BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เข้าเงียบสงฆ์ท่าแร่ประจำปี 2015



บทเทศน์เข้าเงียบประจำปี 2015

โดย คุณพ่ออาเดรียอาโน

วันที่ 9 พฤศจิกายน 2015

20.00 น. วจนพิธีกรรมเปิดการเข้าเงียบ

บทเทศน์

ขอให้เรามีความสุข ความสบายใจในการพบกับพระเจ้า ในโอกาสการเข้าเงียบใน 3 วันนี้

เราได้รับการเลือกเป็นพิเศษ โดยเฉพาะ สำหรับงานของพระองค์ เพื่อใช้เราให้เป็นเครื่องมือ เพื่อคนยากจน เพื่อคนด้อยโอกาส เพื่อคนหมดหวัง

ในพระวรสารของนักบุญยอห์น มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย “คุณเป็นใคร?”  “คุณมีอำนาจอะไร?”  “คุณจะเอาร่างกายให้เรากินได้อย่างไร?”  “จะเกิดใหม่ได้อย่างไร?” มีคำถามมากมาย พระเยซูเจ้าสร้างความสับสน สร้างความไม่เข้าใจมาก จนชาวยิวรับไม่ได้ ไม่เข้าใจจึงฆ่าทิ้งเสียดีกว่า เพราะเกินสติปัญญาของมนุษย์ เกินความเข้าใจของมนุษย์

ปล่อยให้พระเยซูเจ้าชำระจิตใจของเรา วันนี้ ใจของเรามีตลาดหรือเปล่า? มีอะไรในใจไหม? ความวุ่นวายใจ เงินทอง?  เราจะพูดกับพระองค์ว่า “พระองค์มายุ่งกับเราทำไม?”

เมื่อพระเยซูเจ้าเข้ามายุ่งกับตัวของเรา มันมีคำถามเกิดขึ้น “เข้ามายุ่งทำไม?” อยู่ดีดีก็ดีอยู่แล้ว เมื่อพระองค์เข้ามา เราต้องปรับตัว ต้องมองดูตัวเอง ต้องสำนึกผิด ต้องปรับตัวเองต่อแผนการของพระเจ้า (พระองค์มายุ่งกับเราทำไม?)
พระเยซูเจ้าไม่ได้มายุ่งกับเรา แต่มาเพื่อนำความสุขแท้ ความยินดีแท้จริง เพื่อเราจะสามารถนำสิ่งนี้ไปสู่คนอื่นได้

มีหญิงคนหนึ่งมาพบ และบอกว่ากำลังหาแฟนที่ร่ำรวย มีเงินเยอะๆ เพื่อตนเองจะได้มีความสุขในชีวิต ก็เลยบอกว่า ไม่มีผู้ชายคนไหนที่ให้ความสุขได้หรอก ผู้ชายเอาเงินให้ซื้อความสุข เดี๋ยวก็หมดไป ไม่รักจริงหรอก แต่มีคนหนึ่งที่ซื่อสัตย์ต่อเราเสมอ ให้ความสุขที่แท้จริงแก่เรา คือ พระเยซูเจ้า เท่านั้น พระองค์ซื่อสัตย์ต่อเรา ไม่เปลี่ยนแปลง นี่คือความสุขที่แท้จริง



วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

บทเทศน์ตรีวารคืนแรก


8 กันยายน 2015

บทเทศน์ เตรียมจิตใจที่อารามรักกางเขน ท่าแร่

กางเขน ความรัก และการให้อภัย = ความเมตตา

คุณแม่มหาอธิการิณี ซิสเตอร์ยาย คณะซิสเตอร์ที่เคารพและพี่น้องที่เคารพรัก ในค่ำคืนนี้เราพากันมาร่วมจิตร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อที่จะเตรียมจิตใจเราฉลองกางเขนของพระเยซูเจ้า ซึ่งเราเป็นเอกลักษณ์ของอารามแห่งนี้  เพราะว่าบรรดาซิสเตอร์ได้ปฏิญาณตนว่า จะรักกางเขนของพระเยซูเจ้า จะติดตามพระองค์จนตลอดชีวิต

