BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2562

อาทิตย์มหาทรมาน ปี C

บทเทศน์



เริ่มต้นด้วยความยินดีและจบด้วยความตาย




วันนี้พระเยซูเจ้าได้รับการต้อนรับอย่างกษัตริย์ และตายอย่างมหาโจร.. เริ่มต้นด้วยการแห่แหนต้อนรับพระองค์ “นี่คือกษัตริย์ของชาวยิว” บรรดาเด็กๆ ผู้คน ถือกิ่งมะกอกออกไปรับพระเยซูเจ้า ร้องโฮซานนา โอรสกษัตริย์ดาวิด  ชาวกรุงเยรูซาเล็มและประชาชนต่างชื่นชมยินดีกับ ชายที่ชื่อ “เยซู” จะเป็นผู้นำ จะเป็นผู้ช่วยเหลือ จะเป็นผู้มาปลดปล่อย แน่นอนว่า พวกเขาเข้าใจว่า พระองค์จะปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระจากอำนาจการปกครองของโรมัน จึงโห่ร้องต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดีและเปี่ยมด้วยความสุข ที่พระเจ้าได้ทรงส่งบุรุษผู้หนึ่งเป็นเสมือนประกาศกของพระเจ้า หรือ มากกว่านั้นเป็นพระคริสต์ พระผู้ไถ่ มาช่วยพวกเขา มาเป็นผู้นำของพวกเขา

นักบุญอันดรูว์ แห่งครีต ได้เทศน์ว่า “เราจงออกไปต้อนรับพระคริสตเจ้าพร้อมกัน”  เราคริสตชน เราไม่ได้ต้อนรับพระองค์ด้วยกิ่งมะกอก แต่สิ่งที่เราจะต้อนรับพระองค์ได้ก็คือ จิตใจของเราที่จะต้องเปิดออก จิตใจที่จะต้องชื่นชมยินดีในการเสด็จเข้ามาสู่ชีวิตของเรา โดยเฉพาะในศีลมหาสนิท ที่เราได้รับพระองค์  เพราะการเสด็จของพระองค์นำความชื่นชมยินดีมาให้เรา..

แต่..ในระหว่างนั้น เมื่อความยินผ่านพ้นไป ความทุกข์ทรมาน การสบประมาท การตัดสินโทษก็เกิดขึ้น ทำให้พระเยซูเจ้าที่เรียกว่าผู้ปลดปล่อยนั้นถูกจองจำ และเป็นเสมือนนักโทษ ที่ต้องถูกประหารชีวิต และก็เป็นเช่นนั้น ผู้มีอำนาจทางบ้านเมือง ผู้มีอำนาจทางศาสนา ผู้มีอำนาจในการยุแหย่ ชักจูงประชาชนได้เรียกร้องให้ประหารชีวิตพระองค์ ด้วยข้อหาทางการเมืองและข้อหาทางความเชื่อ “เขาอ้างตนเองเสมอเท่าพระเจ้า”

ความทุกข์ทรมาน การเยาะเย้ย ถากถาง และดูหมิ่นเหยียดหยามเกิดขึ้น.. เกินที่คนหนึ่งจะรับไหว เกินที่คนคนหนึ่งจะแบกรับไว้ได้ “พระบิดาเจ้าข้า ทำไมพระองค์จึงทรงทอดทิ้งข้าพเจ้า” แต่ด้วยจิตใจที่หนักแน่น และหัวใจที่มั่นคง พระองค์ทรงยอมรับทุกสิ่ง อดทนโดยไม่บ่น อดทนโดยการให้อภัย อดทนโดยไม่ปริปาก เพื่อทำให้คนได้เห็นว่า มนุษย์ แม้จะมีความทุกข์ทรมาน ยากลำบากในชีวิต แต่ทุกสิ่งจะผ่านไปได้ และผ่านได้อย่างแน่นอน  พระองค์มั่นคงในพันธกิจที่ได้รับมอบหมาย ยึดมั่นไม่เปลี่ยนแปลง ที่จะ “ไถ่บาป” มนุษย์ทุกคน เพื่อให้มนุษย์ได้เห็นว่า พระเจ้าในสภาพมนุษย์แท้อยู่ต่ำต้อยกว่ามนุษย์ทุกคน..

เริ่มด้วยความยินดี จบด้วยความยินดี เพราะพระเจ้าตายเพื่อเรา เพื่อเราจะได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ให้เรานำวิญญาณของเราออกไปต้อนรับพระองค์เข้ามาสู่ชีวิตของเรา...




วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2562

อาทิตย์ที่ 5 มหาพรต C

บทเทศน์


พระเจ้าทรงเมตตาและกรุณา









เนื้อแท้ประการหนึ่งที่เราสามารถรู้จักพระเจ้าได้ ก็คือ พระองค์มีพระทัยเมตตากรุณาต่อมนุษย์ทุกคนที่เป็นคนบาป เราจะเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งปรากฎในพระคัมภีร์ทั้งในภาคพันธสัญญาเดิม และเปิดเผยแสดงผ่านทางพระเยซูเจ้าในพันธสัญญาใหม่ ซึ่งพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์และแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน หรือ จะ จะ ว่า พระเจ้าทรงมีพระทัยเมตตากรุณาอย่างมาก

เพราะเสื้อคลุมเป็นเครื่องหุ้มกายชิ้นเดียวที่เขามี เขาจะใช้สิ่งใดป้องกันความหนาวเมื่อนอนเล่า ถ้าเขาร้องขอความช่วยเหลือจากเรา เราก็จะฟังคำร้องขอของเขา เพราะเราเป็นผู้มีเมตตากรุณา (อพย 22:27)
  
เราเป็นพระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้เมตตาและกรุณา ไม่โกรธง่าย เปี่ยมด้วยความรักมั่นคง และความซื่อสัตย์ (อพย 34:6)
เพราะพระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่าน ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเมตตากรุณา พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งหรือทำลายท่าน ไม่ทรงลืมพันธสัญญาที่ทรงสาบานไว้กับบรรพบุรุษของท่าน (ฉธบ 4:31)  

พระยาห์เวห์ตรัสว่า อิสราเอลที่เป็นกบฏเอ๋ย จงกลับมาเถิด เราจะไม่แสดงใบหน้าโกรธเกรี้ยวต่อท่าน เพราะเรามีเมตตากรุณาพระยาห์เวห์ตรัสเราจะไม่เก็บความโกรธไว้ตลอดไป (ยรม 3:12)

จงฉีกใจของท่าน มิใช่ฉีกเสื้อผ้า จงกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เพราะพระองค์ทรงเมตตาและกรุณา ไม่ทรงโกรธง่าย ทรงเปี่ยมด้วยความรักมั่นคง ทรงสงสารและไม่ทรงลงโทษ  (ยอล 2:13)

นี่คือข้อความที่ปรากฎในพันธสัญญาเดิมที่พระเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองผ่านทางบรรดาประกาศก ผ่านทางผู้ส่งสารของพระองค์ ว่า พระองค์ทรงมีพระทัยเมตตากรุณา มนุษย์อย่าได้กลัวพระองค์ มนุษย์อย่าได้หลบซ่อนจากพระองค์ เพราะความรักต่อมนุษย์มีมากมาย พระองค์ทรงเมตตา โดยเฉพาะคนบาป โดยเฉพาะคนที่รู้ตัวว่าไม่มีใคร พระองค์เมตตาทุกคน

ในชีวิตของพระเยซูเจ้า พระองค์แสดงออกถึงความรักและความเมตตากรุณาเสมอ ทั้งในวาจาที่สอนและกิจการที่ทรงกระทำ
จงไปเรียนรู้ความหมายของพระวาจาที่ว่าเราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา (มธ 9:13)  

เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ (มธ 18:33)  

จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด (ลก 6:36)  

ทุกสิ่งจึงขึ้นกับพระเมตตาของพระเจ้า ไม่ขึ้นกับความตั้งใจหรือความอุตสาหะของมนุษย์ (รม 9:16)

แต่พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา ทรงสำแดงความรักยิ่งใหญ่ต่อเรา  (อฟ 2:4)  

ทำไมพระเจ้าจึงเมตตามนุษย์ ทั้งๆที่มนุษย์ได้ทำบาป?  เหตุผลหรือสิ่งที่เราสามารถพูดได้ก็คือ เพราะพระองค์ทรงรักมนุษย์ พระองค์ปรารถนาให้มนุษย์กลับมาหาพระองค์ อยู่กับพระองค์ บาปที่มนุษย์ทำ ไม่ได้มากมายไปกว่าความรักของพระเจ้าที่ทรงเมตตาต่อมนุษย์

พระองค์ทรงเมตตาต่อมนุษย์ มิใช่เพื่อให้มนุษย์ทำบาป ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก พระองค์เมตตาและให้อภัยมนุษย์เพื่อให้มนุษย์ได้ตระหนักและเข้าใจว่า การทำบาปนั้นเป็นการทำให้พระเจ้าเจ็บปวด และให้มนุษย์รู้ว่า ความรักของพระเจ้ามีค่ามากกว่าการที่จะกระทำบาป

“เราก็ไม่ลงโทษท่าน ไปเถิดและอย่าทำบาปอีก” (ยน 8:11) นี่คือถ้อยคำที่พระเยซูเจ้าตรัสออกมาเพื่อให้หญิงผู้หนึ่งได้รับรู้ว่า บาปทำร้ายตัวเองและทำลายความสัมพันธ์กับพระเจ้า และบาปนำมาซึ่งความตาย แต่ความเมตตาของพระเจ้าที่แสดงออกผ่านทางการให้อภัย นำไปสู่การเริ่มต้นชีวิตใหม่ ชีวิตที่ไม่อยู่ในบาป แต่เป็นชีวิตแห่งพระหรรษทานของพระเจ้า มีชีวิตในหนทางของพระเจ้า

เพราะความรักความเมตตาของพระเจ้า เราจึงมีชัยบาปและความตาย
และ เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม