BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2568

เทศน์เข้าเงียบประจำเดือน 2025

 

วันอังคารที่ 9 ธันวาคม 2025

เวลา 10.30 น.

บทเทศน์เข้าเงียบประจำเดือนธันวาคม 2025

ลก 22:14-20

บทนำ

พระคุณเจ้าอันตน วีระเดช ใจเสรี ประมุขอัครสังฆมณฑลท่าแร่ฯ   พระคุณเจ้าหลุยส์ จำเนียร สันติสุขนิรันดร์ พระสังฆราชกิตติคุณ ที่เคารพ คุณพ่อทวีชัย ศรีวรกุล อุปสังฆราชและคณะสงฆ์ที่เคารพรักทุกท่าน ผมบาทหลวงวิโรจน์ โพธิ์สว่าง ได้รับศีลบวช เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2005 โดยพระสังฆราชจอร์จ ยอด พิมพิสาร (รักษาการ) ที่ อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอลท่าแร่ พร้อมกับคุณพ่อชัยวิชิต บรรเทา และฉลอง 25 ปีสงฆ์ของคุณพ่อธีระยุทธ อนุโรจน์ รวมอายุบวช ก็ครบ 20 ปี และอายุคน ก็ครบ 50 ปีแล้ว เวลามองดูอายุของตัวเองก็พอสมควร คือ เวลากลับบ้านไปพบปะกับญาติพี่น้อง มองยังไงก็ยังเป็นเด็ก แต่เวลามองดูลูกหลาน เด็กๆในบ้านโตกันหมดแล้ว ก็มองว่า ตัวเองก็มีอายุมากพอสมควรแล้ว

การเทศน์ ครั้งนี้ ก็เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ครั้งแรกตอนบวชมาไม่ถึงปี จำได้ว่า เทศน์โดยใช้พระวรสาร น.ยอห์น 15:1-17 เน้นว่า พระสงฆ์ขาดไม่ได้ซึ่งความสัมพันธ์กับพระเจ้า เหมือนกิ่งองุ่นที่ต้องติดกับลำต้นฉันใดก็ฉันนั้น ครั้งที่ 2  (8 พ.ค.2012) เทศน์เรื่อง ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์แบบอย่างครอบครัวสงฆ์ ปรากฏใน Blog spot ชื่อว่า ปั้นข้าวเหนียวอุ่นๆ พี่น้องสงฆ์สามารถอ่านได้ครับ และครั้งนี้ ก็จะเทศน์ในเรื่อง “จงทำดังนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” เป็นคำพูดของพระเยซูเจ้าที่ทรงให้ไว้ เพราะพระองค์ทรงเปี่ยมด้วยความรัก

ตลอด 20 ปี สงฆ์ ผมอยู่ที่ไหนบ้าง ซึ่งอยากจะแบ่งปันชีวิตสักนิดหนึ่ง

1ปี ครึ่ง เป็นผู้ช่วยอาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอลท่าแร่ สมัยคุณพ่อวัชรินทร์ ต้นปรึกษา เจ้าอาวาส 2005-2006.6

1ปี ครึ่ง เป็นเจ้าอาวาสวัดนาคำ+นาทัน 2007-2008.6

1ปี      เตรียมภาษาอิตาเลียน (ช่วยงานมิสซังอุดร 3 เดือน) กับคุณพ่อวอลเตอร์ ที่บางตาล 2008.6-2009

2ปี      เรียนที่กรุงโรม เรียนเทววิทยาเรื่องครอบครัวและการแต่งงานที่สถาบันของพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่2 ในมหาลัยลาเตรัน2009-2011

2ปี      เป็นผู้ช่วยอธิการบ้านเณร สมัยคุณพ่อสุรชาติ มุลสุทธิ 2011-2012

5ปี      เป็นอธิการบ้านเณร2013-2018

2 ปีครึ่ง เป็นผู้จัดการโรงเรียนเซนต์ยอแซฟ มุกดาหาร 2018-2020

4 ปีครึ่ง เป็นผู้จัดการโรงเรียนเซนต์ยอแซฟ นิคมน้ำอูน 2020-2025

ตลอดเวลา 20 ปี ก็มี ที่อยู่ไม่มาก

 

