BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2561

อัครสาวกของพระเยซูเจ้า


อัครสาวกของพระเยซูเจ้า

มก 6:7-13


เอกลักษณ์ของอัครสาวกก็คือ "การเชื่อฟังต่อพระเยซูเจ้า" "การซื่อสัตย์ต่อเสียงของพระเยซูเจ้า"
เพราะเปรียบเสมือนการมอบตนเองทั้งครบแด่พระเจ้า เปรียบเสมือนการมอบความไว้วางใจทั้งหมดแด่พระองค์ อีกทั้งเป็นการแสดงออกถึงการสละน้ำใจตนเองเพื่อพระเยซูเจ้าอีกด้วย

สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา หลังจากที่บรรดาอัครสาวกทำตามเสียงของพระเยซูเจ้า ก็คือ ความรอดพ้น

วันนี้ พระเยซูเจ้าสั่งบรรดาสาวก ว่า

1. มิให้นำสิ่งใดไปด้วย ยกเว้นไม้เท้า
2. ไม่ให้มีอาหาร
3. ไม่ให้มีย่าม
4. ไม่ให้มีเศษเงินใส่ไถ้
5. ให้สวมรองเท้าได้
6. ไม่ให้เอาเสื้อสำรองไปด้วย

สิ่งเหล่านี้ จำเป็นสำหรับการเดินทาง จำเป็นสำหรับการทำภารกิจของพระเยซูเจ้า ในการไปยังหมู่บ้าน และสถานที่ต่าง ๆ และไกลๆ

แต่พระเยซูเจ้าทรงกำชับ ให้ไว้ใจในพระองค์ และให้เชื่อมั่นในพระองค์ เพราะนี่คืองานของพระองค์ ไม่ใช่งานของเรา เราเป็นเพียงเครื่องมือ และทำตามที่พระองค์ทรงสั่ง เท่านั้น

ความเชื่อฟัง มีคุณค่ามากกว่า อาหาร หรือ ความสะดวกสบายในโลกนี้
ความเชื่อฟัง มีคุณค่ามากกว่า การทำตามอำเภอใจ
ความเชื่อฟัง มีคุณค่ามากกว่า ความถูกต้องตามประสาโลก
ความเชื่อฟัง มีคุณค่ามากที่สุดของชีวิตเรา




วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561

ความเชื่อกับการรักษาโรค


ความเชื่อกับการรักษาโรค

มก 5:21-43

ความเชื่อของคนที่ขาดกำลังใจ คนที่หมดหวังจะมีพลังมากกว่าคนปกติหลายเท่า เนื่องจากความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจะทำให้จิตใจแข็งแกร่งมากขึ้นในบุคคลหรือสิ่งที่หวัง เช่น คนที่ไม่นับถือพระเจ้า เขามั่นใจในวัตถุต่าง ๆ และวางใจในวัตถุชิ้นๆ ว่าจะช่วยเขาให้หายจากโรคภัยต่างๆ ได้ ซึ่งความจริงไม่ใช่เลย วัตถุต่างๆ  ไม่มีอำนาจที่จะรักษาและเยียวยาได้ ไม่มีอำนาจใดที่จะทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ได้ ความเชื่อที่บุคคลมีจึงกลายเป็นความงมงาย และไร้ประโยชน์

วันนี้ ผู้ที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นได้ จากความเจ็บไข้ได้ป่วย แม้แต่จากความตาย นักบุญมาระโกนำเสนอ พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนเจ็บไข้ทุกชนิด ทุกโรคภัย เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้มีอำนาจ พระองค์ไม่ใช่วัตถุสิ่งของที่มนุษย์คิดว่าศักดิ์สิทธิ์ แต่พระองค์ทรงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ และอำนาจอยู่ในพระองค์

หญิงที่เข้ามาขอความช่วยเหลือด้วยการคิดว่า "แค่สัมผัสฉลองพระองค์ ก็จะหายจากโรค" และเมื่อนางกระทำเช่นนั้น นางก็หายจากโรค มิใช่เพราะเสื้อของพระองค์มีฤทธิ์ แต่เป็นพระองค์ คือพระเยซูเจ้าที่ทรงรักษานางให้หายจากความทุกข์ทรมาน และความเจ็บปวด

