BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557

อาทิตย์ สัปดาห์ที่ 2 มหาพรต


                                                                               บทเทศน์                                  
                                                                                                              วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม 2014

พี่้น้องที่เคารพรัก สัปดาห์นี้ก็เป็นสัปดาห์ที่ 2 แล้วในเทศกาลมหาพรต ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งพระพรและพระหรรษทานของพระเจ้าที่จะหลั่งไหลลงมาสู่ชวิตของเรา เพราะว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งการกลับใจ ภาวนา และทำบุญให้ทาน เพื่อเราจะได้ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระทรมานของพระเยซูเจ้า.. ผู้ทรงรักเรา..

พระวาจาของพระเจ้าในอาทิตย์นี้ อยากจะเชิญชวนพี่น้องได้คิดทบทวนชีวิตของตนเอง ในฐานะที่เราเป็นคริสตชนว่า ในการเป็นคริสตชนของเรา "เรากำลังติดตามใคร?"  เรากำลังเชื่อใคร?" เรากำลังทำอะที่สอดคล้องกับการเป็นคริสตชนของเราหรือเปล่า?

วันนี้ พระเยซูเจ้าทรงพาอัครสาวก 3 คน ขึ้นไปบนภูเขาสูง แล้วพระวรกายก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา สิ่งที่สาวกเห็นก็คือ ภาพของโมเสส และประกาศกเอลียาห์ ปรากฎมาสนทนากับพระเยซูเจ้า...
แล้วเปโตรก็ทูลพระเยซูเจ้าว่า ให้เราอยู่ที่นี่เถิด เราจะสร้างเพิงขึ้น 3 หลัง สำหรับพระเยซูเจ้า โมเสส และเอลียาห์

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในบทบาทของอัครสาวก ทั้ง 3 ได้ติดตามพระเยซูเจ้า และพระองค์ได้เปิดเผยให้พวกเขาได้เห็นถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า หรือ ในอีกไม่ช้า นั่นคือ พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า ทำให้พวกเขามีประสบการณ์ และมีความมั่นใจว่า นี่คือ สิ่งที่พวกเขาจะได้รับ ในฐานะที่เขาติดตามพระองค์

สภาพที่อัครสาวกเห็น เป็นสภาพที่เต็มไปด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า จนกระทั่งเปโตรต้องการที่จะสร้างเพิงขึ้น 3 หลัง เพราะต้องการที่จะอยู่ที่นี่อีกสักหน่อย ต้องการที่จะอยู่ในสภาพนี้ให้นาน ๆ เพราะว่ามันเป็นประสบการณ์ที่เขาได้รับจากการที่ได้ใกล้ชิดกับพระเยซูเจ้า

ในการเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน เราจะได้รับความสุข และร่วมในพระสิริรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน ให้เราวางใจได้ แต่สิ่งนี้จะได้มาอย่างง่าย ๆ ไม่ได้

เราเห็นภาพของโมเสส และภาพของประกาศกเอลียาห์ มีความหมายอย่างไร? การที่เราจะได้รับรางวัลหรือมีชีวิตในพระสิริของพระเจ้านั้น เราจะต้องทำ ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างเอาจริงเอาจัง โมเสสเป็นภาพหรือตัวแทนของบทบัญญัติของพระเจ้า ซึ่งพระบัญญัติของพระเจ้าเป็นเหมือนกับแนวทางของการดำเนินชีวิตเพื่อให้บรรลุถึงชีวิตนิรันดร

นอกจากนั้น เรายังเห็นภาพของประกาศกเอลียาห์ มีความหมายว่า จำเป็นที่เราจะต้องกระทำภารกิจแห่งการเป็นผู้ประกาศพระวาจาของพระเจ้า หรือ ข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า อย่างเต็มที่ด้วยเหมือนกัน ประกาศด้วยใจรัก และด้วยความเร่าร้อน เพื่อทำให้ตัวเองและเพื่อนพี่น้องได้เข้าใจถึงความรักของพระเจ้านับวันยิ่งมากขึ้น

ทั้งโมเสสและเอลียาห์ ได้สนทนากับพระเยซูเจ้า เราจะเห็นว่า พระบัญญัติของพระเจ้าก็ดี การประกาศข่าวดีของพระเจ้าก็ดี มีศูนย์กลางอยู่ที่ "พระเยซูเจ้า"