แน่นอนว่า เมื่อเรามองดูกางเขน  สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และมีความหมายสำหรับผู้เชื่อในพระเยซูเจ้า บนไม้กางเขน เรามองเห็นอะไร? เราเห็นพระเยซูเจ้าถูกตรึง ถูกแขวน ถูกทรมาน และเรามองเห็นความตายของพระเยซูเจ้า ในสายตาของคนทั่วไป เป็นสิ่งที่น่ากลัว คนตายห้อยอยู่บนกางเขน  แต่ในสายตาของผู้มีความเชื่อ เราเห็นพระเยซูเจ้าผู้ทรงเต็มเปี่ยมด้วยความรักต่อมนุษย์ ความนบนอบเชื่อฟังต่อพระบิดาเจ้า เรามองเห็นแผนการของพระเจ้าที่ช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น เรามองเห็นความหวังในความตายของพระองค์

และบนไม้กางเขนนี้เอง มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น อันเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมากสำหรับประวัติศาสตร์แห่งความรอดของมนุษยชาติ

บนกางเขน พระบุตรของพระเจ้าได้สิ้นพระชนม์ ทั้งๆ ที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่พระเยซูเจ้าซึ่งเป็นมนุษย์ เพราะองค์ตายบนกางเขน คล้าย ๆ กับว่า “พระเจ้าตายแล้ว”

บนกางเขน ความทุกข์ ทรมาน ช่างน่ากลัวจริงๆ ตามประสาโลกนั้น คนที่ถูกตรึงกางเขนนั้น จะค่อย ๆ ตายทีละเล็กทีละน้อย เพราะน้ำหนักตัวจะค่อยๆ ถ่วงลง ทำให้ค่อยๆ ขาดใจตายด้วยความทุกข์ทรมาน เราจะเห็นว่าคนที่ตายบนกางเขน ไม่ได้ตายเพราะบาดแผล ความเจ็บปวด แต่ตายเพราะหมดแรงและหายใจไม่ออก เพราะแรงโน้มถ่วงลดลงเรื่อยๆ

บนกางเขน เราเห็นความหมายของความนบนอบ เชื่อฟังของพระเยซูเจ้าจนถึงที่สุด ที่สุดของชายคนหนึ่งที่ยอมทำตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า สุดตัว สุดใจ ตายก็ยอมเพื่อให้แผนการของพระเจ้าสำเร็จไป

บนกางเขน เราเห็นการให้อภัยของพระเยซูเจ้าที่มีต่อทุกคน “พระบิดาเจ้าข้า โปรดให้อภัยเขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่า เขากำลังทำอะไร?”

ที่สุด ผ่านทางไม้กางเขน ความตายของพระเยซูเจ้า ความรักของพระองค์ ทำให้เราเห็น การกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ ซึ่งเป็นหัวใจ และเป็นความหวังสำหรับเราทุกคน

และการกลับคืนชีพนี้เอง ที่ทำให้เรามีความหวัง และไม่กลัวความทุกข์ยาก แต่เป็นเหมือนกำลัง พละกำลังที่จะทำให้เรามีเรี่ยวแรงในการดำเนินชีวิตท่ามกลางความปั่นป่วนของโลกนี้

ดังนั้น บนไม้กางเขน สำหรับเราคริสตชน จึงมีความหมายและมีคุณค่า มีพระหรรษทานของพระเจ้าที่ไหลลงมาสู่ชีวิตของเรา สิ่งที่ทำให้เราสัมผัสกับพระเจ้าได้ชัดเจน ก็คือ ความรัก

พระเยซูเจ้าถูกตรึงบนกางเขน เพราะความรัก ตลอดพระชนมชีพของพระองค์ พระองค์ทรงแบกความรักของพระบิดาเจ้า พระองค์ทรงแบกความรักของมนุษย์ไว้บนบ่าของพระองค์เสมอ เพราะความรักต่อมนุษย์ พระองค์จึงทรงลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพราะความรักต่อมนุษย์ พระองค์จึงยอมถูกตรึงบนกางเขน เพราะความรัก พระองค์จึงรับความทุกข์ทรมาน

การตายของพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขน เป็นการเผยแสดงความรักที่แท้จริงของพระเจ้า และดึงดูดเราให้ (ออกจากตัวเอง) ตอบแทนความรักของพระองค์ ด้วยการมอบชีวิตของเราแก่พระเจ้า เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้มอบชีวิตของพระองค์แก่เรา