ชายที่เข้ามาขอความช่วยเหลือเพื่อลูกสาวที่เจ็บป่วยและปางตาย และตายแล้วนั้น พระเยซูเจ้าย้ำว่า ให้มีความเชื่อ ให้มีความเชื่อในพระองค์ เพราะความเชื่อนี่แหละจะช่วยให้เด็กหายป่วย จะช่วยให้เด็กมีชีวิต เมื่อผู้เป็นบิดามีความเชื่อ พระองค์ก็ทรงทำอัศจรรย์นั่นคือ เรียกเด็กที่ตายไปแล้วให้กลับมีชีวิตอีก

ความเชื่อในพระเยซูเจ้า เป็นพลังให้เราสามารถพ้นจากความทุกข์ยาก  ความเจ็บป่วย ความทุกข์ทรมานในโลกนี้ได้ เพราะพระองค์ทรงเคียงข้างเราในเวลาที่มีความยากลำบากเสมอ สิ่งสำคัญคือ การที่เราจะต้องอยู่กับพระองค์ มีชีวิตในพระองค์  ร่วมมือกับพระองค์


วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561

ปีศาจชื่อกองพล


ปีศาจชื่อกองพล
มก 5:1-20


ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพระวรสารนักบุญมาระโก คือ พระเยซูเจ้าได้พบกับคนถูกปีศาจสิง และพระองค์สั่งให้ปีศาจออกจากชายคนนี้ มันกลัวและอ้อนวอนต่อพระองค์ พระองค์ถามว่ามันชื่ออะไร ปีศาจตอบว่า มันชื่อ "กองพล " ทำไมจึงชื่อนี้ ก็เพราะว่า มันอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม พระเยซูเจ้าได้ขับไล่มันออกไป มันจึงขออนุญาตไปสิงในหมูฝูงหนึ่ง และหมูฝูงนั้นก็กระโจนหน้าผาตายสิ้น


จากเหตุการณ์นี้ เราเห็นได้ว่า พระเยซูเจ้าทรงมีอำนาจเหนือทุกสิ่งอย่างแท้จริง ผี ปีศาจต่างก็ต้องอยู่ใต้อำนาจของพระองค์  พระเยซูจเจ้าสามารถขับไล่มันได้ แสดงว่า พระองค์มีอำนาจเหนือมัน และมันไม่สามารถต่อกรกับพระเจ้าได้เลย

จากเหตุการณ์นี้ เราเห็นได้ว่า ปีศาจชื่อกองพล เพราะมันอยู่กันเป็นจำนวนมาก ปีศาจอยู่ในชีวิตของเรามีมากมาย และไม่ใช่ตนเดียว และมีหลายตน เราจะต้องพึงระวังไว้ให้ดี อย่าให้โอกาสแก่มันในการหลอกลวงเรา  อย่าเปิดโอกาสให้แก่มันเข้ามาสู่จิตใจของเรา เพราะปีศาจไม่ได้อยู่ตามลำพัง แต่อยู่กันเป็นจำนวนมาก 

เราจะสังเกตุว่า เมื่อเราตกในบาปอย่างหนึ่ง เราก็จะตกในบาปอีกอย่างหนึ่งได้ง่ายมาก ง่ายกว่าการประจญอย่างแรกเสียอีก เพราะปีศาจไม่อยู่ตามลำพัง

เมื่อทำบาปอย่างหนึ่ง บาปอีกอย่างหนึ่งจะตามมาทันที เช่น เมื่อเราโกรธ ความรุนแรงจะเกิดขึ้นทันที ทั้งกับตนเอง และกับคนอื่น หรือคนที่อยู่รอบข้าง

พึงระวัง และต้องหาที่พึ่งเพื่อจะสามารถเอาชนะการประจญ การล่อลวงของปีศาจได้ 
สิ่งที่เราจะต้องแสวงหาก็คือ พระเจ้า  การอยู่ฝ่ายพระเจ้า การเลือกพระเจ้า การเปิดใจให้พระเจ้าเข้ามาสู่จิตใจของเรา เท่านี้ ปีศาจก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้ ไม่ว่าจะมาเป็นกองพล หรือ กองทัพ มันก็จะต้องกองกันอยู่แทบพระบาทของพระเยซูเจ้า และศิษย์ของพระองค์ที่ทรงเลือก


