BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

อาทิตย์ 24 เทศกาลธรรมดา ปี C

บทเทศน์


ยินดีต้อนรับพี่น้องในพระคริสตเจ้าเข้าสู่การเฉลิมฉลองบูชาขอบพระคุณของพระเยซูเจ้า สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ 24 ในเทศกาลธรรมดา  พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้สอนเราว่า “พระเยซูเจ้าทรงเสด็จมาในโลกนี้เพื่อช่วยคนบาป” ข่าวดีนี้มาจากพระบิดาเจ้าสวรรค์ผู้ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความเตตา หรือเป็นการย้ำเตือนถึง “พระเมตตาของพระเจ้า” ที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นอย่างไร แต่พระเจ้าก็ทรงมีพระเมตตาของพระองค์อย่างไม่ขาดสาย  และอย่างไม่ลดละ และไม่มีเงื่อนไขใดใดที่จะมาลดความรักของพระองค์ได้

ในบทอ่านที่หนึ่ง เราพบว่า เมื่อโมเสสอยู่บนภูเขาซีนายกำลังสนทนากับพระเจ้า และกำลังเอาพระบัญญัติสิบประการจากพระองค์นั้น  ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรกำลังทำอะไร?  กำลังหล่อรูปวัวทองคำขึ้น เพื่อกราบนมัสการว่านี่คือพระเจ้าที่ทรงนำพวกเขาออกมาจากประเทศอียิปต์  เป็นเหมือนกับการดูหมิ่นเหยียดหยามพระเจ้าอย่างรุนแรง เพราะว่าพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพเท่านั้นที่ทรงนำเขาออกมา ไม่ใช่รูปวัวทองสัมฤทธิ์ ที่ไม่มีอำนาจอะไร

และเราก็เห็นภาพของพระเจ้า ในลักษณะของมนุษย์ พระองค์ทรงกริ้วโกรธ อย่างมาก จนถึงกับว่าอยากจะทำลายชนชาติเหล่านี้ให้สูญสิ้นไป และจะตั้งโมเสสให้เป็นบิดาของชนชาติใหญ่ เพราะใจดื้อกระด้าง และใจดื้อดึงของชาวอิสราเอล พระเจ้าจึงต้องการทำลายให้สูญไป  แต่โมเสสก็ทูลทัดทานพระเจ้า ให้ระลึกถึงพันธสัญญาที่พระองค์ทรงกระทำไว้กับบรรพบุรุษ อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ แล้วพระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนพระทัย

ถ้าพระเจ้าไม่คำนึงถึงพระสัญญาที่ให้ไว้แก่บรรพบุรุษของพวกเขา พระองค์คงจะทำลายชนชาติอิสราเอลให้สูญสิ้นไปนับแต่เวลานั้นแล้ว แต่เพราะความรัก ความเมตตา พระองค์จึงทรงให้อภัย

พระวรสาร เราเห็นได้ชัดเจนถึง “ความรัก ความเมตตา และความชื่นชมยินดี” ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ พระเจ้าทรงเปรียบการกลับใจของมนุษย์นั้นเป็นความยินดีอย่างที่เต็มเปี่ยม เป็นความยินดีอย่างแท้จริง
เรื่องแกะที่หายไป และเรื่องเหรียญที่หายไป หรือ เรื่องลูกชายคนเล็กที่หายไป มันเป็นเรื่องเศร้าที่เราจะต้องสูญเสียสิ่งที่เรารักไป หรือสูญเสียสิ่งที่มีค่าในชีวิตของเราไป อาจจะเสียใจ เสียดาย

เวลาที่เราทำบาป ผิดต่อพระเจ้า ก็เหมือนกับว่า เรากำลังหลงทางไป เรากำลังเดินออกนอกเส้นทางของพระเจ้าที่พระองค์ทรงวางให้กับเรา พระเจ้าทรงหวังและวางใจในเราว่า เราจะดำเนินชีวิตามหนทางของพระองค์ เพราะทางของพระองค์นำไปสู่ชีวิต และนำความปลอดภัยมาสู่เรา เมื่อเราทำบาป เท่ากับว่า เราอยู่ห่างจากพระองค์และกำลังใช้เส้นทางใหม่ ไปในที่แห่งใหม่ ที่ผิดทาง และผิดเป้าหมาย

