BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2562

อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต ปีC

บทเทศน์



ใครคือคนดี?


อุปมาเรื่องบิดาผู้ใจดี หรือ ลูกล้างผลาญ ทำให้เราได้มองเห็น “คน” ในอีกแบบหนึ่งที่เป็นความจริง ไม่สามารถแก้ตัวได้ “คน”ที่ว่านี้ มีลักษณะอย่างไร?

อย่างแรก “คน” ที่เป็นแบบลูกชายคนเล็ก ในพฤติกรรมที่แสดงออกถึง การประพฤติตนเสเพล กินเที่ยว ใช้จ่ายฟุ่มเฟื่อย หนีออกจากบ้านเพื่อหาความสุขใส่ตัวเอง สนุกสนานในชีวิต ไม่สนใจอนาคตของตนเอง ใช้เงินซื้อทุกสิ่งเพื่อปรนเปรอความต้องการของตนเอง คนประเภทนี้ในสังคมเรียกว่า คนชั่ว คนไม่ดี ควรประนาม ควรตำหนิ หรือควรตักเตือนไหม?

อย่างที่สอง “คน” ที่เป็นแบบลูกชายคนเล็ก ในพฤติกรรมที่แสดงออก เมื่อพบเจอความทุกข์ยากลำบาก ดิ้นรน ต่อสู้ แสวงหา ทำงานหนักเพื่อเอาชีวิตให้รอด ทนทุกข์ มากมาย จากมีมาก กลายเป็นคนไม่มีอะไรเลย และเมื่อความทุกข์ถึงขีดสุด คิดถึงพ่อ คิดถึงครอบครัว คิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน และตั้งใจว่าจะทำตัวให้ดี ตั้งใจจะกลับเนื้อกลับตัว ตั้งใจจะไม่ทำความเดือดร้อนอีก ตั้งใจ ด้วยความสำนึกที่แท้จริง  คนประเภทนี้สังคมเรียกว่า คนชั่วกลับใจ  ควรให้อภัยไหม? ควรให้โอกาสอีกสักครั้งไหม?

อย่างที่สาม “คน” ที่เป็นแบบลูกชายคนโต ในพฤติกรรมที่แสดงออก ดำเนินชีวิตอยู่กับพ่อ ทำงานให้กับพ่อ ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ทำให้พ่อเสียใจ ขยันทำงานตามหน้าที่ ทำงานด้วยความรับผิดชอบ อยู่บ้านดูแลพ่อ คนประเภทนี้ในสังคมเรียกว่า คนดี ควรได้รับการยกย่อง ควรได้รับการสรรเสริญ

อย่างที่สี่ “คน” ที่เป็นแบบลูกชายคนโต ในพฤติกรรมที่แสดงออก อิจฉาน้องชายที่กลับมา ตำหนิพ่อที่ให้โอกาสน้องตัวเอง ไม่ยอมให้อภัยน้องที่ทำผิด น้อยใจและผิดหวังกับการแสดงออกของพ่อที่มีต่อน้องชาย ไม่ยอมรับน้องชาย หรือ รับไม่ได้กับพฤติกรรมที่น้องกลับใจ คนประเภทนี้สังคมเรียกว่า คนใจแคบ คนขี้อิจฉา ควรประนามไหม?

อย่างไรก็ตาม พ่อก็รักลูกทั้งสองคน พ่อก็รักลูกทุกคน แบบอย่างความรักของพ่อที่ให้แก่ลูกๆ ก็คือ ความรักที่ไม่มีขอบเขต ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ความรักที่พร้อมจะให้อภัยเสมอ ไม่มีขีดจำกัด แม้ว่าลูกชายคนเล็กจะทำตัวเสเพล แต่ก็ยังรอคอยให้เขากลับเนื้อกลับตัว และดีใจที่ลูกกลับมาบ้าน แม้ว่าลูกชายคนโตจะอยู่ด้วยกันและต่อว่าพ่อ แต่พ่อก็รอคอยให้เขาเข้าใจความรักของพ่อที่มีต่อลูกๆทุกคน