อาทิตย์ สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา ปี B



บทอ่านที่ 1

พูดถึงกระแสเรียกของการเป็น "ประกาศก"  นั่นคือ ประกาศกได้รับการเรียกและการแต่งตั้งจากพระเจ้า และ ประกาศกจะพูดในนามขององค์พระผู้เป็น พระเจ้าจะเปิดเผยสารของพระองค์ผ่านทางประกาศกของพระองค์ เพื่อพูดกับประชากรของพระองค์

พระเจ้าตรัสว่า "จงเชื่อฟังประกาศก เพราะถ้อยคำของพระเจ้าอยู่ในปากของเขา"

บทอ่านที่ 2

กระแสเรียกมุ่งสู่ความศักดิ์สิทธิ์ ทั้งผู้ที่ไม่แต่งงานและผู้ที่แต่งงาน จะต้องตระหนักว่า ชีวิตของตนเองได้รับการเรียกมุ่งสู่ความศักดิ์สิทธิ์ตามฐานะของตนเอง

หมายความว่า ชีวิตแต่งงานจะต้องดำเนินชีวิต ทั้งครอบครัวไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ พ่อ-แม่-ลูก จะต้องดำเนินชีวิตไม่ใช่แค่สาละวนกับชีวิตทางโลกนี้เท่านั้น แต่จะต้องตระหนักถึงความจริงของชีวิตแท้ด้วย นั่นคือ การมุ่งไปสู่ชีวิตกับพระเจ้า

ชีวิตแต่งงาน จะต้องชิดสนิทกับพระเจ้า ผ่านทาง การปฏิบัติศาสนกิจอย่างดี การภาวนาอย่างสม่ำเสมอ จะต้องดำเนินชีวิตตามแนวทางของพระศาสนจักร หมายถึง การปฏิบัติตนในศีลธรรมจริยธรรมของคริสตศาสนา

พระวรสาร

พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนอย่างผู้ทรงอำนาจ เพราะนี่คือพระวาจาของพระเจ้า นี่คือพระวาจาที่บันดาลชีวิต และเป็นพระวาจาที่ทำให้ชีวิตของเราชิดสนิทกับพระเจ้า

และในพระวาจานั้น ปีศาจ ไม่สามารถที่จะรับฟังพระวาจาของพระองค์ได้ ปีศาจได้ถูกขับไล่ออกไปจากชายคนหนึ่งที่ปีศาจสิงอยู่ แค่พระองค์ตรัสปีศาจก็สิ้นฤทธิ์

นี่คืออำนาจแห่งพระวาจาของพระเจ้า

พี่น้อง พระสงฆ์คือ ผู้แทนของพระเจ้า ทำหน้าที่เป็นเหมือนประกาศกของพระเจ้า ในการเทศน์สอน ในการประกาศข่าวดี เป็นพระวาจาของพระเจ้าที่ดำรงอยู่ และพระวาจานี้ย่อมเกิดผล พระสงฆ์เทศน์สอนในนามของพระเยซูเจ้า พระสงฆ์เทศน์สอนเพื่อให้พระวาจาของพระเจ้าแผ่ไปสู่ทุกคน

พี่น้องเป็นสงฆ์แห่งศีลล้างบาป การประกาศพระนามของพระเจ้า การประกาศพระวาจาของพระเจ้าในชีวิตประจำเป็นการทำงานของพระเจ้าที่พระองค์ตรัสกับเรา พระวาจาที่เรานำไปบอกเตือนกันและกัน เป็นพระวาจาที่ทรงอำนาจ เป็นพระวาจาทีทรงฤทธิ์

จงเชื่อฟังพระวาจาของพระเจ้า จงนำพระวาจาของพระเจ้าไปสู่ทุกคน จงให้พระวาจาของพระเจ้าขับไล่ปีศาจในตัวของเรา จงเปิดตัวเองออกสู่พระวาจาของพระเจ้า