พระเยซูเจ้าไม่ได้สอนเราให้พ้นทุกข์ เหมือนกับพระพุทธเจ้าที่มองว่า ชีวิตของเรามีแต่ทุกข์ เราจะต้องหาวิธีการที่จะดับทุกข์ให้ได้  สำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์สอนเราด้วยชีวิตของพระองค์ ให้พากเพียร และอดทนต่อความทุกข์ยากลำบากต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ให้มองด้วยสายตาแห่งความรัก  การมอง และการทำด้วยความรัก ความทุกข์นั้นก็จะกลายเป็นเพียงของเบา ๆ เช่น พ่อแม่ทำงานหนักเพื่อให้ลูกได้สบาย ๆ พ่อแม่มองดูการทำงานของตนเองเป็นความทุกข์ยากหรือ? หากพ่อแม่มองดูว่า การทำงาน การต้องหากินด้วยความยากลำบากเพื่อเลี้ยงดูลูก ๆ เป็นความทุกข์  พ่อแม่ก็จะบอกว่า ให้เรามีลูกเพียงคนเดียวดีกว่า เพราะเราจะได้ไม่หนัก เพื่อเราจะได้สบายๆ  แต่มีหลายคนที่เป็นพ่อแม่ทำงานอย่างหนัก ทุ่มเทชีวิตโดยไม่บ่น สร้างครอบครัว เพื่อลูก เพื่ออนาคตของลูก นี่คือความรัก

เช่นเดียวกับพระเยซูเจ้า พระองค์ไม่ได้มองว่าชีวิตของพระองค์เป็นความทุกข์ พระองค์ไม่ได้มองว่าการขัดแย้งกับชาวฟาริสี พวกธรรมาจารย์เป็นความทุกข์ความลำบาก แต่พระองค์มองว่าเราจะต้องรักเขา จะต้องช่วยเขา

ดังนั้น กางเขนของคริสตชนจึงไม่ใช่ความทุกข์ แต่เป็นความรัก

พี่น้องที่เคารพรัก พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเรา ก็ให้เขาเลิกนึกถึงตนเอง ให้แบกไม้กางเขนของตน และติดตามเรา (มก 8:34)”

กางเขนที่เราต้องแบกก็คือ ความรัก ทำไมความรักจึงเป็นเสมือนสิ่งที่เราต้องแบกอยู่เสมอ หากเราแบกความทุกข์ ความลำบาก ก็จะหนัก แต่หากเราแบกความรัก  มันก็จะเบา พระเยซูเจ้าบอกว่า “ผู้ใดอยากติดตามเรา ต้องสละตนเอง แบกไม้กางเขนของตนทุกวัน และติดตามเรา” หลายคนมองว่า เราต้องแบกความทุกข์ในชีวิตและติดตามพระเยซูเจ้า แบกความทุกข์จะมีความสุขได้อย่างไร คนที่มีปัญหาจะมีความสุขได้อย่างไร? แต่ถ้าเราแบกความรัก.. นี่แหละจะทำให้หัวใจของเรามีความสุข และมีพลัง

กางแขน เท่ากับ ความรัก พระเยซูเจ้า กางเขน และความรัก เป็นอันหนึ่งอันเดียว ความรักของพระเจ้าไม่ได้อยู่บนไม้กางเขนที่แขวน ที่ยึดติดกับกางเขน แต่ความรักของพระเจ้าอยู่ในชีวิตของพระองค์ พระองค์ถูกตรึงบนกางเขนก็เพราะความรัก ตลอดพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าพระองค์ทรงทำให้เห็นเป็นแบบอย่างว่าพระองค์ทรงรักเราเพียงใด กิจการ และคำพูดสอดคล้องกัน   (แต่เรา..บางคนพูดหวาน หน้าหวาน พูดดี แต่ลับหลัง นินทา ว่าร้าย)