นี่แหละ ความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2562

นโยบายปฏิบัติ ปีการศึกษา2562





นโยบายปฏิบัติ
โรงเรียนเซนต์ยอแซฟมุกดาหาร
ปีการศึกษา 2562

“ก้าวไปด้วยกัน”  Walk together

ใครก้าว? (บุคคล)          คณะผู้บริหาร คณะครู บุคลากรทางการศึกษา นักเรียน ผู้ปกครอง พนักงาน
ก้าวไปไหน? (เป้าหมาย)   ก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ (คุณธรรม ความรู้ ความสุข)
ก้าวอย่างไร? (วิธีการ)     มองภายใน (ตนเอง) มองภายนอก (สังคม-โลก) และลงมือทำด้วยกัน
ก้าวทำไม? (แรงจูงใจ)     เพื่อพัฒนา เติบโตและมีชีวิตที่ดี

"I Can Do Things You Cannot, You Can Do Things I Cannot;
Together We Can Do Great Things." – Mother Teresa

คณะผู้บริหารและหน้าฝ่ายทุกฝ่ายร่วมมือทำงานด้วยกันในการพัฒนาโรงเรียน  ทุกระดับชั้นและทุกกลุ่มสาระจะต้องสนับสนุนและส่งเสริมกันและกัน ทุกคนงานทำตามหน้าที่ของตน เพื่อความดีของส่วนรวม

1.      ฝ่ายธุรการ-การเงิน  เก็บรักษา หาเงินทุน สร้างผลกำไร  ทำอย่างไรเพื่อโรงเรียนมีเงินอย่างเพียงพอต่อการพัฒนาบุคลากรและสภาพแวดล้อม

2.      ฝ่ายบริหารงานทั่วไป  สภาพแวดล้อมสะอาดเป็นระเบียบ  ทำอย่างไรที่จะจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ นักเรียนเรียนมีความสุข ครูสอนมีความสุข

3.      ฝ่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาและบุคลากร  สร้างพลังใจและพัฒนาศักยภาพ ทำอย่างไรที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับโรงเรียน ครูมีคุณภาพ นักเรียนมีความ

4.      ฝ่ายวิชาการ     นักเรียนอ่านออกเข้าใจ เขียนได้เขียนสวย  และทุกสนามแข่งขันจะต้องได้รางวัล สร้างจุดเด่น ทุกคนยอมรับ

5.      ฝ่ายกิจการนักเรียน       ระเบียบวินัยและความเงียบ หล่อหลอมระเบียบวินัยให้ครู นักเรียนและผู้ปกครอง

6.      ฝ่ายปฐมวัย      ใจดีกับนักเรียน ให้เกียรติกับผู้ปกครอง  แต่ใช่ไม่ตามใจนักเรียน หรือเอาใจผู้ปกครอง



  ลงวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2562

  



  บาทหลวงวิโรจน์  โพธิ์สว่าง
ผู้จัดการโรงเรียนเซนต์ยอแซฟมุกดาหาร



วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2562

อาทิตย์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต ปี C




บทเทศน์
อาทิตย์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต ปี C



พี่น้องที่เคารพรัก ในวันอาทิตย์สัปดาห์นี้ พระวาจาของพระเจ้าต้องการเน้นย้ำให้คริสตชนดำเนินชีวิตตามหนทางของพระเจ้า เพื่อจะได้รับการอวยพร และเพื่อจะได้มีชีวิตในพระองค์

บทอ่านที่1 ได้พูดถึงตัวอย่างของบุคคลที่เชื่อฟังพระสรเสียงของพระเจ้า นั่นคือ อับราม หรือ อับราฮัม บุรุษผู้เปี่ยมไปด้วยความเชื่อและความวางใจในพระเจ้า วันนี้เราได้เห็นพระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับอับรามว่า พระองค์จะทำให้เชื้อสายของอับรามทวีจำนวนมากมายดุจดวงดาวบนท้องฟ้า และมอบแผ่นดินที่อุดมไปด้วยน้ำนมและน้ำผึ้งให้เป็นมรดกสำหรับลูกหลานของเขา

พระเจ้าได้อวยพรอับราม เพราะความเชื่อฟัง เพราะการดำเนินชีวิตตามหนทางของพระเจ้า เพราะมอบชีวิตไว้ในความดูแล และนำทางของพระเจ้า

ตัวอย่าง ชัดเจน ตั้งแต่ พระเจ้าทรงเรียกอับรามออกจากครอบครัว คำสัญญาว่าจะให้มีบุตร แม้จะต้องใช้เวลานานก็ตาม การนำอิสอัคเป็นเครื่องบูชา กิจการเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยความเชื่อฟัง การฟังเสียงของพระเจ้าเท่านั้น จึงจะเกิดขึ้นได้

ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าทรงพาศิษย์ขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนา พระองค์ทรงแสดงพระพักตร์ในลักษณะที่งดงาม รุ่งโรจน์ มีแสงเจิดจ้า เสื้อผ้าเปลี่ยนไปขาวสะอาด และประกาศกอิสยาห์ กับ โมเสสได้ปรารฎมาสนทนาร่วมกับพระเยซูเจ้า สิ่งสำคัญที่น่าคิดไตร่ตรองก็คือ เปโตรเมื่อเห็นพระเยซูเจ้า โมเสส และเอลียาห์ เขาเห็นความสุข อยากจะสร้างพับพลาขึ้น 3 หลัง เพื่อจะได้อยู่ที่นี่ ไม่ต้องไปไหน

ในเหตุการณ์นี้มีความหมายว่า บรรยากาศแห่งความสุขสามารถพบได้จาก การที่มนุษย์ฟังเสียงของประกาศก นั่นคือเอลียาห์  นั่นคือ การฟังเสียงความถูกต้อง ฟังเสียงของความจริง  นอกจากนี้มนุษย์จะพบความสุขได้จากการทำตามกฎเกณฑ์ กฎหมาย ระเบียบวินัย (โมเสส) เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้าที่มอบให้มนุษย์ ให้มนุษย์ดำเนินชีวิตที่ถูกต้องและตามหนทางของพระเจ้า

เพราะเหตุนี้ มนุษย์จะสัมผัสความสว่าง รุ่งโรจน์ ได้ต้องผ่านการถือกฎระเบียบ พระบัญญัติ ต้อเปลี่ยนแปลง กลับใจดำเนินชีวิตามพระประสงค์ขอพระเจ้า

และสุดท้ายสิ่งสำคัญที่สุด ก็คือ “ท่านผู้นี้เป็นบุตรของเรา..จงฟังท่านเถิด”  นี่คือเสียงสำคัญที่สุด นี่คือความเป็นจริงที่เราจะต้องดำเนินชีวิต ในการฟังเสียงของพระเจ้า

ฟังเสียงของพระเจ้า และนำไปปฏิบัติตาม แล้วเราจะสัมผัสกับความสุข

นักบุญเปาโล ย้ำชัดและยืนยันอย่างชัดเจน ให้เรายึดองค์พระคริสตเจ้าเป็นศูนย์กลางของชีวิต ให้ยึดพระเยซูเจ้าไว้ และดำเนินชีวิตตามที่พระองค์ทรงสอน แล้วจะได้รับชีวิตนิรันดร



วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2562

วันอาทิตย์สัปดาห์ที่1 มหาพรต




ปีศาจทดลองพระเยซูเจ้า ผลก็คือ พ่ายแพ้



พระวาจาของพระเจ้าในสัปดาห์ที่1 เทศกาลมหาพรต พระศาสนจักรเริ่มต้นด้วยการทำให้เราเห็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะต้องมีการประจญ หรือ การทดลองจากปีศาจเสมอ แม้แต่พระเยซูเจ้าก็เช่นกัน พระองค์ก็ถูกประจญจากปีศาจ

ทำไมพระเยซูเจ้าถูกประจญ? ทำให้เราเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์แท้ และอาศัยความซื่อสัตย์และการพึ่งพาพระเจ้า ทำให้พระองค์ชนะ ชนะการประจญ ชนะปีศาจอย่างสิ้นเชิง แม้จะเอาชนะการประจญในครั้งนี้ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าการประจญจะหมดไป แต่เชื่อแน่ว่า หากผู้ที่ซื่อสัตย์และยึดมั่นในพระเจ้า เขาก็จะไม่ต้องกลัวอะไร เพราะเขาจะเอาชนะแน่นอน แต่หากเขาไว้ใจในตนเอง เขาอาจจะพ่ายแพ้ แต่พระเยซูเจ้าทรงทำให้เห็นว่า พระองค์ทรงไว้วางใจในพระเจ้า

