BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

อาทิตย์ 25 ธรรมดา A


บทเทศน์

พี่น้องที่เคารพรัก วันนี้เป็นวันของพระเจ้า เป็นวันครอบครัวคริสตชน คือ ครอบครัวของพระเจ้า เราจึงพากันมาสรรเสริญ นมัสการพระองค์ พร้อมกับขอพรจากพระองค์ และมอบถวายครอบครัวของเราไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
วันนี้พระวาจาของพระเจ้าตรัสอะไรกับเรา อยากจะเน้นย้ำเรื่อง “ความรักความเมตตากรุณาและความใจดีของพระเจ้าไม่มีเงื่อนไข” พระวรสารเราได้ยินอุปมาเรื่องพ่อบ้านไปหาคนงานมาทำงานในสวนองุ่น เริ่มตั้งแต่เช้า คือ เวลาทำงานปกติ ก็พบคนงาน และตกลงค่าจ้าง 1 เหรียญ สาย ๆ เที่ยง ๆ บ่าย ๆ และสุดท้าย เย็น ๆ เหลือเวลาอีก 1 ชั่วโมง พ่อบ้านก็ได้เชิญให้มาทำงานในสวนองุ่นของตน และตกลงจะจ่ายค่าจ้างตามสมควร
เมื่อถึงเวลาจ่ายค่าจ้าง คนสุดท้ายที่ทำงานแค่ชั่วโมงเดียว ได้ 1 เหรียญ คนอื่น ๆ ก็ได้เหมือนกัน เพราะเป็นค่าจ้างตามสมควร คือ ขึ้นอยู่กับพ่อบ้าน ขึ้นอยู่กับเจ้าของสวนจะพอใจ ส่วนคนที่ทำงานตลอดทั้งวัน พ่อบ้านก็จ่ายให้ 1 เหรียญเช่นกัน ตามที่ตกลังกันไว้ตั้งแต่เริ่มต้นว่า จะได้ค่าจ้าง 1 เหรียญ
สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้คนที่ทำงานหลายชั่วโมง ไม่พอใจ และบ่นต่อว่า พ่อบ้าน คล้ายๆ กับน้อยอกน้อยใจว่า ทำไมคนอื่นจึงได้ค่าจ้างเท่ากับตัวเอง คือ น้อยใจในส่วนของคนอื่น และผิดหวังคิดว่าตนที่ทำงานมากกว่าคนอื่นจะได้เพิ่มขึ้น จะได้มากกว่าเดิมที่ตกลงกันไว้  แต่เขาก็ได้แค่ 1 เหรียญ
พ่อบ้านจึงอธิบายว่า “ฉันไม่ได้โกง และฉันไม่มีสิทธิที่จะใช้เงินของฉันหรือ?” สิ่งที่สำคัญกว่านั้นอีกคือ “ท่านอิจฉาริษยาเพราะเราใจดีหรือ”
บทสอน
พระเจ้าทรงความยุติธรรมกับทุกคน  สะท้อนให้เห็นว่า พ่อบ้านออกไปหาคนงานมาทำงานในสวนองุ่นตลอดเวลา เท่าที่มีเวลา นั่นหมายความว่า พระเจ้าทรงเอาพระทัยใจต่อมนุษย์ทุกคน พระองค์เรียกร้องให้มนุษย์ทุกคนเข้ามาในสวนของพระองค์ ทรงเชื้อเชิญทุกคนให้เข้ามาสู่พระอาณาจักรของพระองค์  เมื่อทุกคนตอบรับการเรียกและการเชื้อเชิญ พ่อบ้านก็จ่ายค่าจ้างตามที่ได้ตกลงกันไว้ นี่คือ ความยุติธรรม  ทุกคนที่กระทำความดี ทุกคนที่ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ แน่นอนว่า ทุกคนจะได้รับรางวัลอย่างแน่นอน นั่นคือ เมืองสวรรค์
พระเจ้าทรงรัก เมตตากรุณา ใจดีอย่างไม่มีขอบเขตด้วย เราจะเห็นว่า พ่อบ้านได้จ่ายเงินค่าจ้าง 1 เหรียญให้กับคนที่ทำงานเพียงแค่ชั่วโมงเดียว นี่คือ ความใจดีของพ่อบ้าน และความใจดีของพระเจ้าก็ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ไม่ติดอยู่กับเวลา แต่ความใจดีของพระองค์มีให้มนุษย์ตลอดเวลา ขอเพียงอย่างเดียวก็คือ คนชั่วจงละทิ้งทางของตน  คนอธรรมจงละทิ้งความคิดของตน และจงกลับมาหาพระเจ้า ขอแค่มนุษย์สำนึกผิด ขอแค่มนุษย์กลับใจ ไม่ขึ้นกับเวลาน้อยหรือเวลามาก พระเจ้าก็ให้อภัยเขาแล้ว พระเจ้าก็ประทานรางวัลแต่เขาแล้ว คนชั่วกลับใจเป็นคนดีก่อนตาย เขาจะได้รางวัลจากความดีของเขา ถ้าคนดีหันกลับไปทำความชั่วก่อนตาย เขาจะตายเพราะความชั่วของเขา
บทเรียน เตือนจิตใจ
จงเลียนแบบหัวใจของพระเจ้า คือ จงรักกันและกัน ใจดี มีเมตตาต่อกันและกัน  ในครอบครัวของเรา จงใช้ความรักให้มากกว่า จงหมั่นเพิ่มพูนความรักให้แก่กันและกันเสมอ นั่นคือ รู้จักให้อภัยเมื่อทำผิด รู้จักขอโทษเมื่อทำไม่ถูกต้อง
จงระวังความอิจฉาริษยา  เพราะมันเป็นเหมือนสนิมที่เกาะและกัดกินใจของเราโดยเราไม่รู้ตัว และมันจะเป็นตัวที่ทำลายความรัก ความสัมพันธ์ที่ดี ที่เรามีต่อกันและกันได้ ไม่ว่าจะเป็นสังคม ชุมชน หรือ ในครอบครัว หรือหมู่คณะก็ตาม








วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

เก็บภาพ เข้าเงียบประจำปี 2014

จะเอาทรงผมอะไรดีน้อ??



บรรยากาศการเล่นฟุตบอล
ระหว่างสงฆ์หนุ่มกับสงฆ์อาวุโส













ในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ











วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

วัน 4 เข้าเงียบประจำปี 2014

วันพฤหัสบดี ที่ 11 กันยายน 2014

บทเทศน์ในมิสซา

คำสั่งที่พระเยซูเจ้าสั่งก็คือ ให้เรารักกันและกัน จงรักกันเหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงรัก
ไม่ใช่เรื่องความประพฤติทางศีลธรรม แต่เป็นเรื่องของการตอบสนองต่อเอกลักษณ์
ของชีวิตของมนุษย์

จงรักศัตรู และจงภาวนาให้ผู้ที่เกลียดชัง... นี่เป็นเรื่องของความเชื่อ เราเชื่อในพระเจ้า
ผู้ทรงเป็น คงอยู่ ไม่มีขอบเขต พระองค์ทรงสร้างเรามา นี่คือพระเจ้าของเรา เราเชื่อในพระเจ้า
เราหวังในพระองค์ เราจึงสามารถทำในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำได้
นั่นคือ จงรักกันและกัน เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักเรา

บนไม้กางเขน พระเยซูเจ้าทรงโดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยว เจ็บปวด หิวน้ำ ทุกข์ทรมาน
ถูกเยาะเย้ย ถูกเหยียดหยาม.. แต่พระองค์ทรงภาวนาต่อพระบิดา ขอให้ภัยทุกคน
ทุกคนที่ได้กระทำต่อพระองค์..

09.00 น.

ว่าด้วยคำอวยพร
คำไทย  ว่า  "ขอให้มีอายุมั่น ขวัญยืน"
คำลาว   ว่า  "ขอให้ทุกคนมีอายุหลาย ๆ ตายยาก ๆ เด้อ"

คำเขียนเตือนใจ (บทความ)
พระสันตะปาปาฟรังซิส "พระศาสนจักรคือ ประชากรที่รับใช้พระเจ้า เมื่อเรารับใช้คนอื่น
เราต้องเลิกนิสัยอิจฉา แบ่งพรรคแบ่งพวก และนินทากัน  การรับใช้พระเจ้าที่ดีคือ การภาวนา
และการเฝ้าศีล

พระสังฆราชเตือนใจว่า
1. ลูกต้องซื่อสัตย์ต่อการภาวนาของลูก
2. ลูกต้องเฝ้าศีลเสมอ
3. ลูกอย่าปะสายประคำ มารดาของลูก


วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

วัน 3 เข้าเงียบประจำปี 2014

วันพุธ ที่ 10 กันยายน 2014

09.00 น.