เราต้องแบกคือ ความรัก รักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง สำหรับนักบวช ความรักต่อพระเจ้าในภาคปฏิบัติคืออะไร? การสวดภาวนา การสวดทำวัตร การร่วมมิสซา การทำชั่วโมงศักดิ์สิทธิ์ การสวดสายประคำ เพราะเรารักพระเจ้าเราจึงปฏิบัติเช่นนี้อย่างเคร่งครัด รักพระเจ้าไหม? หากการสวดของเราท่องออกมา แต่ใจคิดอย่างอื่น รักพระเจ้าไหม หากตัวอยู่ในวัดแต่ใจกังวลอย่างอื่น รักพระเจ้าไหมหากการเอ่ยพระนามพระเจ้า แต่คิดฟุ้งซ่าน นี่คือ กางเขนที่เราต้องแบก ที่เราจะต้องยกกางเขนขึ้นใส่บ่าของเราและเดินไปกับพระองค์ ไม่ใช่ปล่อยและวางกางแขน เพราะหนัก

นอกจากนี้ ความรักของนักบวชที่ต้องรักพระเจ้า ก็คือ การถือพระวินัย รวมถึงจิตตารมณ์ของพระวรสาร ความบริสุทธิ์  ความนบนอบ และความยากจน นี่คือกางเขน นี่คือ เรื่องของความรัก ไม่ใช่เรื่องของความทุกข์ ความลำบาก แต่เป็นเรื่องของความรักที่ หญิงสาวคนหนึ่งปฏิญาณตนเองว่า จะรักพระองค์ โดยการถือพระวินัย และคุณค่าของพระวรสารอย่างเคร่งครัดตลอดชีวิต

หากถือพระวินัยเพราะเป็นกฎ หากถือคุณค่าพระวรสารเพราะเป็นระเบียบ แสดงให้เห็นว่าชีวิตของเราไม่ได้รักพระเจ้าอย่างแท้จริง

เณรหลายคนในบ้านเณรต้องออกไปจากบ้านเณร เพราะบอกว่า ถือระเบียบวินัยไม่ได้ ถือตามกฎไม่ได้ มันยาก และมันหนัก  มันย่อมหนักแน่ หากถือกฎเพราะเป็นกฎ ไม่ได้ถือเพราะรักพระเจ้า  เณรที่เหลืออยู่ปัจจุบันนี้ ก็ไม่รู้ว่ากี่คนที่เข้าใจว่า เราจะต้องถือกฎระเบียบวินัย เพราะเรารักพระเจ้า

เมื่อเราแบกความรักใส่บ่า และเดินไปในแต่ละวัน ในชีวิตประจำวันของเรา เราจะไม่หนัก พระเยซูเจ้าบอกว่า “แอกของเราอ่อนนุ่ม และภาระที่ท่านแบกก็เบา” เพราะความรักของพระเจ้าอ่อนนุ่ม และเบา ความรักที่ออกมาจากใจ ไม่มีอะไรหนัก ไม่มีอะไรที่ลำบาก  

“ไม่มีความรักใดที่ปราศจากการทนทุกข์ทรมาน เพราะความรักในตัวมันเองเป็นการปฏิเสธตนเอง ออกจากตนเอง การละทิ้งตนเองหรือการสละตนเอง เพื่อมุ่งสู่ผู้ที่ตนรัก ความรักในตัวมันเองจึงถูกนับว่าเป็นไม้กางเขนของผู้ที่(ทำการ)รัก (พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16)

นอกจากนี้ เรายังต้องแบกกางเขนแห่งความรักต่อเพื่อนพี่น้องอีกด้วย เราจะรักเพื่อนพี่น้องได้ไหม? หากคนนั้นทำให้เราเจ็บ เราจะรักคนที่ไม่น่ารักได้ไหม? หากคนนั้นเป็นคนที่เราไม่ชอบ พระเยซูเจ้าสอนเรา ให้รักคนอื่นเหมือนรักตัวเอง และ ภาคปฏิบัติของความรักต่อเพื่อนพี่น้อง ก็คือ การให้อภัย ตราบใดที่เรายังไม่สามารถให้อภัยเพื่อนพี่น้องของเราได้ ก็แสดงว่าเรารักพระเจ้ายังไม่เต็มที่ ยังครึ่งๆ กลางๆ และความรักของพระเจ้าก็จะไม่สมบูรณ์ในตัวของเรา

บนไม้กางเขน พระเยซูเจ้าตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า โปรดให้อภัยเขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่า เขากำลังทำอะไร”

ความสมบูรณ์ของชีวิตคือ การให้อภัย น่าเสียดายมากที่เรามักจะให้อภัยเมื่อใกล้จะตาย เรามักจะมาขอโทษขอโพยกันเมื่อคนหนึ่งกำลังจะตาย หรือ เรามักจะยกโทษให้แก่คนที่ทำผิดต่อเราเฉพาะเวลาที่ใกล้จะตายแล้ว มีประโยชน์ไหม? ดีหรือเปล่า? มันก็ดี และก็ถือว่ามีประโยชน์ต่อจิตใจของเรา  แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ ในเวลานี้ ในเวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราควรจะให้อภัยกันและกัน เราควรจะยกโทษให้กันและกัน เราควรจะขอโทษกันและกัน เพื่อให้เกิดการคืนดี และการดำเนินชีวิตด้วยกันในโลกนี้  อย่ารอให้ถึงเวลาใกล้จะตายหรือเวลาที่จะต้องจากกันไปก่อนแล้วค่อยขอโทษขออภัยกัน

การให้อภัยเป็นเอกลักษณ์และเป็นแก่นแท้ของพระเจ้า ที่แสดงออกต่อมนุษย์ เพราะไม่มีบาปใดที่ยากเกินไปที่จะให้อภัยไม่ได้ ไม่มีความผิดใดที่ลำบากเกินไปที่จะให้อภัยไม่ได้ แม้แต่คนที่จะฆ่าเรา หรือแม้แต่คนที่ฆ่าเรา พระเยซูเจ้ายังให้อภัยได้ นี่คือความสมบูรณ์ของความรักในภาคปฏิบัติ

ปากบอกว่า รัก  แต่ ไม่สามารถให้อภัยได้ ก็เท่ากับว่า เราพูดโกหก เราพูดเท็จ และความจริงไม่อยู่กับเรา การให้อภัยเป็นการแสดงออกอย่างดีมาก แทนทุกคำพูดของคำว่า “รัก” 

พี่น้องที่รัก เมื่อเรามีความรัก รู้จักการให้อภัย เท่ากับว่า เราเต็มเปี่ยมไปด้วย ความเมตตา และ ในวันที่ 8 ธันวาคม นี้ พระสันตะปาปาฟรังซิส จะประกาศให้เริ่มต้น ปีพระเมตตา ซึ่งเราคริสตชนจะต้องแสดงออกถึงความเมตตาต่อกัน ซิสเตอร์ผู้ใหญ่ผู้น้อย แสดงออกถึงความมีเมตตาต่อกัน พระสงฆ์ ทุกคนก็ต้องทำกิจการแห่งความเมตตาด้วย ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ทรงความดี ทรงมีเมตตาต่อเราทุกคน

ปราศจากความรัก

ความยากจนที่ปราศจากความรัก ก็เป็นความหยิ่งผยอง
ความฉลาดที่ปราศจากความรัก ก็เป็นความคดโกง
ความยุติธรรมที่ปราศจากความรัก ก็เป็นความแข็งกระด้าง
การสนทนาที่ปราศจากความรัก ก็เป็นเพียงหน้าซื่อใจคด
ความสำเร็จที่ปราศจากความรัก ก็เป็นความจองหอง
ความร่ำรวยที่ปราศจากความรัก ก็เป็นเพียงความเห็นแก่ตัว
ความสวยงามที่ปราศจากความรัก ก็เป็นเพียงสิ่งน่าหัวเราะ
อำนาจที่ปราศจากความรัก ก็เป็นเพียงเผด็จการ
การทำงานที่ปราศจากความรัก ก็เป็นเพียงหุ่นยนต์
ความสุภาพที่ปราศจากความรัก ก็เป็นการดูถูกตัวเอง
การภาวนาที่ปราศจากความรัก ก็เพียงการเก็บตัวคนเดียว
กฎระเบียบที่ปราศจากความรัก ก็ทำให้เราเป็นเพียงทาส
ความเชื่อที่ปราศจากความรัก ก็เป็นแค่นิยายเพ้อฝัน
กางเขนที่ปราศจากความรัก ก็กลายเป็นเพียงเครื่องทรมาน