มีอะไรบ้างที่เป็นการประจญต่อพระเยซูเจ้า

เรื่องแรก คือ เรื่องปากท้อง อาหารการกิน “เสกก้อนหินให้เป็นขนมปัง” โลกนี้ สอนว่า จงแสวงหาเงินทอง แล้วจะสบาย เพราะเงินทองซื้อทุกสิ่งได้ เงินทองทำให้เกิดความสุขได้.. และทุกคนจึงมุ่งทำงาน แสวงเงินทองจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ถึงขั้นที่บอกว่า โลกนี้เท่านั้นเป็นโลกที่แท้จริง ยิ่งแสวงหายิ่งหิวโหย

จะเอาชนะได้อย่างไร? จะชนะด้วยการกินพระวาจาของพระเจ้า นั่นคือ การนำพระวาจาของพระเจ้าไปดำเนินชีวิต พระวาจาที่ทำให้จิตใจของเราอิ่ม ทำให้เรามองเห็นว่าอะไรสำคัญที่สุดในชีวิต และอะไรที่จะนำเราไปพบกับความสุขนิรันดร ความสุขที่แท้จริง พระวาจาจะทำให้เราลดความหิวกระหายเงินทอง แต่จะทำให้เราอิ่มในความสัมพันธ์

เรื่องที่สอง คือ รื่องชื่อเสียงเกียรติยศความรุ่งเรือง “สิ่งต่างๆเหล่านนี้จะเป็นของท่าน กราบเราสิ” โลกสอนเราทุกวันนี้ ชื่อเสียงเกียรติยศจะทำให้เหนือคนอื่น จะทำให้มีบารมี ชี้เป็นชี้ตายคนอื่นได้ โลกสอนให้ไขว่คว้าและสาวเอาให้ได้ และหลายคนยอมขายวิญญาณ ขายความเป็นตัวเองให้กับสิ่งของโลกนี้ ขายความเป็นบุคคลของตนให้กับโลก เพื่อจะได้เหนือคนอื่น เพื่อจะได้มีชีวิตที่อยู่สูงกว่าคนอื่น

จะเอาชนะได้อย่างไร? พระเยซูเจ้าสอนเราให้ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่ผู้สร้าง ไม่ใช่สิ่งที่จะบันดาลให้ความสุขตลอดไปแก่เราได้ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจอมปลอมและสมมติขึ้นมาเท่านั้น จงซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเท่านั้น จึงจะได้รับพระพร

เรื่องที่สาม คือ เรื่องอำนาจ “ถ้าท่านเป็น..บุตรของพระเจ้า” การท้าทายต่ออำนาจที่ตนเองมี ย่อมเป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้ มนุษย์จะทำทุกอย่างเมื่อถูกเหยียดหยาม มนุษย์จะทำลายทุกสิ่งที่ไม่ให้ใครมาดูถูกได้ ฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ แม้แต่ความรักก็สามารถทำลายได้เมื่อถูกเหยียดหยาม นี่คืออำนาจที่เองมี แต่ควบคุมไม่ได้

จะเอาชนะได้อย่างไร? พระเยซูเจ้าสอนให้เรามีใจสุภาพถ่อมตน แม้จะมีอำนาจสามารถทำได้ทุกสิ่ง แต่พระองค์ไม่ได้ทำ พระองค์รู้ว่าควรทำสิ่งใด ควรใช้อำนาจอย่างไร “อย่าทดลองพระเจ้าของเจ้า”  ความสุภาพถ่อมตนทำให้เราเห็นถึงอำนาจสูงสุดของเรา

สำคัญไหมว่า เมื่อเรารู้ว่า เราจะถูกประจญในเรื่องอะไร? คำตอบคือ สำคัญ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ที่ว่าสำคัญ เพราะว่า หากเรารู้ว่าเราจะถูกทดลองในเรื่องอะไร เราสามารถตั้งรับได้ เราสามารถที่จะตั้งใจไม่ให้เกิดขึ้นกับเราได้ และมีโอกาสที่จะเอาชนะการประจญได้  ที่ว่าไม่ใช่ทั้งหมด หมายความว่า การประจญจะเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน และไม่ใช่แค่เรื่อง 3 เรื่องเท่านั้น แต่ที่ว่าสำคัญไม่หมดก็คือ พระเยซูเจ้าไม่ได้สอนให้เราหนีการประจญ หนีการทดลอง แต่พระองค์ต้องการให้เราต่อสู้และเอาชนะการทดลองนั้นให้ได้ โดยไม่ใช่เพราะความสามารถหรือ ความเก่งของตนเอง แต่ต้องพึ่งพาอาศัยพระเจ้า อาศัยพระหรรษทานของพระเจ้า