วันศุกร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2561

ระลึกถึง น.ทิโมธิ และ น.ทิตัส พระสังฆราช

ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก..
ลก 10:1-9


พระเยซูเจ้าได้เรียกศิษย์ 72 คนให้อยู่กับพระองค์ และทรงส่งพวกเขาออกไปประกาศข่าวดีแก่มวลมนุษย์ เราเห็นทุ่งนาในฤดูทำนา ข้าวเขียวขจี  เราเห็นทุ่งนาในฤดูเก็บเกี่ยว ข้าวเหลืออร่าม แน่นอนทุกบ้าน ทุกครอบครัวย่อมช่วยกันเก็บเกี่ยวข้าวของตนให้เสร็จก่อนที่ข้าวจะสุกงอม และร่วงหล่น การเก็บเกี่ยวข้าวจะต้องทำอย่างรีบเร่ง จะช้าไม่ได้ หากช้าเกินไป การจะได้ผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วยคงไม่ได้


พระเยซูเจ้าทรงมองดูมนุษย์ มองดูคนที่ยังไม่รู้จักหนทางของพระเจ้า เหมือกับข้าวที่กำลังรอการเก็บเกี่ยว หากไม่รีบ ไม่เร่ง ข้าวที่สุกงอมก็จะร่วงหล่มสู่พื้นดิน เช่นเดียวกัน หากไม่รีบเร่งในการประกาศข่าวดี ในการออกไปประกาศถึงพระอาณาจักรของพระเจ้าให้ทุกคนได้ทราบ ได้รู้ ได้เข้าใจ อาจจะทำให้หลายต่อหลายคนร่วงหล่น และไม่ได้รับข่าวดี


พระองค์จึงแต่งตั้งและส่งศิษย์ของพระองค์ออกไปประกาศข่าวดีให้กับทุกคน


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราจะทำได้ในฐานะที่เราเป็นศิษย์ของพระองค์ก็คือ การดำเนินชีวิตเป็นประจักษ์พยาน การดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระเจ้า ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและสม่ำเสมอในการปฏิบัติศาสนกิจ นี่คือการประกาศข่าวดี

หลายครั้งในการดำเนินชีวิตของเรา เรามุ่งเน้น แสวงหา และกังวลใจในเรื่อง เงินทอง เรื่องปากเรื่องท้อง
พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า ในการประกาศข่าวดีอย่ากังวลใจ อย่าเอาเงินเป็นตัวหลักในชีวิต  อย่าสนใจสิ่งที่จะทำให้เสียเวลา แต่จงตั้งใจที่จะช่วยคนอื่นให้รอด ด้วยการประกาศข่าวดีของพระองค์

ข้าวที่มีมาก รอการเก็บเกี่ยว ให้เราภาวนามากๆ เพื่อพระเจ้าจะได้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยว
เพื่อทุกคนจะได้รอดพ้น ก่อนที่จะร่วงหล่นถึงพื้นดิน




วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2561

ฉลองการกลับใจของนักบุญเปาโล อัครสาวก

ฉลองการกลับใจของนักบุญเปาโล อัครสาวก


วันนี้ เราได้เห็นถึงสิ่งยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าที่ได้กระทำในชีวิตของนักบุญเปาโล นั่นคือ พระองค์ทรงเรียกเปาโลให้มาเป็นศิษย์ของพระองค์ และได้มอบพันธกิจให้ คือ การนำพระนามของพระองค์ไปสู่มวลมนุษย์ การเรียกคนหนึ่งให้มาติดตามพระองค์นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งคนที่มีใจเกลียดชังด้วยแล้ว ยิ่งยากมากขึ้น เช่นเดียวกับการที่พระเยซูเจ้าทรงเลือกเซาโลมาเป็นศิษย์ โดยเปลี่ยนแปลงเขาจากผู้ที่เบียดเบียนคริสตชน มาเป็น ผู้ที่เชื่อและประกาศพระนามของพระเยซูเจ้า นี่ย่อมทำให้เราเห็นว่า เป็นเรื่องพิเศษ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา

ในบทสนทนาระหว่างพระเยซูเจ้ากับเซาโล ทำให้เราเห็นว่า การกลับใจ นั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการกลับใจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จากตัวเอง สู่สังคม และสู่โลก

 “เซาโล เซาโล เจ้าเบียดเบียนเราทำไม?”  “พระเจ้าข้า พระองค์คือใคร?” “เราคือเยซูชาวนาซาเร็ธ ซึ่งเจ้ากำลังเบียดเบียนอยู่” “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำอย่างไร?”