ชีวิตที่ปราศจากความรัก ก็เพียงชีวิตที่อับเฉา



วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

วันเกิดแม่พระ 2015


8 กันยายน 2015

บทเทศน์

คุณพ่อทั้งสอง เซอร์อธิการ คณะเซอร์ คณะครูที่เคารพ และบรรดาลูก ๆนักเรียนที่รักทุกคน วันนี้ เป็นอีกวันหนึ่งที่มีความชื่นชมยินดีในพระศาสนจักรคาทอลิกของเรา เพราะเป็นวันเกิดของพระนางมารีย์พรหมจารี หรือ ที่เราเรียกว่า วันเกิดแม่พระ ซึ่งเป็นแม่ของพระเยซูเจ้า

แม่พระเป็นบุตรสาวของนักบุญยออากิม และนักบุญอันนา แม่พระเกิดที่ไหน?  ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้กล่าวหรือบันทึกไว้ว่าแม่พระเกิดที่ไหน?  เราจึงศึกษาตามธรรมประเพณีของพระศาสนจักร และเราพบว่า ธรรมประเพณีแรกบอกว่าเกิดที่เมืองเบธเลเฮ็ม  ธรรมประเพณีที่สองบอกว่าเกิดที่เมืองเซโฟริส ทางตอนเหนือของเบธเลเฮ็ม ธรรมประเพณีที่สามบอกว่า เกิดที่กรุงเยรูซาเล็ม
จะอย่างไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าแม่พระจะบังเกิดที่ไหน? สิ่งสำคัญที่เราเห็นได้ก็คือ การบังเกิดมาของแม่พระเป็นการจัดเตรียมของพระเจ้า เพื่อแผนการแห่งความรอดพ้นจะเป็นจริง ที่พระองค์จะทรงให้พระบุตรสุดที่รักของพระองค์เกิดมาในครรภ์ของพระนางมารีย์ แม่พระจึงเป็นของขวัญชิ้นหนึ่งที่สำคัญสำหรับมนุษย์ ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้สำหรับเรา

การบังเกิดมาของแม่พระ เป็นคำสัญญาของพระเจ้าตั้งแต่สร้างแล้วว่า พระองค์จะส่งหญิงคนหนึ่งมาและหญิงคนนั้นจะเหยียบหัวงู และเมื่อแม่พระบังเกิดมา แม่พระก็เป็นเสมือนดาวประจำรุ่ง (ภาษาอิตาเลียน la stella mattutina) ที่ส่องแสงท่ามกลางทะเลที่มีพายุ ซึ่งแม่พระเต็มเปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ และพระพรพระหรรษทานของพระเจ้า

แม่พระบังเกิดมาเพื่อนำพระหรรษทาน และความรักของพระเจ้าสู่โลก เป็นเสมือนเครื่องมือของพระเจ้าที่จะทำให้โลกได้รู้จักกับพระเจ้า นั่นคือ ผ่านทางพระบุตร พระเยซูเจ้าที่บังเกิดในครรภ์ของพระนาง และแม่พระจะนำเราทุกคนที่เข้ามาหาพระแม่ ไปพบกับพระเจ้า ไปพบกับความรักของพระเจ้า เพราะผ่านทางแม่พระ การช่วยให้รอดพ้นมาถึงโลก ดังนั้น แม่พระเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดปราน เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า

ในโอกาสวันเกิดแม่พระ คุณพ่ออยากจะเน้นย้ำ เรื่องแม่พระเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน และมีคำถามว่า ทำไมพระเจ้าจึงโปรดปรานแม่พระ รักแม่พระเป็นพิเศษ เพราะความดีของแม่พระหรือ? เพราะความรักของพระเจ้าหรือ?
อันดับแรก พระเจ้าทรงโปรดปรานแม่พระ เพราะพระองค์ทรงเลือก และจัดเตรียมชีวิตของแม่พระไว้สำหรับพระบุตรของพระองค์ แม่พระจึงเกิดมาไม่มีบาป เพื่อที่จะให้พระเยซูเจ้า พระบุตรของพระเจ้าบังเกิดมาโดยไม่มีบาป

อันดับสอง แม่พระดำเนินชีวิตที่เหมาะสมกับการที่พระเจ้าได้ทรงเลือก แม่พระดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับแผนการของพระเจ้า