นี่คือความหมายและสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือ การต่อสู้กับประจญอาศัยพระหรรษทานของพระเจ้า




วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2562

วันเสาร์หลังวันพุธรับเถ้า


วันเสาร์หลังวันพุธรับเถ้า



คนสบายดีไม่ต้องการหมอ..เรามาเพื่อเรียกคนบาป



ก่อนอื่นเราต้องคิดไตร่ตรองเสียก่อนว่า คนสบายดีหมายถึงคนอย่างไร? หมายถึงคนที่ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยทางกายและทางจิตใจหรือ คนสบายดีหมายถึงคนที่มีความสุขทั้งกายและจิตใจหรือ คนสบายดีหมายถึงคนที่มีฐานะทางสังคมที่สูงหรือ คนสบายดีหมายถึงคนดีหรือ? หากว่าทั้งหมดนี้มีคำตอบว่า “ใช่” แน่นอนเขาย่อมไม่ต้องการคนรักษา ไม่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ต้องการพึ่งคนอื่น..

เราเป็นคนดีไหม?

พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เรามาเพื่อเรียกคนบาปให้กลับใจ” นี่คือจุดประสงค์ของพระองค์ที่จะช่วยเหลือผู้ที่ตระหนักว่าตนเองเป็นคนบาป คนที่สำนึกว่าตนเองเป็นคนบาป คนที่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป ไม่ใช่ถูกตราหน้าจากสังคม ไม่ใช่ถูกกฎเกณฑ์บังคับให้เป็น.. แต่ความสำนึก และการยอมรับนี้มาจากตัวเอง และสิ่งนี้แหละที่เป็นประตูเปิดออกเพื่อตอบรับต่อพระหรรษทานของพระเจ้า ความสำนึกถึงความอ่อนแอเป็นหนทางทำให้พบปะกับพระหรรษทานของพระเจ้า

คนบาปเปิดใจ แต่คนดีไม่ยอมเปิดใจ

พระเยซูเจ้าเปิดหัวใจของมนุษย์ด้วยคำว่า “จงตามเรามาเถิด”  แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่จะเป็นศิษย์ของพระองค์จะต้องเปิดใจและยอมรับพระองค์ให้เป็นผู้นำของชีวิต ตนเองจะต้องเป็นเพียงผู้เดินตามหลังพระเยซูเจ้าเท่านั้น เป็นเพียงผู้ติดตามพระองค์ และเป็นเพียงผู้ที่ทำหน้าที่แทนพระองค์เท่านั้น

คนที่เดินนำหน้าพระ ก็จะไม่สามารถที่จะพบหนทางของพระได้ เขาจะพบหนทางของตนเองซึ่งเป็นหนทางที่นำไปสู่ความพินาศ แต่หนทางของพระเจ้า นำไปสู่ชีวิตนิรันดร



วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2562

วันศุกร์หลังวันพุธรับเถ้า

วันศุกร์หลังวันพุธรับเถ้า


การอดอาหารที่แท้จริงคืออะไร?




พระคัมภีร์ได้ให้ความหมายของการอดเนื้ออดอาหารที่พระเจ้าทรงพอพระทัย โดยเฉพาะในหนังสือประกาศกอิสยาห์ที่ว่า การแก้โซ่ตรวนที่อธรรา  แก้สายรัดแอก ปลดปล่อยผู้ถูกข่มเหงให้เป็นอิสระ และหักแอกทุกวัน แบ่งปันอาหารกับผู้หิวโหย นำคนยากจนเข้ามาในบ้าน ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ไม่มีใส่ ไม่หันหน้าหนีจากญาติพี่น้อง...