สำหรับพระเจ้า พระองค์ทรงรอคอยการกลับมาของเราเสมอ เมื่อคนบาปคนหนึ่งกลับใจ ความยินดีก็มีมากมาย อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เหมือนกับแกะที่หลงทางไป ออกจากฝูง เมื่อคนเลี้ยงแกะตามหาจนพบแล้ว เขาก็มีความยินดี  หญิงคนหนึ่งเมื่อทำเหรียญหนึ่งหายไป นางก็หาจนพบ เมื่อพบแล้วก็มีความยินดี อย่างเต็มเปี่ยมเช่นเดียวกัน

ส่วนลูกชายคนเล็ก เมื่อหลงทางไป เผาผลาญทรัพย์สมบัติจนหมดสิ้นแล้ว เกิดความสำนึกถึงความรักของบิดา สำนึกถึงบ้านของตนเอง จึงตัดสินใจกลับบ้าน... เมื่อกลับบ้าน แน่นอนว่า สิ่งที่เขาได้พบก็คือ ความรัก ความเมตตาของบิดา ไม่เปลี่ยนแปลง  ความรักที่คงอยู่  ไม่เคยจืดจางหรือหายไปเลย

นี่แหละคือ ความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรา สิ่งของหรือสัตว์ที่หายไป ที่หลงทางไป เมื่อพบเรายังมีความยินดี และยิ่งกว่านั้น เมื่อคนหนึ่งสำนึกผิด และกลับใจ ความยินดีจะมีมากมายแค่ไหน? ความยินดีจะเต็มอิ่มในหัวใจของพระเจ้ามากแค่ไหน? 


เราผู้ซึ่งเป็นพ่อแม่ เมื่อลูกทำผิดและเข้ามาขอโทษ ด้วยความสำนึก เราก็ไม่เคยที่จะโกรธ หรือดุว่า เราผู้เป็นพ่อแม่ให้อภัยลูกได้เสมอ ไม่ว่าจะผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ตาม   ในบ้านเณรเช่นเดียวกัน ทุกคนมีความอ่อนแอและความบกพร่องในเรื่องการถือตามระเบียบวินัย แต่ใครละ?จะได้รับการอภัย หากไม่ใช่คนที่ “ยอมรับผิดด้วยใจ”  “สำนึกผิด” และ “ตั้งใจที่จะไม่ทำผิดอีก” นี่คือความยินดีของผู้ให้การอบรม 

จงกลับใจ และให้อภัยแก่กันและกัน
จงกลับใจ และรักกันและกัน
เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงรัก และให้อภัยเรา




วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

อาทิตย์ 23 ธรรมดา ปี C



บทเทศน์


ในทุกวันนี้ มันง่ายมากที่จะเป็นแฟนคลับของพระเยซูเจ้า แต่การจะเป็นผู้ติดตามของพระองค์อย่างแท้จริงนั้น
มันค่อนข้างจะยาก และท้าทายต่อชีวิตของเรา  การเป็นแฟนคลับง่าย เพราะเป็นวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็ไปแล้ว หรือเลิกแล้ว 
แต่ในการติดตามพระเยซูเจ้านั้น พระองค์ทรงเรียกร้อง “การอุทิศตน”  “การเสียสละตนเอง”

โชคไม่ดีสำหรับพระศาสนจักรในทุกวันนี้ เพราะพระศาสนจักรเต็มไปด้วยแฟนคลับมากกว่าที่จะเป็นแฟนตัวจริง 
หรือผู้ติดตามของพระเยซูเจ้าอย่างแท้จริง  เพราะบรรดาแฟนคลับ 
มักจะเป็นประเภทที่ฉาบฉวย ไม่จริงใจ และตามอารมณ์ของตนเอง พอใจก็ไป ไม่พอใจก็แล้วไป