 “จงทำดังนี้ เพื่อระลึกถึงเราเถิด”

มองดูอดีตเป็นปัจจุบัน

การมาเข้าเงียบเป็นเวลาของการพิจารณา / มองดูตัวเอง ในเรื่อง ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าว่าเป็นอย่างไร? อยู่ตามวัดอาจจะมีเวลาไม่มากในการไตร่ตรอง แต่เมื่อมาเข้าเงียบด้วยกัน เรามีเวลาคิดว่า ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา  เราทำอะไรให้พระเจ้าบ้าง? เราใกล้ชิดพระองค์มากน้อยแค่ไหน? เราอยู่กับพระองค์บ้างไหม? พระเจ้าที่เราเชื่อและติดตาม เราให้พระองค์เป็นที่1ไหม? สัดส่วนเวลาของเรากับพระเจ้าคือเท่าไร?

วันนี้ ผมได้เลือกหัวข้อเทศน์เรื่อง “จงทำดังนี้ เพื่อระลึกถึงเราเถิด”  โดยเน้นคำว่า ระลึกถึง เป็นการคิดถึง นึกถึง จำได้ ในความทรงจำ ที่เป็นประสบการณ์ เป็นเหตุการณ์ ซึ่งเป็นเรื่องในอดีต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมาในชีวิต

ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม ใช้คำว่า “ระลึกถึง” ผมก็อ่านๆ และนำมาไตร่ตรองดู มี 2 อย่าง คือ

สำหรับพระเจ้า

บอกว่า พระองค์จะระลึกถึงบุคคลที่ชอบธรรม และระลึกถึงพันธสัญญาที่พระองค์ทรงกระทำ

สำหรับมนุษย์

เป็นคำภาวนา เมื่อทำบาปผิดต่อพระเจ้า“ขอให้พระเจ้าระลึกถึง..” เมื่อต้องการความช่วยเหลือ เมื่อต้องตกในความทุกข์ยากลำบาก เมื่อรู้สึกถูกทอดทิ้ง ปรากฏในเพลงสดุดี 40 ครั้ง

เป็นคำสั่ง โดยผู้นำ เช่น โมเสส โดยผู้วินิจฉัย โดยประกาศกสั่งประชาชนว่า  “จงระลึกถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ..”

ในพันธสัญญาใหม่

พระเยซูเจ้าสั่งครั้งเดียวให้ระลึกถึงพระองค์ นั่นคือ จงทำดังนี้ เพื่อระลึกถึงเราเถิด

นอจากนั้น เป็นประสบการณ์หรือเรื่องราวของบรรดาศิษย์ที่มีประสบการณ์กับพระวาจา กับสิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสไว้ สอนไว้ แล้วเขาก็ระลึกถึงพระองค์ ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์กระทำ คำพูด หรือเหตุการณ์

หากเราทุกคนมองไปในอดีตที่ผ่านมา เราจะพบว่า เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของเรานั้นเกิดขึ้นมาไม่ใช่เรื่องบังเอิญมองอดีตทำให้เราเห็นว่า พระเจ้าทรงจัดการ พระเจ้าทรงมีแผนการสำหรับเราเสมอ เพราะพระองค์ทรงรักเรา  แผนการของพระเจ้า เป็นแผนการแห่งความรอด เป็นแผนการแห่งความรัก ที่พระองค์จะทรงใช้เราให้เป็นเครื่องหมายและเครื่องมือแห่งความรอดและความรักของพระองค์  พูดง่ายๆ คือ มองความรักของพระเจ้าที่ทำต่อเรา เพื่อก้าวต่อไปในปัจจุบัน

ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม เรามองเข้าไป อ่าน เรื่องราวของอับราฮัมบิดาแห่งความเชื่อ พระเจ้าเรียกให้ออกจากครอบครัว ท่านก็ไปโดยไม่ถาม พระเจ้าให้ฆ่าอิสอัคถวายบูชา ท่านก็ทำตามที่พระเจ้าทรงบอกไว้ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อ ความไว้วางใจ และความนบนอบ รวมถึงความเสียสละอย่างที่สุดเพื่อพระเจ้า พระเจ้ามองเห็นความจริงใจ ความซื่อสัตย์ในกิจการของท่าน ปฐก 22:12 ท่านกลายเป็นบิดาของผู้มีความเชื่อ เราเห็นความรักของพระเจ้าผ่านทางคำสัญญา / พระสัญญาของพระองค์

เรื่องราวของโมเสส การสังหารเด็กทุกคนที่เกิดมาเป็นชายของชาวฮีบรู แต่มีคนเดียวที่รอดตาย รอดตายทั้งจากการฆ่าสังหารและรอดตายจากน้ำด้วย จนกลายมาเป็นผู้นำที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าและนำประชากรไปพบกับความรอดตามพระสัญญาของพระเจ้า (แม้ว่าจะรอดตายจากน้ำ แต่ก็ต้องมาตายในทะเลทราย/ถิ่นทุรกันดาร) แต่เรามองเห็นการช่วยให้รอดของพระเจ้า เพราะความรัก

สังเกตว่า ทั้งอับราฮัมและโมเสส ต่อหน้าพระเจ้า นั้น อับราฮัมแทบจะไม่ได้พูดอะไรเลย  โมเสสก็เช่นกันบอกว่า ข้าพเจ้าเป็นคนพูดไม่เก่ง แสดงเห็นว่า ไม่ต้องพูดมากก็เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าได้ ไม่ต้องต่อรองมาก พระเจ้าก็จัดการให้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้ โดยอาศัยความนบนอบเชื่อฟัง แต่ต่อมาก็พูดเยอะ          อับราฮัมต่อรองกับพระเจ้า โมเสสก็ต่อรองกับพระเจ้า เหมือนกับเราเป็นพระสงฆ์ แรกๆ ก็ ครับตลอด (ก่อนบวช หลังบวบ ก็ครับ ยินดีครับ) แต่นานเข้า ก็ต่อรองเยอะ (คล้ายๆกัน) 

ในพระวรสาร น.ลูกา พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า จงทำสิ่งนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเรา” ไม่ได้ได้หมายความว่า เป็นการคิดถึง หรือ “นึกถึงพระเยซูเจ้า ในรูปแบบการคิดถึงคนที่หายไป/คนที่ตายไป” แต่หมายถึง “การทำให้การกระทำของพระองค์กลับมาเป็นจริงในปัจจุบัน” นั่นคือ การช่วยให้รอดพ้นด้วยความรักของพระองค์ ทุกครั้งที่ประกอบพิธีบูชามิสซา พระสงฆ์กำลังกระทำ การระลึกถึงพระเยซูเจ้า

  • ระลึกถึงความรักของพระองค์ที่มอบแก่เรามนุษย์
  • ระลึกถึงเยซูเจ้าที่ยอมถูกหัก ถูกบิออกเพื่อเป็นอาหารหล่อเลี้ยงมนุษย์
  • ระลึกถึงพันธสัญญาใหม่ที่ประทับตราด้วยโลหิตของพระองค์

นอกจากนี้ ในพันธสัญญาใหม่ พระเจ้าจัดการและเตรียมแผนการไว้สำหรับมนุษย์ที่ถูกเลือก นั่นคือ แม่พระ พระเจ้าเลือกแม่พระให้เป็นมารดา เราเห็นท่าทีของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือก คือ ถ่อมใจ ยอมรับว่าเป็นแค่ผู้รับใช้ต่ำต้อย แต่พระเจ้าให้กลายเป็นมารดาผู้มีชีวิต (อาจารย์พระคัมภีร์บอกว่า มีเพียงแม่พระคนเดียวเท่านั้นที่เถียงทูตสวรรค์แล้วไม่เป็นอะไรเลย ส่วนคนอื่นเกิดเหตุหมด เช่น เศคาริยาห์ เพราะไม่เชื่อ จึงเป็นใบ้ เป็นต้น คนที่โปรดปรานเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์พูดได้อย่างอิสระ คนที่ไม่เป็นที่โปรดปรานก็ต้องถูกเตือนสอน)