นั่นคือ การมองดูเพื่อนพี่น้อง คนรอบข้างและหยิบยื่นสิ่งที่ดีงามแก่กันและกัน ความมีน้ำใจ ความเอื้ออาทรให้แก่คนที่ขาดและหิวโหย การปฎิบัติต่อเพื่อนพี่น้องคนรอบข้างด้วยความดีงาม ไม่เบียดเบียนกัน เป็นต้น เป็นการแสดงออกถึงความรักต่อเพื่อนพี่น้อง  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย

สิ่งที่มนุษย์ทำก็คือ การถือศีลอดอาหาร เพื่อโอ้อวดทั้งต่อหน้าพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง โดยเฉพาะชาวฟาริสีที่ถือกฏอย่างเคร่งครัด เขาถือศีลอดอาหารมากกว่าคนอื่น และคาดหวังว่าคนอื่นๆจะต้องทำตาม แน่นอนว่าการถือศีลอดอาหารเป็นสิ่งที่ดี และพระเจ้าทรงเห็นถึงน้ำใจที่จะแสดงออกถึงความเป็นทุกข์ถึงบาป การใช้โทษบาปของตนเอง แต่สิ่งที่พระเจ้าปรารถนาคือเมื่อจำศีลอดอาหารจะต้องทำในสิ่งที่ถูกต้องกับเพื่อนพี่น้องด้วย

ถือศีลอดอาหาร แต่ปากด่าว่าร้ายคนอื่น ถือศีลอดอาหารแต่กลับอิจฉานินทาคนอื่น ถือศีลอดอาหารแต่กลับทำสิ่งชั่วร้ายเลวทราม นี่แสดงว่า การถือศีลอดอาหารเป็นเพียงฉาบผิวเท่านั้น ไม่ใช่แก่นที่แท้จริง

พระเยซูเจ้าต้องการให้ศิษย์ของพระองค์เข้าใจถึงแก่น หรือ ลำดับแรกของความสำคัญในการถือศีลอดอาหาร นั่นคือ จิตตารมณ์แห่งความรักพระเจ้าและรักคนอื่น

อดอาหารมิใช่เพื่ออด  อดอาหารเพื่อกำจัดและปราบความปรารถนาและกิเลสตัณหาภายในจิตใจ อดอาหารเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า อดอหารมิใช่เพื่อสร้างภาพ อดอาหารเพื่อสร้างมิตรภาพกับพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง


วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2562

วันพฤหัสบดีหลังพุธรับเถ้า




วันพฤหัสบดีหลังวันพุธรับเถ้า



          พระเยซูเจ้าตรัสว่า พระองค์จะต้องรับทุกข์ทรมาน จะถูกประหารชีวิต แต่จะกลับคืนชีพในวันที่สาม.. เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นทั้งสามเหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นในลักษณะที่ต่อเนื่องในระยะเวลาอันสั้น (สำหรับที่จะเกิดขึ้นกับพระเยซูเจ้า)  เพียงแค่ไม่กี่วัน เพียงแค่ข้ามคืน พระองค์ทรงเผชิญ ประสบ และผ่านสิ่งเหล่านี้

             เมื่อเรามองดู เหตุการณ์ทั้งสาม เรามักจะมุ่งไปที่เหตุการณ์แรกกับเหตุการณ์ที่สอง นั้นคือ การรับทุกข์ทรมาน และความตาย..ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัว เป็นสิ่งที่ไม่น่าพึงประสงค์ เป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ หลายคนท้อแท้ หลายคนคิดหนัก หลายคนบอกไร้สาระ หลายคนไม่สนใจ แต่สิ่งที่อยากจะให้เรารำถึงไตร่ตรองคือ ระยะเวลาเหตุการณ์ไม่ได้สิ้นสุดที่ความตาย แต่สิ่งที่ตามมายิ่งใหญ่กว่า คือ การกลับคืนชีพ หลายคนมองไม่ถึง หลายคนมองไม่เห็น หลายคนมองว่าไกลเกินไป หลายคนมองว่า เป็นไปไม่ได้.. หลายไม่เชื่อในพระเยซูเจ้า

              ศิษย์ของพระเยซูเจ้าจะต้องมองใหม่... มองให้เห็นถึงเป้าหมายของชีวิต มองให้สุดปลายทางของชีวิต ซึ่งไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในระหว่างทาง ศิษย์ของพระเยซูเจ้าจะต้องไม่กลัว จะต้องไม่หวั่นไหว เพราะปลายทางคือชีวิต ปลายทางคือความมั่นคง ความแน่นอน เมื่อมองไปที่การกลับคืนชีพ.. ความตายและการรับทุกข์ทรมานจึงเป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น ไม่มีผลอะไรต่อเป้าหมาย

          พระเยซูจึงเชื้อเชิญและท้าทายผู้ที่จะมาเป็นศิษย์ของพระองค์ว่า  ใครที่อยากติดตามพระองค์จะต้องเลิกนึกถึงตนเอง แบกไม้กางแขนทุกวัน และติดตามพระองค์..

               กางเขน คือความทุกข์  การเลิกคิดถึงตนเอง ก็คือความยากลำบาก การติดตามพระองค์คือรางวัลหรือชีวิตนิรันดร มีใครอยากจะติดตามพระองค์ มีใครที่จะเข้าใจ?

           ความทุกข์มีในชีวิต ไม่ต้องหลบหลีก ไม่ต้องหนี ไม่ต้องหาหนทางที่จะดับทุกข์ แต่คริสตชนต้องยืนหยัด ยืนยัน สู้ ฝ่าฟันอุปสรรค ความทุกข์ด้วยความเชื่อมั่น ด้วยความไว้วางใจ วางใจในความรักของพระเจ้า พระเยซูเจ้าไม่ได้สอนให้คริสตชนหลีกทุกข์ เสพสุข ในโลกนี้ แต่ให้เผชิญ ต่อสู้เพื่อชีวิตนิรันดรในโลกหน้า

       อยากเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าไหม? มองให้ไกล มั่นใจในพระองค์ เชื่อและวางใจในหนทางของพระองค์


วันพุธรับเถ้า 2019


วันพุธรับเถ้า




เริ่มต้นเทศกาลมหาพรต ด้วยการรับเถ้าซึ่งเป็นเครื่องหมายของการมองดูตัวเอง พิจารณาตนเอง หมายความว่า เทศกาลมหาพรตเป็นการพิจารณาตัวเองในเรื่อง "ความสัมพันธ์" 3 อย่าง นั่นคือ


๑. ความสัมพันธ์กับพระเจ้า เชิญชวนเรามองดูตัวเองว่า ความสัมพันธ์กับพระเจ้าของเรานั้นเป็นอย่างไร? เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ หมายถึง การติดต่อกับพระเจ้าเสมอ การสวดภาวนาเป็นประจำ การคิดถึงพระเจ้าทุกสถานการณ์ของชีวิต มีความบ่อยในการที่จะให้พระเจ้าเดินเคียงข้างในการดำเนินชีวิตประจำวัน การอ่านพระคัมภีร์ อ่านพระวาจาของพระเจ้า การทำสำคัญมหากางเขนบ่อย นี่เป็นการแสดงออกถึงความสัมพันธ์กับพระเจ้าในระดับที่ดี เราเป็นเช่นนี้ไหม? หากความสัมพันธ์กับพระ ลุ่มๆ ดอนๆ สวดบ้าง ไม่สวดบ้าง ทำงาน ไม่มีเวลาแม้แต่จะทำสำคัญมหากางเขน... เช่นนี้ .. เราจะต้องเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นที่จะประสานและสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับพระองค์...ตั้งใจ...


๒. ความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ เชิญชวนเรามองดูคนรอบข้างว่า ความสัมพันธ์กับเพื่อนพี่น้องเป็นอย่างไร? ไม่ต้องมองไกล มองดูทีครอบครัวของเรา สามี - ภรรยา พ่อแม่ลู ลุงป้าน้าอา เป็นอย่างไร? มองดูว่า เราได้ทำอะไรเพื่อเป็นประโยชน์ หรือ เป็นสิ่งที่ดี มีคุณค่าอะไรแก่เขาบ้าง? และสม่ำเสมอไหม? มองดูและเริ่มลงมือใหม่ ด้วยการสร้างบรรยากาศที่ดีในครอบครัว อดทน และให้อภัย ขัดใจ แต่เพื่อความดีของส่วนรวม สร้างบรรยากาศของคริสตชน แบ่งปัน และช่วยเหลือกัน พูดคุยและยิ้มอย่างจริงใจให้แก่กันและกัน


๓. ความสัมพันธ์กับตนเอง เชิญชวนเรามองดูตัวของเราเอง  มองว่า เราได้ทำอะไรเพื่อตัวเองบ้างหรือเปล่า? ในเรื่องการส่งเสริมความเป็นคน ความเป็นบุคคลที่ดีงาม เรได้หล่อเลี้ยงตัวเองด้วยอะไรบ้างที่จะทำให้ตัวของเราเติบโตในความดีงามและความถูกต้อง ... มองดูที่ใจ.. มองดูที่จิตวิญญาณ..

นี่คือสิ่งที่เราจะต้องสร้าง...สร้างความสัมพันธ์ที่มีความสมดุลย์...

มหาพรต นับเป็นช่วงเวลาของการสร้างความสัมพันธ์อย่างแท้จริง ความสัมพันธ์ที่เป็นเสมือนมิตรภาพแก่กันและกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกัน

จิตตารมณ์มหาพรต..  การสวดภาวนา พลีกรรมใช้โทษบาป ทำบุญให้ทาน.. เป็นจิตตารมณ์ที่เป็นเครื่องเตือนจิตใจเราให้ตระหนักมากขึ้นถึงพระเจ้า คนอื่น และตนเอง

40 วัน ไม่ใช่เรื่องระยะเวลา แต่เป็นเรื่องระยะของการลงมือกระทำ ลงมือปฏิบัติตน เพื่อที่จะร่วมในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ร่วมในการสมโภชที่ยิ่งใหญ่ และน่ายินดีที่สุด คือ การสมโภชปัสกา...

เป้าหมายของมหาพรต คือ สมโภชปัสกา...









วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2562

บัณทิตน้อย

สารแสดงความยินดี

"คุณธรรมและความรู้"
..ขอให้นักเรียนทั้งหลายตั้งใจรับความรู้ที่ครูสอน เพราะโอกาสเช่นนี้หายาก ถ้าไม่เอาใจใส่พยายามเรียนก็จะหาโอกาสไม่ได้อีกเพราะเวลาที่เป็นเด็กนั้นมีน้อย จึงต้องขอให้ใช้เวลาให้ถูกต้อง สะสมความรู้ในทางหลักวิชาการและความรู้ทั่วไปให้มากและดีที่สุด แล้วจะไม่ต้องเสียใจ เมื่อโตขึ้นก็จะสามารถทำหน้าที่ของตน คือ ทำมาหากินเลี้ยงชีวิตตน และช่วยส่วนรวมให้อยู่ได้ด้วยความก้าวหน้าและด้วยความร่มเย็น...
 (พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่คณะครู นักเรียน โรงเรียนวังไกลกังวล วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๑๒)

จากพระบรมราโชวาทฯ ลูกๆนักเรียนจะเห็นว่า การเรียนนั้นสำคัญมาก เวลาที่เป็นเด็กนักเรียนนั้นมีน้อย เราจะต้องตั้งใจเรียน สะสมความรู้ และรับการฝึกฝนจากครูให้มากที่สุด เพื่อเป็นรากฐานสำคัญให้กับชีวิตในภายหน้า

ขอแสดงความยินดีที่ลูกๆนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้มุ่งมั่น ขยันหมั่นเพียรและเรียนรู้ อดทนและรอคอยจนกระทั่งสำเร็จในปีการศึกษา 2561 นี้ เพื่อที่จะก้าวหน้าไปสู่อีกขึ้นหนึ่งของการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาและระดับที่สูงขึ้น เพราะการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด จึงจะต้องเติบโตและก้าวหน้า เรียนรู้ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนตลอดชีวิต

ขอแสดงความชื่นชมและภาคภูมิใจกับลูกๆนักเรียนชั้นอนุบาล 3 ที่เติบโตขึ้นผ่านกระบวนการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะต่าง ๆ หลายปีจนในที่สุดมีความพร้อมในการที่จะก้าวไปอีกขั้นหนึ่งของการศึกษาในระดับประถมศึกษา

คุณพ่อขอฝากคำว่า คุณธรรม และความรู้ ให้อยู่ในชีวิตของลูกๆ นักเรียนเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือทำอะไรให้เราหมั่นฝึกฝนคุณธรรมและหมั่นแสวงหาความรู้อยู่เสมอ

ขอท่านนักบุญยอแซฟองค์อุปถัมภ์ของโรงเรียนของเราเสนอวิงวอนต่อพระเจ้าประทานพระพร พระปรีชาญาณ ความรู้ สติปัญญา ความคิดอ่านให้แก่ลูกๆนักเรียนทุกคน และประทานพระพรหลั่งมายังพ่อแม่ ผู้ปกครองและผู้ที่มีส่วนส่งเสริมการเรียนรู้ของเรา จงประสบความสุข สันติ และความรักตลอดไป