้ เพชรเป็นสารที่แข็งที่สุดในโลก ทนทานต่อสารเคมีเกือบทุกชนิดใช้ทำเครื่องมือที่มีความละเอียดอ่อนและเที่ยงตรง และใช้ทำเครื่องประดับที่มีราคาแพง ซึ่งเป็นการสมควรแล้ว ที่จะยกให้คู่สมรสที่อยู่กินกันมาครบ 60 ปี เป็น "เพชร" ชีวิตการแต่งงานของเขาแข็งแรง ทนทาน ยาวนาน และมีค่ามากที่สุด


วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

พฤหัสบดี 18 ธรรมดา ปี c


"ถอยไปข้างหลัง..เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดตามประสามนุษย์"

                                                                                                                   มธ. 16:13-23

เมื่อใดก็ตามที่เราคิดตามความคิดของเรา
เมื่อนั้น เราก็ขวางทางของพระเจ้า

มนุษย์มักจะคิดถึงโลก คิดถึงสิ่งที่อยู่ในโลก ตามความคิดของตนเอง
ทั้ง ๆ ที่โลกไม่ใช่ของตนเอง
ทั้ง ๆ ที่โลกเป็นเพียงแค่ทางผ่าน

มนุษย์คิดที่จะเป็นเจ้าของของโลกนี้
ต้องการจะครอบครองทุกสิ่งในโลกนี้
ต้องการที่จะพำนักในโลกนี้
ทั้ง ๆ ที่ โลกนี้ไม่คงอยู่ตลอดไป
ทั้ง ๆ ที่ ชีวิตของมนุษย์ไม่ได้ยืนยาวตลอดไป

หากมนุษย์คิดอย่างที่พระเจ้าคิด
โลกเป็นเส้นทางที่มนุษย์กำลังเดิน และพัฒนาตนเอง
เพื่อจะเติบโตในความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์

โลกเป็นสถานที่บ่มเพาะความรักของพระเจ้าที่มีต่อกันและกัน
เป็นที่ที่เราจะต้องฝึกฝนตนเอง
เป็นที่ที่เราจะต้องสะสมความดีงามให้กับตนเอง

เพื่อจะได้รับอาณาจักรสวรรค์

นักบุญเปโตร คิดอย่างที่พระเจ้าคิด
"พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต"

นักบุญเปโตร คิดตามประสามนุษย์
"พระเจ้าข้า เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นกับพระองค์อย่างแน่นอน"

นักบุญเปโตรติดตามพระเยซูเจ้า เมื่อท่านคิดอย่างที่พระเจ้าคิด
แต่ นักบุญเปโตร ขัดขวางทางของพระเจ้า เมื่อท่านคิดตามประสามนุษย์

ดังนั้น เมื่อเราคิดไม่เหมือนกับพระเจ้า เราก็ขวางทางของพระองค์

พระเยซูเจ้าสอนให้เรารักกันและกัน  ถ้าเราเกลียดชังกัน
เท่ากับว่า เรากำลังเดินนำหน้าพระองค์
เราไม่ได้ติดตามพระองค์

พระเยซูเจ้าสอนให้เราแบ่งปัน
หากเรามักจะโกงกัน โกงเงิน หรือเห็นแก่ตัว
เราก็กำลังขวางทางของพระองค์

"ถ้าเราคิด และมองเหมือนกับที่พระเจ้าทรงคิด และมอง เราจะเห็นโลก
และเพื่อนพี่น้องในสายตาแบบใหม่"

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อาทิตย์ ที่ 18 เทศกาลธรรมดา ปี c


บทเทศน์

ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับทรัพย์สมบัติในโลก

พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงระวังและรักษาตัวไว้ให้พ้นจากความโลภทุกชนิด” ความโลภ คือ ความอยากได้ มันอยู่ในจิตใจของมนุษย์ มันเป็นสัญชาตญาณแห่งการพัฒนาและเติบโตของสิ่งมีชีวิต  มนุษย์ทุกคนเมื่อเกิดมา มนุษย์ก็อยากจะมีหลายสิ่งหลายอย่างด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะสิ่งที่นำความสุขมาสู่ชีวิต ในเวลานี้.. ปัญหาสำหรับมนุษย์ในทุกวันนี้ก็คือ ความเป็น กับความมีไม่สมดุล หรือเท่าเทียมกัน นั่นหมายความว่า เมื่อเราเป็นบุตรของพระเจ้า เราก็เป็นคนของพระเจ้า และคนของพระเจ้าก็ต้องเป็นคนดี  ปัญหาคือ เรามีหลายสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับการเป็นของเรา เรามีหลายอย่างที่มากเกินกว่าความเป็นของเรา เช่น เราแสวงหาการมีเงิน มีทอง มีความร่ำรวย มากกว่า การแสวงหา หรือ การประกอบกิจการที่ดีงาม เราแสวงหาชื่อเสียง เกียรติยศ ความมีหน้ามีตา จากความร่ำรวย มากกว่า การแสวงหาชื่อเสียงในการเป็นคริสตชนที่ดี ที่มีความเชื่อ
พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงระวังและรักษาตัว ให้พ้นจากความโลภทุกชนิด” การมีความอยากได้ อยากมี นั่นดีไหม?  ดี เพราะเป็นเหมือนแรงขับเพื่อให้มนุษย์ก้าวหน้า แต่สิ่งที่พระเยซูเจ้าบอกกับเราก็คือ “จงระวัง และอยู่ห่างไกลจากมัน” นั่นคือ เราไม่สามารถควบคุมความโลภ ในจิตใจของเรา ในทุกช่วงเวลาของชีวิตของเรา  วันนี้ เราอาจจะควบคุมได้ แต่ในเวลาอื่น เราก็ไม่แน่ โดยเฉพาะในเรื่องของเงินทอง หรือ ทรัพย์สมบัติ
มีคนบอกว่า “ถ้าทรัพย์สมบัติ เป็นเป้าหมายของความโลภแล้ว ยากที่จะถอนตัว”  พระเยซูเจ้าได้เล่าเรื่องอุปมาเพื่อสอนเราว่า “มีเศรษฐีคนหนึ่ง ร่ำรวยมาก เพราะมีที่ดินเป็นของตนเอง และที่ดินก็ให้ผลที่อุดมสมบูรณ์ จนนำความสุขมาสู่ชายคนนี้ แล้วเขาก็คิด วางแผนในอนาคต เพื่อจะได้มีความสุข”

สิ่งที่เราสังเกตเห็นก็คือ

1.       เศรษฐีคนนี้ คิดว่า การมีทรัพย์สมบัติมากมาย มีทุกอย่างที่เหลือเฟือ จะนำความสุขมาสู่ชีวิตของเขาได้
2.       เศรษฐีคนนี้มองเห็นแต่ตัวเอง  ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง มุ่งหาแต่ตัวเอง คือ เห็นแก่ตัว นั่นเอง
3.       เศรษฐีคนนี้มั่นใจในตัวเองว่า ตนเองจะมีชีวิตในโลกนี้ตลอดไป
4.       เศรษฐีเน้น การกินดื่ม และสนุกสนาน ในโลกนี้

พระเยซูเจ้าสอนอะไรแก่เรา

1.       “จงคิดถึงชีวิตนิรันดรเถิด”
2.       จงอย่ายึดติดกับทรัพย์สมบัติในโลกนี้  หรือ อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้ในโลกนี้ เพราะทรัพย์สมบัติที่มีมากมายในแผ่นดินนี้  ท่านไม่สามารถนำไปสวรรค์ได้ ไม่สามารถนำไปสู่การมีชีวิตนิรันดรกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถแลกซื้อ หรือแลกเปลี่ยนกับความสุขนิรันดรในสวรรค์ได้ 
3.       พระเยซูเจ้าไม่ได้สอนให้เราเห็นแก่ตัวเอง แต่พระองค์สอนเราให้รู้จักที่จะแบ่งปัน แบ่งปันสิ่งที่มีอยู่เพื่อคนอื่น เพื่อคนที่เดือดร้อน หรือ มีความจำเป็นมากกว่าเรา
“ท่านจงไปขายทุกสิ่งที่มี แจกจ่ายให้คนยากจน แล้วท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงตามเรามาเถิด”
“ท่านจะรับใช้พระเจ้า และเงินทองพร้อมกันไม่ได้” เขาจะรักนายคนหนึ่ง และจะเกลียดนายอีกคนหนึ่ง”
4.       พระเยซูเจ้าสอนว่า “ความตาย ไม่ได้บอกวันและเวลา” ความตายจะมาถึงเราในเวลาที่เราไม่คาดคิด ความตายไม่ถามว่า คุณร่ำรวยหรือคุณยากจน  ความตายไม่เคยไว้หน้าใคร.. สิ่งสำคัญคือ จงเตรียมพร้อมไว้ จงเตรียมตัวให้อยู่ในการเฝ้าระวังเสมอ  และการเตรียมพร้อมสำหรับเราคริสตชนก็คือ การดำเนินชีวิตในปัจจุบันอย่างดีที่สุด ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน  การถือตามพระบัญญัติ การรักษาพระบัญญัติ ในแต่ละวัน นั่นแหละคือสิ่งที่เป็นการเตรียมตัวของเรา


      ในหนังสือปัญญาจารย์ บอกว่า “ไม่เที่ยงแท้ที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยงแท้”  หรือทำนองที่ว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอนิจจัง” ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดกาล  แต่..ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามหนทางของพระเจ้า ผู้ที่รักษาตนเองไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ผู้นั่นแหละจะได้รับชีวิตนิรันดร