 พี่น้องสงฆ์ที่เคารพรัก เมื่อเรามองดูอดีต และระลึกถึงความรักของพระเจ้ามีต่อเรา ในความทุกข์ ในความยินดี ในความลำบากปละในความสุข เราจะเห็นว่า พระเจ้าเตรียมการ วางแผนการให้เราแต่ละคนแตกต่างกัน มีสถานการณ์ของชีวิตที่แตกต่างกัน สำคัญก็คือ เราตอบรับแต่เหตุการณ์และแผนการของพระเจ้าอย่างไร? ด้วยทัศนคติ ด้วยเสรีภาพ หรือ อำเภอใจของเราอย่างไร? เพราะในเหตุการณ์ทุกอย่างของชีวิตพระเจ้าเป็นผู้จัดการ และพระองค์ทรงจัดการวางแผนต่างๆ ให้ชีวิตของเราด้วยความรัก เหมือนกับพ่อแม่รักลูกที่วางแผนไว้ให้ลูก แต่ไม่ได้บังคับลูก

ประสบการณ์ของผมเมื่อครั้งจะไปเรียนที่กรุงโรม

พระคุณเจ้าหลุยส์จำเนียร เรียกมาและบอกว่า จะให้ไปเรียนที่กรุงโรม โดยขอ 2 ทุนคือ ทุนของผม กับพ่อพงษ์ศิระ และทางกรุงโรมตอบมาว่าให้ทุนเดียว และเลือกคุณพ่อไปเรียนด้านการแต่งงานและครอบครัวที่สถาบันพระสันตะปาปายอห์นปอล ที่ 2 ที่ ม.ลาเตรัน /เตรียมภาษา? ไปคนเดียว? เงินล่ะ?

ปฏิเสธก็ไม่ได้ ยอมรับก็ต้องรับผิดชอบ หากพระคุณเจ้าให้อิสระว่า อยากไปหรือไม่ไป ผมก็จะเลือกไม่ไป แต่เมื่อพระคุณเจ้าบอกให้ไป ผมจึงต้องไป แค่ 2 ปีเอง

สิ่งที่คิดเรื่องแรก เรื่องเตรียมภาษา มิสซังจัดให้ เรียนกับพ่อวอลเตอร์ที่ บางตาล ราชบุรี เรื่องเงินมิสซังก็มีงบให้ ผ่านไปได้ แต่ไปคนเดียว จะทำอย่างไร? แม้แต่สนามบินก็ไม่เคยไป จะไปต่างประเทศเลยติ? สวดภาวนา “ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์” สุดท้ายได้ไปด้วยกัน 5 คน มีผม พ่อภัคพล ซ.รุ่ง รักกางเขนท่าแร่ พ่อแบงค์ จันทบุรี น้องจอย ราชบุรี นี่คือครั้งที่ 1 รู้สึกโล่งจิตโล่งใจ

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำกับตัวผมเอง จัดเตรียมให้ทุกอย่าง เกินกว่าที่ต้องการด้วยซ้ำไป “ขอให้เป็นตามประสงค์ของพระองค์เถิด”