เป็นพระเยซูเจ้าที่ทรงเป็นศูนย์กลางของชีวิตคริสตชนของเรา ในการติดตามและการดำเนินชีวิต เพราะทุกชีวิตจะต้องมุ่งไปสู่พระองค์ เพราะทุกสิ่งมาจากพระองค์

เปโตรบอกว่า ให้เราอยู่ที่นี่เถอะ.. คือ เรามีพระบัญญัติของพระเจ้าเป็นแนวทางปฏิบัติ และเราก็ทำอย่างดีแล้ว เรามีความสุขในการประกาศพระวาจา  เราอยู่ที่นี่แหละ แค่นี้ก็พอแล้ว แค่นี้ก็คงจะได้รับรางวัลแล้วหล่ะ?

แต่สำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์ไม่ได้ติดอยู่กับสิ่งที่สาวกเห็นว่า มีความสุข
พระเยซูเจ้าเรียกพวกเขา ให้ลงจากภูเขา เพื่อมุ่่งไปสู่กรุงเยรูซาเล็ม ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า อะไรจะกิดขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มก็ตาม

และพระเยซูก็ตรัสถึงพระทรมานและกางเขนของพระองค์ รวมทั้งกลับคืนพระชนมชีพ นี่แหละคือ ชีวิตของคริสตชน.. บรรดาศิษย์ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องลงจากภูเขาที่ทำให้มีความสุขสบาย
พระเยซูเจ้าต้องการจะบอว่า ก่อนที่จะได้รับความสุข  ต้องผ่านกางเขน ต้องผ่านความทุกข์ทรมาน ต้องผ่านนะ.. ไม่ใช่หลีกเลี่ยง หรือหลบหลีกหนี

บรรดาศิษย์ได้เชื่อฟังพระเยซูเจ้า และติดตามพระองค์ไป แต่บางครั้งก็อดที่จะพูดถึงไม่ได้ แน่นอนว่าประสบการณ์ความสุข เป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำ แต่ในชีวิตจริง เราจะต้องเผชิญเพื่อให้ได้มาเพื่อความสุขก็คือ การทุ่มเท และเอาจริง เอาจัง ทำให้เต็มที่เพื่อจะได้ความสุข

หากเราไม่ติดตามพระเยซูเจ้า ความสุขที่เราได้รับ ก็แค่ "ของปลอม"  "ของโฆษณา" ที่ทำให้เรายิ้ม เพราะผลของมันหวานชื่น แต่สำหรับศิษย์ติดตามพระเยซูเจ้า เขาจะอิ่ม อิ่มอย่างแท้จริง

หากเราไม่เชื่อฟังพระเยซูเจ้า ในการถือตามพระบัญญัติ ในการทำหน้าที่ประกาศสอนแล้ว ความสุขบนโลกนี้ ก็จะเปลี่ยนและกลับกลายเป็นหนามทิ่มแทงเรา

สิ่งสำคัญ สำหรับคริสตชนก็คือ การติดตามพระเยซูเจ้า แล้วเราจะพบความสุขที่แท้จริง

วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2557

อบรมเตรียมเด็กรับศีลสง่า 2014

วันที่ 8 มีนาคม 2013
ที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟ ท่าแร่

บทนำ               ชีวิตคริสตชนกับศีลล้างบาป
เราเคยถามตัวเองไหมว่า “เราเป็นใคร?” “เราเกิดมามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?” “เรามาจากไหน?” ถ้าหากว่าคำตอบ ไม่ได้อยู่ที่ “พระเจ้า” เราคิดว่า เราจะตอบอย่างไร?  เราเป็นใคร? เราก็เป็นเรา เป็นลูกของพ่อแม่ พอจะเข้าใจได้
คำถามที่ว่า “เราเกิดมามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?” เกิด ทารก เด็ก เยาวชน หนุ่มสาว เรียน ทำงาน แต่งงาน มีลูก แล้วก็แก่ชรา แล้วก็ตาย แค่นี้หรือ??? เหมือนกับต้นหญ้า เหมือนกับบรรดาสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ไม่ผิดเลย..น่าคิด
คำถามที่ว่า “เรามาจากไหน?” ก็มาจากพ่อแม่ของเรา พ่อแม่ให้ชีวิตแก่เราจริงหรือ? ทำไมเด็กทุกวันนี้จึงไม่สำนึก และไม่รู้บุญคุณของพ่อแม่ล่ะ???  น่าคิด
แต่ถ้าหากเรารู้ความจริงว่า พ่อแม่ของเราไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของเราล่ะ? ถ้าหากว่าผู้ที่ให้ชีวิตแก่เราที่แท้จริงคือพระเจ้าล่ะ? เราคิดอย่างไร? และเป็นความจริงที่ว่า เราทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า พ่อแม่ของเราเป็นผู้ร่วมงานของพระองค์ พระเจ้ามอบเราไว้ในความดูแลและเอาใจใส่ของพ่อแม่ของเรา แต่ผู้ที่ให้ชีวิตที่แท้จริงคือ พระองค์
ในหนังสือปฐมกาล บทที่ 2 ข้อที่ 7 “พระเจ้าทรงเอาฝุ่นจากพื้นดินมาปั้นมนุษย์และทรงเป่าลมแห่งชีวิตเข้าในจมูกของเขา มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต”
แล้วคำถามที่ว่า “เราทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าใช่หรือไม่?”
ในพระคัมภีร์ มีคำตอบให้แก่เรา  คำตอบก็คือ “ใช่” และ “ไม่ใช่”
ใช่
ไม่
เราเป็นทุกเป็นบุตรของพระเจ้า
ท่านทั้งหลายเป็นบุตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน    ฉธบ 14:1
เฉพาะคนที่มีความเชื่อในพระคริสตเจ้า  เป็นบุตรของพระเจ้า
ท่านทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยอาศัยความเชื่อในพระคริสตเยซู   กท 3:26
เราทุกคนเป็นบุตรขอพระเจ้าผู้สูงสุด
ข้าพเจ้าเคยคิดว่า “ท่านทั้งหลายเป็นพระ ท่านทุกคนเป็นบุตรของพระผู้สูงสุด  สดด 82:6
เฉพาะคนที่ถูกกำหนดให้เป็นผู้เหมาะสม โดยพระเยซูคริสตเจ้า จึงเป็นบุตรของพระเจ้า
พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วที่จะให้เราเป็นบุตรบุญธรรมเดชะพระเยซูคริสตเจ้า ตามพระประสงค์ที่พอพระทัย   อฟ 1:5
เราเป็นบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต
ชาวอิสราเอลจะมีจำนวนมากเหมือนทรายในทะเล ซึ่งจะตวงหรือนับไม่ได้ และแทนที่เขาจะได้ชื่อว่าบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต  ฮชย 1:10
เฉพาะคนที่เชื่อในพระนามของพระเยซูเจ้าเท่านั้น เป็นบุตรของพระเจ้า
ผู้ใดที่ยอมรับพระองค์คือผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ประทานอำนาจให้ผู้นั้นกลายเป็นบุตรของพระเจ้า  ยน 1:12
ท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่านทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด มธ 5:48
เฉพาะบุตรแห่งพันธสัญญาที่ถูกนับไว้ในฐานะที่เป็นเชื้อสายของพระเจ้า
นั่นคือ บุตรตามธรรมชาติมิได้นับว่าเป็นบุตรของพระเจ้า แต่บุตรตามพระสัญญาเท่านั้นที่นับว่าเป็นเชื้อสาย
รม 9:8
ข้าแต่พระบิดาของเรา พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ  มธ 6:9
เฉพาะผู้ที่เกิดใหม่เป็นคริสตชนเท่านั้นเป็นบุตรของพระเจ้า
ผู้ที่ทำบาปย่อมมาจากปีศาจ เพราะปีศาจนั้นทำบาปมาตั้งแต่แรกเริ่ม  ทุกคนที่บังเกิดจากพระเจ้าย่อมไม่ทำบาป เพราะเชื้อชีวิตของพระเจ้าดำรงอยู่ในตัวเขาและเขาไม่อาจทำบาปได้ เพราะเขาบังเกิดจากพระเจ้า เราจำแนกบุตรของพระเจ้าจากบุตรของปีศาจได้โดยวิธีนี้ คือทุกคนที่ไม่ประพฤติชอบ และไม่รักพี่น้องของตนก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า 1ยน 3:8-10
พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหาพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เรากำลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปเฝ้าพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย ยน 20:17
เฉพาะผู้ที่ให้พระจิตนำทาง เป็นบุตรของพระเจ้า
ทุกคนที่มีพระจิตของพระเจ้าเป็นผู้นำ ย่อมเป็นบุตรของพระเจ้า รม 8:14
เราเป็นบุตรของพระเจ้า
เราเป็นบุตรของพระเจ้า เราจึงไม่ควรคิดว่า พระเจ้าทรงเป็นเหมือนรูปทองคำ เงินหรือหิน ซึ่งแกะสลักอย่างมีศิลปะตามจินตนาการของมนุษย์ กจ 17:29
ชาวยิวที่ไม่รักพระเยซูเจ้าย่อมเป็นบุตรของปีศาจ
ยน 8:41-44