มีพระสงฆ์ท่านหนึ่งสอนคำสอนคริสตชน และถามว่า "พระเป็นเจ้ากินข้าวกับอะไร?"
มียายคนหนึ่งตอบว่า กินกับลาบปลาตอง มีหมากพริก มีหมากลิ้นไม้..
อีกคนตอบว่า ปิ้งปลาเซือม (แซบที่สุด)
(ขำ ขำ)

เนื้อใน :

พระสันตะปาปาฟรัสซิส ตรัสว่า "ความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสาร เติมเต็มชีวิตทั้งชีวิต
ของทุกคนที่แสวงหาพระเจ้า.."

พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ย้ำเสมอให้ประกาศพระวรสาร ประกาศข่าวดีถึงพระคริสตเจ้า

เราจะต้องรู้จัก อ่าน  รำพึง  นำไปปฏิบัติ  และแบ่งปันชีวิต ในพระวาจาของพระเจ้า จึงจะเกิดผล
หากเราไม่ทำเช่นนี้ ผลที่ตามมา ลำบาก..

การประกาศพระวรสารแบบใหม่ ไม่ใช่การทำพระวรสารขึ้นใหม่  แต่เป็นการหมายถึง "การดำเนิน
ชีวิตแบบใหม่ การเทศน์สอนแบบใหม่ การหมุนชีวิตใหม่" เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้
และเข้าใจ มีความเชื่อ และได้รับความรอดพ้น จากองค์พระคริสโตเจ้าของเรา

พระสงฆ์ผู้ประกาศข่าวดี ให้เราถามตัวเอง รำพึงตลอดเวลา ว่า พระเยซูคริสโตเจ้า เป็นพระวาจา
ของพระเจ้าแท้จริงหรือเปล่า?  เรามั่นใจแค่ไหน?  เราเชื่อมั่นแค่ไหน? หากเรามั่นใจ 100 เปอร์เซ็น
แน่นอนว่า การประกาศพระวรสาร จะมีชีวิตชีวา และมีความมั่นใจมากขึ้นหลาย

เนื้อใน : เรื่องการกลับใจ
มีครูบา (พระภิกษุ)ท่านหนึ่งเห็นพระสงฆ์มิสชันนารีในหมู่บ้าน ได้ไปเยี่ยมเยียนชาวบ้าน ทุกบ้าน
ไม่ว่าจะเป็นคริสต์ เป็นพุทธ เอาใจใส่ ขึ้นบ้านนั้น บ้านนี่ คุยกับเด็กน้อย เล่นกับเด็ก ๆ บ่ได้รังเกียจ
บ่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง ทุกคนเท่าเทียมกัน
เห็นแบบอย่างเช่นนี้แล้วก็อยากจะคุย สนทนากับพระสงฆ์

จึงเกิดการสนทนาธรรมขึ้น โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าพระธรรมของใครดีกว่า แข็งกว่า กะให้คนนั้นสึก
และเปลี่ยนศาสนา

คุณพ่อกะได้ตกลง มีการสนทนาธรรมกันในเรื่องศีลศักดิ์สิทธิ์ 7 ประการ กับดอกบัว 7 ดอก และเรื่องบาปต้น กับเรื่องศีล
ใช้เวลาสนทนาธรรมเป็นแรมเดือน ที่สุด ครูบา กะได้สึกออกมา พร้อมกับเปลี่ยนศาสนา เพิ่นนั่นกะคือ
ปู่ของพระคุณเจ้านี่เอง

บทสรุปของการสนทนา ก็คือ อาศัยกำลังของมนุษย์ไม่สามารถที่จะเอาตัวรอดพ้นได้ มนุษย์จำเป็น
ต้องอาศัยความรัก และความเมตตาของพระเจ้าจึงจะสามารถรอดพ้นได้...

เราจะเห็นว่า การกลับใจของคนคนหนึ่ง มาจาก

"แบบอย่างชีวิตอภิบาลของพระสงฆ์"

นี่คือสิ่งที่สำคัญ

15.00 น.  