การติดตามพระเยซูเจ้า พระองค์เน้น เรื่องการอุทิศตนเอง และเสียสละตนเอง ทั้งหมดแด่พระองค์  
รวมทั้งความรักที่เรามีต่อบุคคลรอบข้าง หรือแม้กระทั่งตัวเอง หากเราต้องเลือกระหว่างพระองค์ และบุคคลรอบข้าง  
พระองค์ไม่ได้สอนให้เราเกลียดชังเพื่อนพี่น้อง แต่พระองค์สอนเราให้รู้จักเลือกสิ่งที่จะต้องเป็นอันดับหนึ่งในชีวิตของเรา

พระสันตะปาปาฟรังซิส ตรัสไว้ เมื่อวานนี้ว่า “บรรดาคริสตชนต้องไม่ลืมเสมอว่า
ศูนย์กลางของชีวิตคริสตชนก็คือ พระคริสเจ้า” และพระองค์ตรัสอีกว่า 
“เราต้องเอาชนะการทดลองด้วยท่าทีที่ว่า ปราศจากพระเจ้า เราก็ดำเนินชีวิตอยู่ได้” 
มีคริสตชนหลายคนเป็นคริสตชน แต่ดำเนินชีวิตปราศจากพระคริสตเจ้า
 “ฉันจะต้องทำอย่างนั้น ฉันจะต้องได้อย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องทำนั้นเพื่ออะไร? 
สิ่งที่ตนเองทำนั้น ทำให้ตัวเองรอดไปสวรรค์หรือเปล่า? หากชีวิตคริสตชนดำเนินไป หรือทำงาน 
หรือทำสิ่งต่าง ๆ โดยปราศจากพระคริสตเจ้าสิ่งที่เราทำ นั้นก็เปล่าประโยชน์ ไม่สามารถเราให้รอดพ้นได้ 
เราทำไปเพื่ออะไร?  หากเรากระทำสิ่งใดในฐานะที่เราเป็นคริสตชน และเพื่อพระคริสตเจ้า 
แน่นอนว่า สิ่งนั้นย่อมมีความหมาย เพราะ เราทำเพื่อมุ่งไปสู่พระคริสตเจ้า
ดังนั้น ชีวิตคริสตชน จำเป็นต้องมีพระคริสตเจ้าเป็นศูนย์กลางเสมอ

พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่รักเรามากกว่าบิดามารดา ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง 
และตัวเอง เป็นศิษย์ของเราไม่ได้”  หากเราเป็นคริสตชน แต่มีเงื่อนไขเสมอในการปฏิบัติศาสนกิจ 
หรือตามคำสอนของพระองค์ ก็แสดงว่า เรายังไม่ได้เป็นศิษย์ที่แท้จริงของพระองค์ 
แต่หากเราสามารถสละตนเอง น้ำใจตนเอง สามารถสละเวลาเพื่อมาวัด สละเวลาเพื่อสวดภาวนา 
สละเวลาเพื่อทำกิจศรัทธา หรือกิจกรรมของพระศาสนจักรต่าง ๆ ได้อย่างไม่มีเงื่อนไข “บ่มีหยังคา..” 
นั่นแหละคือการเป็นคริสตชนที่แท้จริง เพราะการเป็นคริสตชนคือ การปฏิบัติคำสั่งสอนของพระองค์อย่างจริงจัง

พระสันตะปาปาฟรังซิส ได้เคยตรัสไว้ว่า เราจะต้องเป็นคริสตชนตลอดเวลา ไม่ใช่คริสตชนครึ่งเวลา 
หรือ คริสตชนบางเวลาเท่านั้น ต้องเป็นคริสตชนตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อทุกคนจะได้เห็นพระคริสตเจ้าในชีวิตของคริสตชน 
และให้เราถามตัวเองเสมอว่า “เราเป็นศิษย์ หรือติดตามพระเยซูเจ้ามาหลายปีแล้ว พระเจ้าได้ประโยชน์อะไรจากเราบ้าง? 
หรือ เราได้ทำประโยชน์อะไรให้กับพระองค์บ้าง?

“ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตนและติดตามเรา ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้” พระประสงค์ของพระบิดาเจ้า
สำหรับพระเยซูเจ้าคือ กางเขน เมื่อผ่านกางเขน ก็จะพบกับพระสิริรุ่งโรจน์ สำคัญก็คือ การแบกกางเขน 
ที่ต้องทุกข์ทรมาน แต่พระเยซูเจ้าก็ทำ เพื่อให้พระประสงค์ของพระบิดาเจ้าสำเร็จไป


เราคริสตชนเอง ก็เช่นกัน หนทางแห่งกางเขนเท่านั้นที่จะนำเราไปพบกับความรอดพ้น  
เราจะต้องแบกไม้กางเขนของเราทุกวัน และติดตามพระองค์เสมอ แบกกางเขน และสายตาก็จ้องมองพระองค์ 
เมื่อผ่านกางเขนแล้ว เราก็จะได้พบกับความสุขที่แท้จริง และความสุขนิรันดร



วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

แม่พระบังเกิด 2013




บทเทศน์ วันเกิดแม่พระ                                                   8 กันยายน 2013

เวลาที่มีการเกิด ใคร ๆ ที่อยู่ใกล้ หรือ ใคร ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกัน ย่อมมี “ความสุข” และ “ความชื่นชมยินดี” หากคนที่เกิดนั้น เป็นน้องของเรา เป็นหลานของเรา เป็นคนที่เรารู้จัก เป็นลูกของป้าของเรา เป็นลูกของน้าของเรา ความสุข ความยินดี ย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ยิ่งผู้ที่เป็นพ่อ เป็นแม่ แล้วก็ยิ่งมีความสุข มากมายหลายเท่านัก เพราะ เด็กคนหนึ่งเกิดมา คือ เนื้อและเลือดของผู้เป็นพ่อและแม่ ยิ่งกว่า นั้นคนนี้ที่เกิดมา ถือว่าเป็น “ของขวัญ” หรือ “ของประทาน” ที่พระเจ้าประทานให้แก่ครอบครัวของเรา
เมื่อเด็กคนหนึ่งเกิดมา อย่างน้อย เราก็รู้ว่า
1.   พระเจ้าทรงรักโลก และมนุษย์
2.   โลกยังมีชีวิตที่จะต้องดำเนินต่อไป
3.   ครอบครัวจะไม่ตาย มีคนสืบสกุล
วันนี้ เราฉลองเกิดของแม่พระ ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงประทานของขวัญที่สวยงามให้แก่โลก ขอบคุณนักบุญยออากิมและนักบุญอันนา ผู้เป็นบิดามารดา ที่ได้อบรมเลี้ยงดูแม่พระอย่างดี ทำให้แม่พระกลายเป็นของขวัญชิ้นสำคัญสำหรับเรา เพราะพระผู้ไถ่ หรือ พระเยซูเจ้าทรงบังเกิดจากครรภ์ของพระแม่

วันเกิดของเรา เราอย่าลืมคิดถึง พ่อ แม่ของเราผู้ให้กำเนิดเรานะ (หลายคนคิดถึงงานเลี้ยง งานฉลอง และของขวัญ ตุ๊กตาหมี ตุ๊กตาหมา)  และเวลาแม่พระเกิด เราจะคิดถึงอะไร? ให้เราคิดถึงพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่ได้ประทานแม่พระ มาให้เป็นแม่ของเรา