สิ่งที่เกิดขึ้นระยะที่สอง เมื่อจะเข้าไปติดต่อและพบปะกับ Dean ของสถาบัน ทำอย่างไ? จะพูดอะไร? ใครจะไปเป็นเพื่อน? คิดถึงคำพูดพ่อต้อมบอกว่า หากมีปัญหาอะไรให้ไปหาพ่อเล็ก(ลูกลุงมุก) ผมไม่รู้จักพ่อเล็ก ไม่เคยคุย จะช่วยหรือ? ผมเดินไปที่บ้านสติกฯ และพากันไปที่ลาเตลัน พบกับ Dean เขาก็ถามผมว่า พูดภาษาอังกฤษได้ไหม? พูดภาษาอิตาเลียนได้ไหม? ผมก็ตอบว่าพอพูดได้ พอเข้าใจ Dean บอกว่า ไม่อนุญาตให้เข้าเรียน เพราะจะลำบาก จึงแนะนำให้ไปเรียนภาษามาก่อนอีก 1 ปี (ในใจก็คิด กลับบ้านดีกว่า / ไม่เรียน เพราะถ้าเรียนจะเสียเงินมิสซังอีก / พ่อเล็กจึงต่อรองว่า ผมรับรองว่าเขาเรียนได้ คือ เรียนวิชาการไป เรียนภาษาไป เพราะรุ่นพี่ (พ่อพรศักดิ์) ก็ทำดังนี้มาแล้ว Dean ให้เรียนเฉยเลย (จึงอดกลับบ้าน) นี่ก็นับเป็นครั้งที่ 2

ส่วนครั้งที่ 3 ตอนที่ทำ Tesina ผมก็ทำเป็นภาษาอังกฤษ อาจารย์ที่ปรึกษาบอกว่า ไปทำเป็นภาษาอิตาเลี่ยน โดยหาคนตรวจทานเอง ไม่รู้จะไปหาใคร? เพื่อน? คุณพ่อ?ก็มีภาระพอสมควร จะโชคดีหรือพระจัดให้ พอดี พ่อเมาริสซิโอ พระสงฆ์ปีเม ที่เคยอยู่ด้วยกันที่ แม่เสวย มาพักที่บ้านปีเม กรุงโรม เพื่อเตรียมฉลอง 25 ปี ผมจึงได้พูดคุยและให้ท่านช่วย ท่านก็ยินดีช่วย ช่วยแก้ไข ช่วยตรวจทาน ช่วยทุกอย่าง และผมก็ผ่าน เมื่อผมกลับจากโรม ก็ได้ยินข่าวว่า คุณพ่อได้ย้ายไปอยู่ที่ฟิลิปปินส์ นี่คือเวลาที่เหมาะสมที่สุด ที่พระเจ้าส่งมาให้ผม

ผมผ่านกรุงโรม/ผ่านต่างประเทศมา เพราะมีพระ มีเพื่อนๆ และมีใจ (ตนเอง)ที่ตั้งใจ ไม่ใช่เพราะความสามารถของตนเอง

 

“จงทำดังนี้ เพื่อระลึกถึงเราเถิด”

มองดูอดีตเป็นปัจจุบันสู่อนาคต

ผมมองดูอดีตที่ผ่านมา มองดูเหตุการณ์ต่างๆ ผมระลึกถึง คำสัญญา ที่ให้ไว้ในวันบวช  การช่วยให้รอด เหตุการณ์ต่างๆในชีวิต ความสุภาพความถ่อมตน เมื่อถูกพระเจ้าเลือก เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นในปัจจุบันก็คือ ความรัก  เพื่อจะได้สรรเสริญ ขอบพระคุณ และระมัดระวังตนเองในการดำเนินชีวิต ต่อหน้าพระเจ้าเราก็เป็นเพียงฝุ่นดิน

แน่นอนว่า ชีวิตสงฆ์ของเราทุกคนย่อมมีเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดพ้น ทุกคนมีประสบการณ์ จึงเชิญชวนเราให้ระลึกถึงเหตุการณ์แห่งความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราในอดีต เพื่อปัจจุบันเราจะได้ดำเนินชีวิตให้เหมาะสมกับสิ่งที่เราเป็น เราเป็นพระสงฆ์ เราได้รับพระพรของพระเจ้ามากมาย