พ่อมดแม่มด เป็นบุตรของปีศาจ
เจ้าลูกปีศาจ เจ้าเป็นศัตรูของความชอบธรรมทุกประการ เจ้ามีแต่เล่ห์กลและความหลอกลวงเต็มตัว เมื่อไรเจ้าจะเลิกบิดเบือนวิถีทางที่ถูกต้องขององค์ พระผู้เป็นเจ้าเล่า    กจ 13:8-10

ทุกคนที่เต็มไปด้วยราคะตัณหาทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นบุตรของความชั่ว  อฟ 2:3


โดยผ่านทางศีลล้างบาป เป็นการยืนยัน อย่างหนักแน่นว่า เราเป็นบุตรของพระเจ้า
โดยผ่านทางศีลล้างบาป เป็นเครื่องหมายที่บ่งชี้ว่า เรามาจากพระเจ้า
โดยผ่านทางศีลล้างบาป เป็นตราประทับใจวิญญาณของเราว่า เราจะต้องกลับไปหาพระเจ้า
โดยผ่านทางศีลล้างบาป ทำให้เราเป็นคริสตชน
                                    คริสตชน คือ ผู้ที่ติดตามพระเยซูเจ้า 
คริสตชน คือ ผู้ที่เลียนแบบและเดินในหนทางของพระเยซูเจ้า

พันธกิจที่เราได้รับจากศีลล้างบาปก็คือ
1.      การเป็นสงฆ์    เป็นผู้มีส่วนร่วมในพิธีกรรม ในการถวายบูชาของพระเยซูเจ้าแด่พระบิดาเจ้า เช่น เราต้องไปวัดวันอาทิตย์ เพื่อร่วมมิสซา เป็นการทำหน้าที่สงฆ์  การสวดภาวนาเพื่อครอบครัว เพื่อคนอื่น เป็นการทำหน้าที่สงฆ์ การพลีกรรมใช้โทษบาป เพื่อคนอื่น เป็นการทำหน้าที่สงฆ์
2.      การเป็นประกาศก       เป็นผู้ประกาศข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า ว่า พระองค์ทรงยอมตายเพื่อเรา พระองค์ทรงรักเรา พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยเราให้รอดพ้นจากบาป จากโทษของบาป จากปีศาจ การประกาศของเราก็คือ การเป็นพยาน เช่น ยืนยันตัวเสมอว่าเป็นคริสตชน ไม่อายที่จะแสดงตนเป็นคริสตชน รักกันและกัน
3.      การเป็นกษัตริย์          เป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการปกครอง และการดูแลโลกของเรา โดยร่วมมือกับพระเจ้า ดูแลธรรมชาติ เอาใจใส่ต่อกันและกัน

บทเรียน                       ศีลสง่า (ไม่ใช่ศีลศักดิ์สิทธิ์) เป็นเพียงชื่อที่ใช้เรียกเท่านั้น โดยมีความหมายก็คือ เป็น พิธีการรื้อฟื้นคำสัญญาแห่งศีลล้างบาป โดยเฉพาะคริสตังนอน คือ ผู้ที่รับศีลล้างบาปตั้งแต่เป็นเด็กหรือทารก ที่ต้องอาศัยความเชื่อของพ่อแม่ หรือ ปู่ย่า ตายาย