ทำไมเราต้องคิดถึงพระเจ้า เมื่อวันเกิดของแม่พระ ทำไมเราไม่คิดถึงนักบุญยออากิม นักบุญอันนาล่ะ เพราะท่านเป็นพ่อและแม่ของแม่พระ คำตอบก็คือ เพราะว่า แม่พระเป็นผู้ที่นำเราไปหาพระเยซูเจ้าเสมอ การมีชีวิตอยู่ของแม่พระก็เพื่อนำมนุษย์ทุกคนไปพบกับพระเยซูเจ้า ผู้ช่วยโลกให้รอด เพื่อเราจะได้รอดพ้น
หากเรารักแม่พระ เราจะต้องคิดถึงพระเจ้า พระเยซูเจ้าให้มาก ๆ  และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ การเลียนแบบการดำเนินชีวิตของแม่พระ โดยเฉพาะในเรื่องการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า นั่นคือ การเอาพระเจ้ามาเป็นที่หนึ่งในชีวิต

เมื่อทูตสวรรค์มาบอกว่าเธอจะตั้งครรภ์และเป็นแม่พระผู้ไถ่นะ แม่พระ รู้สึกแปลกใจ ประหลาดใจ วุ่นวายใจ สับสน และกลัว เพราะว่า ตนเองก็หมั้นอยู่กับโยเซฟ แล้วโยเซฟจะว่าอย่างไร? ธรรมประเพณีอีกที่จะต้องแต่งงานก่อน ถึงจะตั้งครรภ์ได้ ไม่ใช่ตั้งครรภ์ก่อนแต่งงาน ตายแน่งานนี้???

ในความยากลำบากและความสับสนนี้ แม่พระไว้วางใจในพระเจ้า แม่พระตอบต่อพระเจ้าว่า “Yes
เราก็เช่นกันนะ เมื่อมีความยากลำบากให้ตอบคำว่า “Yes” กับพระเจ้าเสมอ อย่าทิ้งพระองค์
       
เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว คุณพ่อได้อ่านเห็นการ์ตูนรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นภาษาอิตาเลี่ยน เมื่อดูแล้ว ก็ทำให้เกิดความคิดดีดีกับชีวิตของเราเหมือนกัน

        คุณพ่อเห็นตัวอักษรภาษาอิตาเลี่ยน ตัวไอและตัวโอ (IO) ตั้งอยู่ แล้วคุณพ่อก็เห็นพระสันตะปาปา ฟรังซิส กำลัง เข็ญ (กำลังกลิ้ง) ตัว ดี (D) มาไว้ข้างหน้า ตัวไอและตัวโอ (IO) ด้วยความยากลำบาก เหงื่อไหล ท่วมตัว เพื่อที่จะให้ได้ คำว่า DIO  แปลว่า พระเจ้า

เพราะสังคมมนุษย์ของเราทุกวัน มีแต่คนที่คิดถึงตัวเอง ประโยชน์ของตัวเอง ความสุขของตัวเอง จึงทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว และความอิจฉาริษยากัน ทำให้สังคมวุ่นวาย และไม่สงบสุข  พระสันตะปาปาพยายามที่จะกระตุ้นเรา ให้คิดถึงพระเจ้า ให้ติดตามพระเจ้า ให้มีพระเจ้านำทาง เพื่อเราจะได้มีความสุขในพระองค์ และทุกคนจะได้มีความสุข

แม่พระเป็นแบบอย่างแก่เราในเรื่องความวางใจในพระเจ้า ด้วยความสุภาพ ถ่อมตน “ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามวาจาของท่านเถิด” แม่พระตอบรับการเรียกของพระเจ้าเสมอ แม้แต่ในความยากลำบากของชีวิตก็ตาม

ความสุภาพและความถ่อมตน และการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า เป็นรูปแบบชีวิตของแม่พระที่เราจะต้องเลียนแบบ แล้วเราก็จะพบกับความสุข สงบ ในชีวิตของเรา

นี่คือ ชีวิตแม่ของเรา ที่เราจะต้องเลียนแบบ และเอามาเป็นรูปแบบชีวิตของเรา