เซาโลกลับใจ ได้รับศีลล้างบาป และกลายเป็นคนหัวใจใหม่ (ไม่ใช่หัวใจอันใหม่) เป้าหมายใหม่ พันธกิจใหม่ คือ แทนที่จะพยายามแสวงหาคริสตชนเพื่อจับกุม เพื่อนำมาขังคุก ลงโทษ แต่เป็นการแสวงหาคริสตชนเพื่อยืนยันความเชื่อในองค์พระเยซู ประกาศข่าวดีถึงพระเยซูเจ้าแก่บรรดาผู้นับถือศาสนาอื่น เพื่อให้พวกเขาได้รู้จักพระเยซูเจ้า เหมือนอย่างที่ท่านได้รู้จัก ได้เชื่อ และได้มอบชีวิตทั้งหมดให้แก่พระองค์ ให้แก่งานของพระองค์

ดังนั้น เปาโลมีหัวใจใหม่ ก็คือ หัวใจของพระเยซูเจ้า ท่านได้เดินทางประกาศข่าวดีถึงการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า ท่านได้เป็นพยานต่อหน้าคนต่างศาสนา ต่อหน้าคนที่ไม่ต่อต้าน ท่านไม่กลัวสิ่งใดเมื่อทำหน้าที่ในการประกาศข่าวดี “ไม่ว่าเรามีชีวิตอยู่หรือตาย เราก็เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (รม 14:8) ชื่อของพระเยซูเจ้าได้แผ่ขยายออกไปสู่คนต่างศาสนาก็เพราะ หัวใจที่กระตือรือร้นของท่านนักบุญเปาโล แต่อย่าเข้าใจผิดว่า งานของนักบุญเปาโลสำเร็จไปได้ด้วยความสามารถของท่านเอง “ข้าพเจ้าต่อสู้มาอย่างดีแล้ว ข้าพเจ้าวิ่งมาถึงเส้นชัยแล้ว ข้าพเจ้ารักษาความเชื่อไว้แล้ว เหลือแต่มงกุฏแห่งความชอบธรรม ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานให้..” 2ทม 4:7

นี่แหละจึงบอกว่า “การกลับใจของเราทำให้โลกรอบๆ ตัวของเรา

เปลี่ยนแปลง”


ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง หรือ การกลับใจ 

ขั้นแรกก็คือ การฟังเสียงความจริง (“เซาโล เซาโล เจ้าเบียดเบียนเราทำไม”) 

ขั้นที่สอง คือ การแสวงหาความจริงที่แท้จริง (“พระองค์คือใคร?” “เราคือเยซูซึ่งเจ้ากำลังเบียดเบียนอยู่”) 

ขั้นที่สามคือ การเปลี่ยนไปสู่ความจริงที่แท้จริง (“ข้าพเจ้าต้องทำอะไร?”)

ลงมือทำตั้งแต่บัดนี้ เริ่มต้นใหม่ เสมอ

วันอังคารที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2561

พระวาจาและการเกิดผล


พระวาจาและการเกิดผล
มก 4:1-20


พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมา คือ มีชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช บางเมล็ดตกริมทางเดิน นกก็จิกกิน บางเมล็ดตกบนพื้นหินมีดินเล็กน้อย งอกขึ้นทันที แต่ถูกแดดเผา และเหี่ยวแห้งไป บางเมล็ดตกในพงหนาม ไม่เกิดผล เพราะหนามคลุมไว้ บางเมล็ดตกในที่ดินดี งอกขึ้นและเติบโต...