เนื้อใน : ไม้กางเขนของพระคริสโตเจ้า

การเป็นแบบอย่างของขีวิตพระสงฆ์  เป็นการประกาศข่าวดี เป็นการแพร่ธรรมที่ดีที่สุด

พระสันตะปาปายอห์น 23 ตรัสว่า หน้าที่ของข้าพเจ้าคือ การรู้จักและรับใช้พระเจ้าเสมอ
และเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ของข้าพเจ้าก็คือ การช่วยมนุษย์ให้รอด

พระสันตะปาปยอห์น ปอล 2 ตรัสว่า "พวกลูกอย่ากลัว กางเขนเท่านั้นที่ให้ชีวิตที่แท้จริง
กางเขนคือชัยชนะ กางเขนเป็นยอดของความรักต่อมนุษยชาติ"

จงพิจารณาและรำพึง "ไม้กางเขนของพระคริสตเจ้าเสมอ"

ประสบการณ์การแพร่ธรรมในลาว..

กว่าที่ไม้กางเขนจะปักลงผืนดินประเทศลาว มีความยากลำบาก เพราะมีการเบียดเบียน
มีการต่อต้าน และมีการข่มเหง

มีประกาศว่า ให้ทุกหมู่บ้านที่ปักไม้กางเขนที่หน้าหมู่บ้านออก ถ้าไม่ทำจะต้องมีโทษ

หลายคนกลัวไม้กางเขน คนรัฐบาล กลัวไม้กางเขนของพระคริสโตเจ้า
พวกเขายอมรับไม่ได้

สุดท้าย ไม้กางเขนก็ได้ปักลงที่หัวใจ จิตใจ และจิตวิญญาณของชาวลาว
จนถึงกับว่า ไม่มีใครที่จะถอนออกไปจากจิตวิญญาณของเฮาได้เลย

ไม้กางเขนของพระคริสโตเจ้ามีไว้ แบก และติดตามพระองค์
หากเราไม่แบกกางเขน  ไม้กางเขนนั้นอาจจะล้มทับเฮากะได้เด้...



วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

วัน 2 เข้าเงียบประจำปี 2014

วันอังคาร ที่ 9 กันยายน 2014

ในมิสซา
พระคุณเจ้าปรีดา  ได้ยกเอาคำเทศน์ของพระสันตะปาปา มากล่าวว่า
"ให้เรามองดูพระเยซูเจ้าที่สวนเกทเสมนี เราจะเห็น 2 สิ่งทีสำคัญในตัวของพระเยซูเจ้า
สิ่งหนึ่งคือ น้ำใจอยาก น้ำใจของมนุษย์
สิ่งที่สอง คือ น้ำพระทัยของพระบิดาเจ้า

สองสิ่งนี้ ได้มาเผชิญหน้ากัน มาพบปะกัน สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ความนบนอบเชื่อฟัง
จากพระเยซูเจ้า

แต่ก่อนที่เพิ่นจะยอมรับได้ เหงื่อที่ไหลออกมาแทบจะกลายเป็นเลือด.. ขออย่าให้
เป็นไปตามใจข้าพเจ้า ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด

น้ำใจอยากของมนุษย์มันลึกในจิตใจ และน้ำพระทัยดีของพระเจ้าก็ยิ่งลึกกว่า
คนที่เลือกน้ำพระทัยของพระเจ้า เขาจะมีพลังที่จะสู้ทน ความทุกข์ ความยาก
ความลำบาก การเบียดเบียน ความทรมานต่าง ๆ
คือกันกับพระเยซูเจ้าบนกางเขน

หากพระเยซูเจ้าไม่รับเอาน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว กะคงทนไม่ไหว สู้ไม่ได้ แน่นอน
เพราะน้ำใจอยากของมนุษย์ สู้บ่ได้เลย...

ความนอบน้อมเชื่อฟัง.. จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับชีวิตสงฆ์
โดยเฉพาะการนบนอบต่อผู้แทนของพระเจ้าที่สามารถเห็นได้ในโลกนี้...

09.00 น.
15.00 น.
เป็นช่วงเวลาของการแบ่งปันประสบการณ์ของงานแพร่ธรรมในประเทศลาว
ผ่านทางพระสงฆ์มิสชันนารี ที่เป็นฝรั่ง และครูคำสอน

"เลือดของมรณสักขีที่ตกลงบนพื้นดิน เป็นเหมือนกับเมล็ดพืชที่หว่านลงไปในดิน"

มีพระสงฆ์ มากมาย หลายท่าน ได้หลั่งเลือดบนผืนแผ่นดินประเทศลาว
มีคริสตชนหลายคนที่สละชีวิตของตน เพื่อความเชื่อ

งานแพร่ธรรม หรือการประกาศข่าวดี เป็นชีิวิตของพระสงฆ์
แล้วฮู้บ่ว่า อะไรเป็นพลัง และเป็นผู้หล่อเลี้ยงชีวิตของพระสงฆ์
ที่ทำให้เข้าเหล่านี้ยอมตาย ยอมหลั่งเลือด..
คำตอบ กะคือ "พระเยซูเจ้า"

น่าคิดสำหรับเฮาว่า ชีวิตของเฮาเป็นชีวิตที่เป็นพยานในการประกาศข่าวดี
ของพระเยซูเจ้าอยู่เบ๊าะ?

------------------------------------------------------------

อ่าน สะกิดสงฆ์  (ต่อจากเมื่อวานนี้)

มองดูชีวิตของชาวประมงจับปลา กับชาวประมงจับมนุษย์

1. เขาจะต้องมีความเพียร คือ เรียนรู้การรอคอยด้วยความอดทน ด้วยความเพียรทน
เขาจะต้องไม่เคลื่อนไหวมาก เพราะจะทำให้ปลาหนีไปได้ .. พระสงฆ์ก็ต้องเรียนรู้
ความเพียรอดทน ในการทำงานอภิบาล ในการทำหน้าที่ของสงฆ์ ในการช่วยคนอื่นๆ
ผลสำเร็จ อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงวันเวลาของเราก็ได้

2. ต้องมีความมั่นคง คือ ชาวประมงที่ดีย่อมไม่ยอมเลิกง่าย ๆ หากเขาไม่ได้ผลดังที่
ตั้งใจเอาไว้ พระสงฆ์จะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ได้อย่างไร จะยอมแพ้กับการเข้าวัดน้อย
ของสัตบุรุษได้อย่างไร

3.ชาวประมงที่ดีต้องมีความพยายามมาก ๆ คือ จะได้ปลาก็ต้องพยายามทุกวิถีทาง..
พระสงฆ์จะต้องพยายามมาก ในการที่จะเผชิญกับความยาก ปัญหาต่าง ๆ ทุกรุปแบบ
ในการประกาศข่าวดี ในการทำงานร่วมกับคนอื่น

4. ชาวประมงที่ดีจะต้องรู้จักวันและเวลาที่จะจับปลา คือ เขาจะต้องรู้ว่า เวลาไหนควร
เวลาใดไม่ควร.. พระสงฆ์ต้องเรียนรู้ เวลาใดเหมาะสม เวลาใดควรหยุด หรือ
เวลาใดควรจะนิ่ง


การประกาศข่าวดี จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ และจำเป็นต้องเสียสละอย่างมาก
อุทิศตนเองให้ถึงที่สุด

บรรดาอัครสาวก เมื่อมาเป็นชาวประมงจับมนุษย์ พวกเขาได้ละทิ้งครอบครัว อาชีพ
การงาน มุ่งหน้าไปสู่การประกาศพระวรสารเท่านั้น
เพราะพวกเขาถูกเรียกมาก็เพื่อการนี้

พระเยซูเจ้าได้ทรงมอบภารกิจในการประกาศข่าวดีอย่างเป็นทางการ หรืออย่างสง่างาม
ในวันที่พระองค์เสด็จสู่สวรรค์

"ท่านทั้งหลายจงไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีแก่มวลมนุษย์"
"จงล้างบาปเขาในนามของพระบิดา พระบุตร และพระจิต"

พระสงฆ์ถูกเลือกมา ก็เพื่อ ภารกิจ นี้...

(อ่านต่อ)


วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

วัน 1 เข้าเงียบสงฆ์ประจำปี 2014

วันจันทร์ ที่ 8 กันยายน 2014


วันนี้เป็นวันเริ่มต้นเข้าเงียบประจำปีของพระสงฆ์อัครสังฆมณฑล ท่าแร่ฯ
เมื่อมีเวลา จึงได้คิดพิจารณาว่า "เวลาเงียบ" เราได้รับอะไรบ้าง? "เวลาเงียบ" เราได้สูญเสีย
อะไรไปบ้าง?