หันมาดูตัวของเรา การเกิดมาของเราแต่ละคนถือว่าเป็นธรรมล้ำลึก และเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่พระเจ้าประทานให้แก่โลก ให้แก่ครอบครัว ให้แก่พ่อแม่  เราทุกคนเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือก เราไม่ได้เกิดมาโดยบังเอิญ เราไม่ได้เกิดมาโดยธรรมชาติของพ่อแม่เท่านั้น แต่เราเกิดมาโดยความรักของพระเจ้า ชีวิตของเราจึงเป็นอัศจรรย์สำหรับโลก และสำหรับตนเอง

เราเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าได้ไหม? ได้ เพราะโดยธรรมชาติ เรามาจากความรักของพระเจ้า เรามีความบริสุทธิ์ในหัวใจของเรา สิ่งสำคัญสำหรับเราก็คือ เราจะต้องดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับความรักของพระเจ้า หรือ สอดคล้องกับธรรมชาติของเรา นั่นคือ ความบริสุทธิ์ และความดีที่มีอยู่ในตัวของเรา

เราเป็นนักเรียน ความดีพื้นฐานของชีวิตนักเรียนก็คือ การตั้งใจเรียน การเชื่อฟังครูบาอาจารย์ การดูแลห่วงใยเพื่อนๆ โดยการบอกเตือนและแนะนำสิ่งดีดีให้แก่กัน

เราเป็นลูก ความดีพื้นฐานของความเป็นลูกก็คือ การเชื่อฟังพ่อแม่ การช่วยเหลือพ่อแม่ การเคารพต่อพ่อแม่ของเรา

นี่คือ การดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติแรกเริ่มของเรา

มีเรื่องเล่าว่า มีเด็กหญิง 4 คนนั่งอยู่ริมลำธารน้ำไหล ต่างก็กำลังโอ้อวดถึงมือของตนเอง เด็กหญิงคนแรกจุ่มมือสองข้างลงไปในน้ำไหล และพูดว่า “ดูสิ น้ำไหลผ่านมือของฉันส่องประกายราวกับเพชรส่องแสงระยิบระยับ” แล้วก็ยกมืออันอ่อนนุ่มและขาวผ่องของเธออวดเพื่อนๆ  เด็กหญิงคนที่สองไปเอาผลสตอเบอรี่มาและใช้มือสองข้างบีบแล้วจุ่มลงน้ำไหล น้ำจากผลสตอเบอรี่สีแดงไหลผ่านมือสองข้าง แล้วยกมือขึ้น “ดูสิ มือของฉัน” ช่างอ่อนนุ่มและเป็นสีชมพูงดงาม เด็กหญิงคนที่สามไปเก็บดอกไวโอเล็ต มาขยี้ กลิ่นของดอกไม้หอมติดมือ และเธอก็พูดว่า “ดูสิ มือของฉันช่างหอมเหลือเกิน” ส่วนเด็กหญิงคนที่สี่ ไม่กล้าจะชูมือ หรือยกมือขึ้นอวดเพื่อน ๆ เอามือวางไว้บนตัก หญิงชราวิเศษคนหนึ่งปรากฏมา พร้อมกับถามเด็กๆ ว่า มือใครสวยที่สุด เด็กหญิงสามคนต่างชูมืออันขาวสะอาด อ่อนนุ่มและกลิ่นหอมให้หญิงผู้วิเศษได้เห็นและตัดสิน แต่หญิงวิเศษส่ายหัว และหันไปดูมือเด็กคนที่สี่และขอดูมือ เธอยื่นมือออกมาอย่างอาย ๆ เพราะมือของเธอหยาบกระด้าง มือด้าน มือหนา เพราะผ่านการทำงานหนัก ช่วยล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน ตักน้ำ ทำกับข้าวช่วยงานบ้านแม่ มือนี่แหละที่สะอาดและงดงามที่สุด และหญิงชราวิเศษได้มองแหวนเพชรให้คนที่สี่ และพูดว่า “มือของเธอสวยที่สุด มือที่ช่วยเหลือคนอื่น มือที่หยิบยื่นความสุขให้คนอื่น” แล้วก็หายวับไป

มือที่งาม ไม่ใช่มือที่อ่อนนุ่ม ที่ไม่เคยช่วยเหลือใคร มือที่งดงามคือ ใจที่รับใช้คนอื่น

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แสวงบุญเวียดนามใต้ : วันแรกบ่ายๆ

วันที่ 27 กรกฎาคม 2015
บ่าย ที่เมืองวู๋งเต่า มีรูปปั้นพระเยซูเจ้าที่สูง ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง ถือว่า
เป็นรูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดในเอเซีย























ยิ่งใหญ่เหนือความยิ่งใหญ่
สูงสุด เหนือ ความสูงสุด
สุดยอด เหนือ ความสุดยอด
ไม่มีอะไรที่จะขวางกั้น
ความสูง ความยิ่งใหญ่ ความสุดยอดของรูปปั้นนี้ได้

แต่สูงเหนือสุดยอดสุด
ก็คือ หัวใจของมนุษย์
ที่ปรารถนาจะสรรเสริญพระเจ้า
ปรารถนาที่จะให้พระนามของพระเจ้าแผ่ขยายออกไป
ปรารถนาที่จะทำให้พระเจ้าเป็นหนึ่ง
เป็นศูนย์กลางของชีวิตของเขา

หัวใจที่แสดงออกถึงความเชื่อ
ความศรัทธาที่ไม่มีขอบเขต
เป็นสิ่งที่อยู่สูงสุด

แม้มนุษย์จะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ ในบรรดาสิ่งสร้าง
แม้หัวใจของมนุษย์จะเล็กๆ 
แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความศรัทธา
ในพระเจ้า
พระผู้ทรงยิ่งใหญ่ เหนือสิ่งอื่นใด


วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แสวงบุญเวียดนามใต้ : วันแรก

วันที่ 27 กรกฎาคม 2015
อีกฟากหนึ่งของเมืองไทย
ที่สนามบิน Tan Son Nhat เมืองนครหลวงโฮจิมินห์




รับประทานอาหารเที่ยง ณ โรงแรม Dic Star ที่เมืองวู๋งเต่า











เป้าหมายแรก

มาถึงเป้าหมายแรกด้วยความปลอดภัย
เป้าหมายต่อไปยังคงต้องก้าวต่อไปอีก

เป้าหมายแรกได้ถูกพิชิตแล้ว
ความสุข และความยินดีในความแปลกใหม่
ต่างที่ ต่างทาง ต่างคน ต่างเดิน ต่างกัน
การเรียนรู้ และการศึกษาต้องทำต่อไป

สิ่งหนึ่งที่สำคัญแห่งการเรียนรู้
คือการอยู่ด้วยกัน
ด้วยเทคโนโลยี
ด้วยการสื่อสาร
ด้วยตัวอยู่ ใจอยู่



แสวงบุญเวียดนามใต้ : การเดินทาง


วันจันทร์ ที่ 27 กรกฎาคม 2015
ที่สนามบินดอนเมือง

เดินทาง และรอคอย


















การเดินทาง
เป็นการออกจากที่เดิม ๆ  ออกจากความเป็นส่วนตัว
เพื่อเปิดตัวเองออกสู่โลกกว้าง
ในเส้นทางที่เราคาดหวังและตั้งใจ
แต่..ทุกอย่างต้องรอคอย
ทุกอย่างไม่ได้เป็นดังใจของเรา
การรอคอยและความอดทนจึงต้องคู่กันไป

การเดินทางเพื่อนร่วมทาง
เป็นผู้ที่สำคัญที่สุด
เพื่อนร่วมทางนำมาซึ่งความไว้วางใจและความสุข
นำมาซึ่งความยินดีและเสียงหัวเราะ
แม้จะรอคอยนานกว่าจะถึงเป้าหมาย
แต่เพื่อนร่วมทาง
นำความสุขและทำลายเวลาไปได้

ผู้นำทาง
เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่จะคอยแนะนำ 
และชี้บอกเส้นทางที่ถูกต้องและตรงให้กับเรา

ผู้นำทางที่ดี
ต้องรู้จักเส้นทางและอยู่กับผู้เดินทางตลอดเวลา
มีความห่วงใยผู้ร่วมเดินทางเสมอ