เราระลึกถึงอดีต เพื่อจะทำปัจจุบัน และมุ่งสู่การสร้างอนาคต เราได้รับการเลือกเป็นพระสงฆ์เพราะความรักของพระเจ้า ปัจจุบันเรารักพระเจ้ามากน้อยแค่ไหน? เราเสียสละทุ่มเทให้กับภาระกิจของพระองค์ที่ทรงมอบหมายเท่าใด? เราเดินไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ตามหนทางของพระเยซูเจ้า หรือ ตามหนทางที่เราคิดว่าเราเป็นเรา

เราภาวนาตามที่พระศาสนจักรกำหนด หรือ ภาวนาตามแต่อารมณ์ของตนเอง ภาวนาตามแต่ความรู้สึกของตนเอง? หรือ ภาวนาตามสถานการณ์เท่านั้น

เราประกอบพิธีกรรมศีลศักดิ์สิทธิ์ตามที่เราเป็นสงฆ์ หรือ เราทำตามแค่หน้าที่เสียมิได้ ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ไม่มีสัตบุรุษก็ไม่ทำ ไม่มีใครเห็นก็ไม่ทำ ไม่ว่างก็ไม่ทำ แบบนี้หรือ?

เราให้เวลากับพระเจ้า และงานอภิบาลมากกว่า ที่เราให้เวลากับมือถือ ดูยูทูป ดูเฟสบุค ดูติ๊กต๊อก มากว่าไหม? หรือเราให้เวลาพร้อมกัน คือ สวดไปด้วย เล่นมือถือไปด้วย หรือ ทำมิสซาไปด้วยก็ดูเฟสบุคด้วยหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่เราเป็นไหม?

สรุป

ชีวิตสงฆ์ของเราต้องก้าวหน้าและเติบโต โดยมองในอดีต เหตุการณ์ที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาในปัจจุบันให้เข้มแข็ง และสร้างอนาคตอย่างมีเป้าหมาย

1) ระลึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้ในวันบวช

  • เราได้ให้ “คำมั่นสัญญา” อะไรกับพระเจ้า? ความนบนอบ ความยากจน ความบริสุทธิ์ เป็นคำสัญญาที่เป็นทางการกับพระเจ้าและพระศาสนจักร แต่คำสัญญาที่เราให้เป็นการส่วนตัวคืออะไร? มีไหม?
  • วันนี้เราจะต้อง “ลงมือทำ” ทำให้คำสัญญาที่เราระลึกถึงนั้นเป็นจริงอย่างไร?

2) ระลึกถึงแผนการแห่งความรอดและความรักส่วนตัว

  • เหตุการณ์ใดที่พระเจ้าเคยช่วยเรา?
  • การภาวนาใดที่พระองค์เคยตอบรับ?
  • สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่อดีต แต่คือ “พลังสำหรับปัจจุบัน”

3) ระลึกถึงสัตบุรุษ/ประชากรของพระเจ้า

  • เพราะพระสงฆ์คือผู้แบกสัตบุรุษของตนไว้ในใจ ในงานอภิบาล
  • สัตบุรุษก็ต้องการพระสงฆ์หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ (เราให้อาหารหรือยาพิษ?) สัตบุรุษต้องการเติบโตทางความเชื่อ (เราหล่อหลอมหรือบั่นทอน)

4) ระลึกถึงพระเมตตาของพระเจ้า มากกว่าบาปของเรา

เหมือนสดุดี

  • อย่าเอาบาปเก่ามาทำให้เราย่ำแย่
  • แต่ระลึกถึงความเมตตาและคืนดี เพื่อเริ่มใหม่กับพระองค์

5) ระลึกถึงจิตตารมณ์และชีวิตพื้นฐานของชีวิตสงฆ์

ชีวิตสงฆ์จะมีพลัง เมื่อเรา “ระลึกถึงพระเจ้า” มากกว่า “ระลึกถึงภาระงาน” ของตนเอง