เวลาเงียบ เราได้พักผ่อน  เราได้สติ  เราได้ความคิด และเราได้หยุด
เวลาเงียบ เราได้สูญเสียเวลา สูญเสียตัวตนเดิมๆ สูญเสียงาน

มันก็เป็นไปได้นะ..

สำหรับพระสงฆ์..เมื่อเราเงียบ เราได้อะไร?
รื้อฟื้นการตอบรับเสียงเรียกของพระเจ้า "อยู่ครับ"
รื้อฟื้นความตั้งใจ คำสัญญาต่อพระเจ้า  "อยู่ครับ"
รื้อฟื้นความรักและการขอบคุณ  "อยู่ครับ"

เป็นเวลาเหมาะสม สักระยะหนึ่ง ที่เราแต่ละคนควรจะมีเวลา "เงียบ"
เป็นเหมือนช่วงเวลาที่จะรู้จักตนเอง ตัวตนของเราเอง 
และที่สำคัญเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ "พบปะ" กับพระเจ้า
ในเวลาที่เป็นอิสระจากสิ่งต่าง ๆ ในโลก...

อ่านหนังสือ "สะกิดสงฆ์" แปลโดยคพ.ยอห์นบัปติส นรินทร์  ศิริวิริยานันท์ 
หัวข้อแรก ชาวประมงจับมนุษย์

สิ่งที่สะกิดใจคือ

1. การเปลี่่ยนแปลงของมนุษย์คนหนึ่งมาจากการพบปะ หรือ สัมผัสกับพระเจ้า  
พระสงฆ์ต้องตระหนักเสมอว่า "ท่านไม่ได้เลือกเรา แต่เป็นเราต่างหากที่ได้เลือกสรรท่าน" (ยน 15:16)
ปราศจากพระเจ้าแล้ว เราไม่สามารถทำอะไรได้จริง ๆ

นักบุญออกัสติน จากชีวิตที่เหลวแหลก สุรุ่ยสุร่าย กลับเปลี่่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นคนใหม่ ท่านได้พูดว่า "ผมไม่ใช่คนที่คุณคิดอีกแล้ว"

่นักบุญเปโตร เป็นคนกลับกลอก ขี้โม้ ขี้คุย กลายเป็น ศิลา ที่แข็งแกร่ง กลายเป็นที่ตั้งพระศาสนจักร

นักบุญเปาโล เป็นคนเบียดเบียนศาสนา กลายเป็นนักแพร่ธรรมผู้ยิ่งใหญ่

เมื่อพระเจ้าทำงานในตัวของเรา จากสิ่งที่เราเป็น  กลายเป็น สิ่งที่เราเป็นมากกว่าอย่างไม่คาดคิด
วิถีทางของเจ้า ไม่ใช่วิถีทางของเรา..

เมื่อคนหนึ่ง ยอมให้พระเจ้าจัดการกับชีวิตของเขา แน่นอนว่า เขาจะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่
สำหรับพระเจ้า เพื่อคนอื่นจะได้สรรเสริญพระเจ้า

เราเองล่ะ? เรามาจากไหน? เราเคยเป็นใคร? 
และ บัดนี้ เราเป็นใคร? เป็นคนเดิม หรือว่า คนใหม่?

2. การละทิ้งชีวิตเก่าอย่างถอนรากถอนโคน 
นักบุญเปโตร ละทิ้งทุกอย่างและติดตามพระเยซูเจ้า ท่านไม่หันกลับไปทำสิ่งเดิมอีก 
แต่ทำสิ่งใหม่ในสิ่งที่เคยเป็น
นักบุญเปาโล ก็เช่นกัน
บรรดาอัครสาวก.. ทุกคนละทิ้งชีวิตเดิม ๆ และมุ่่งมั่น มุ่งหน้าสู่ชีวิตใหม่..
"ข้าพเจ้าละทิ้งทุกสิ่งติดตามพระองค์ แล้วจะได้อะไร?"

พระสงฆ์ไม่ใช่มีชีวิตเพื่อตัวเอง แต่ให้ชีวิตที่ตนมี อุทิศ เพื่อคนอื่น..


(อ่านต่อ)