จะสังเกตว่า เมล็ดพืชจะเกิดผลได้เมื่อมีดิน...เพราะดินมีพลัง และทำให้เมล็ดพืชงอกขึ้นได้โดยธรรมชาติของตัวมันเอง


พระวาจาที่เราได้ยิน ได้ฟัง จะเกิดผลได้ เมื่อเรามีใจ..เพราะจิตใจเป็นแหล่งพลัง ที่จะทำให้พระวาจาบังเกิดผลในการกระทำ


ใจที่ต้อนรับพระวาจา..จะเกิดผลร้อยเท่า เมื่อใจบริสุทธิ์ นั่นคือ ใจที่พร้อมให้พระวาจาเกิดผล ใจที่พร้อมจะปฏิบัติตามพระวาจา ใจที่ยินยอมให้พระวาจานำทาง ใจที่พร้อมหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระวาจา


ใจที่โลเลและมีภาระ ใจที่แข็งกระด้างและเป็นกังวล ในที่ไม่บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็น พระวาจาจะเกิดผลได้อย่างไร? ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ฉันใดก็ฉันนั้น พระวาจาจะเกิดผลไม่ได้ หากเราไม่ได้ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระวาจาของพระเจ้า เช่นเดียวกัน หากเมล็ดไม่ยอมสลายตนเอง ไม่ยอมละลายตัวเองเป็นหนึ่งเดียวกับดิน เมล็ดนั้นก็คงเกิดผลไม่ได้ เติบโตไม่ได้


ดังนั้น สิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการเน้นย้ำมีเพียงสิ่งเดียวคือ การฟังพระวาจาของพระเจ้าและนำพระวาจานั้นไปปฏิบัติสิ่งที่ตามมา คือ การเกิดผล


ผลที่เกิดจากการปฏิบัติตามพระวาจา ไม่ว่าจะกี่เท่าก็ตาม พระเจ้าทรงพอพระทัยเสมอ พระองค์พอพระทัยที่เรานำพระวาจาของพระองค์ไปปฏิบัติ...




วันจันทร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2561

มารดาและพี่น้องของพระเยซูเจ้า


มารดาและพี่น้องของพระเยซูเจ้า
 มก 3:31-35


คำถามของพระเยซูเจ้าที่ว่า "ใครเป็นมารดาและพี่น้องของเรา" และคำตอบของพระองค์ โดยที่ไม่ต้องรอให้เราคิด หรือไม่ต้องรอให้เราตอบ คำตอบของพระองค์ก็คือ "นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา ผู้ใดทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา"


พระเยซูเจ้าทรงต้องการเน้นย้ำว่า "เราทุกคนคือพี่น้องกัน" "เราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน" "เราทุกคนมีพระบิดาเดียวกัน"


นี่คือสายสัมพันธ์แห่งความจริง ที่เป็นความจริง เพราะว่า หากเรามองตั้งแต่แรกเริ่มการสร้างโลก พระเจ้าทรงสร้างชายและหญิง และทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวแรกที่พระเจ้าทรงสถาปนาขึ้น นั่นคือความจริงที่ว่า เราทุกคนมาจากพระเจ้า


ความจริงที่ว่า เราเป็นพี่น้องกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกัน และเรามีพระบิดาเดียวกัน ก็เป็นจริง พระเยซูเจ้าย้ำชัดว่า ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า คือพี่น้องของพระองค์  เพราะพระเยซูเจ้าเองเสด็จมาในโลกเพื่อเป็นแบบอย่างและนำเราทุกคนให้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดา

เพื่อจะได้รอดพ้น เพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร เพื่อจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์

ความสำนึกนี้ จะนำเราทุกคนเดินในหนทางของพระเจ้าและจะมุ่งสู่ความศักดิ์สิทธิ์ ครบครันมากขึ้น
ความสำนึกนี้ โลกจะมีสันติสุข จะมีสันติภาพ จะมีความปรองดองกัน

ความเป็นพี่เป็นน้อง และความเป็นครอบครัวเดียวกัน  สำคัญมาก เพราะสายตาที่มองพี่มองน้องจะแตกต่างจากสายตายของคนแปลกหน้า  สายตาแห่งความรัก ความเข้าใจ และการช่วยเหลือกันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

พี่ต้องช่วยน้อง น้องต้องแบ่งเบาพี่ ทุกคนต่างช่วยกันและกันในความเป็นครอบครัวเดียวกัน