บทเทศน์
สัปดาห์ที่
1 เทศกาลเตรียมรับเสด็จของพระคริสตเจ้า
พี่น้องที่เคารพรัก
วันอาทิตย์นี้ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า
ซึ่งพระศาสนจักรเชิญชวนให้เรา “เตรียมตัว” “ตื่นเฝ้า”
เพื่อต้อนรับการเสด็จมาของพระคริสตเจ้า
ซึ่งเราต้องเข้าใจทันทีว่า การเตรียมตัวต้อนรับพระคริสตเจ้านี้ มี 2
ความหมายด้วยกันคือ 1. การเตรียมตัวต้อนรับการเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูเจ้า คือ
วันคริสตมาส เตรียมตัวต้อนรับกษัตรย์ หรือ
พระเมสสิยาห์ที่จะเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา 2. การเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อต้อนรับการเสด็จมาของพระคริสตเจ้า
ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ หรือผู้พิพากษา คือ วันสิ้นพิภพ
พระศาสนจักรเชื้อเชิญให้เราคริสตชน
ตื่นตัว และมีสติในการดำเนินชีวิต ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน และเป็นผู้มีความเชื่อ
เราจะต้องดำเนินชีวิตตามแสงสว่างแห่งความเชื่อนั้น
บทอ่านที่หนึ่ง
ได้พูดถึง ภาพอันเป็นความหวังของมนุษย์ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าเสด็จมา
ภาพนั่นก็คือ ภาพแห่งสันติสุข ภาพแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ภาพของการอยู่ด้วยกันอย่างสงบ มีความเป็นพี่น้อง ภาพนี้จะเกิดขึ้น
เมื่อมนุษย์ดำเนินชีวิตตามหนทางของพระเจ้า “จงมาเถิด เราจงเดินตามองค์พระผู้เป็นเจ้า
พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างของเรา” เป็นการเชิญชวนให้คริสตชนดำเนินชีวิตอยู่ในแสงสว่างแห่งพระวรสารของพระคริสตเจ้า
เหมือนกับที่พระสันตะปาปาฟรังซิสได้ตรัสสอนเอาไว้ว่า “คริสตชนต้องดำเนินชีวิต
โดยมีพระคริสตเจ้าเป็นศูนย์กลาง”
ในพระวรสาร
พระเยซูเจ้าได้ตรัสถึงการเสด็จมาครั้งที่ 2 ของพระเจ้า ที่พระองค์จะเสด็จมาเพื่อพิพากษามนุษย์
และมนุษย์จะถูกแยกออกไป คนดี และคนชั่วจะต้องแยกออกจากกัน
และพระองค์จะพิพากษามนุษย์ตามการกระทำของเราแต่ละคน และตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
บทพระวรสารก็ได้พูดถึงเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว เหตุการณ์ที่จะทำให้โลกแตก
ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับมนุษย์ (สำหรับคนที่ไม่พร้อม
สำหรับคนที่ไม่ได้เตรียมตัว) บรรดาศิษย์ต่างก็ถามว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นวันไหน?
เมื่อไร? พระเยซูเจ้าไม่เคยบอกเวลา แต่พระองค์ทรงบอกให้เรามีท่าทีในการเตรียมพร้อม
ในการมีสติที่จะดำเนินชีวิต ไม่ต้องพะวงกับวันและเวลา แต่ให้มีสติในการดำเนินชีวิต
รู้ว่าตัวเองเป็นคริสตชน ก็ให้ทำหน้าที่ของการเป็นคริสตชนอย่างดี
สิ่งที่พระองค์บอกกับเราก็คือ
1. จงตื่นเฝ้า 2. จงเตรียมพร้อมไว้
พระองค์ทรงยกตัวอย่างให้เราเห็น
ชัด ชัด และจะจะ... เรื่อง ขโมยขึ้นบ้าน ขโมยจะขโมยในเวลาที่เราไม่รู้ตัว
ในวันและเวลาที่เราเผลอ เราขโมยตื่นเฝ้าอยู่เสมอ และรอคอยอย่างมีสติ
และมีความตั้งใจจริง .. จะต้องขโมยเอามาให้ได้.. พระเยซูเจ้าตรัส ถ้าเรารู้ว่าขโมยจะมาขโมยเวลาเที่ยงคืน
เราก็คงเตรียมตัวให้พร้อมที่จะต้อนรับมันอย่างอบอุ่นแน่นอน แต่ในความเป็นจริง
ไม่ใช่เช่นกัน ขโมยจะมาในเวลาที่เราเผลอ แค่ไม่กี่นาที ก็สามารถทำได้ เช่นเดียวกัน
พระเจ้าจะเสด็จมาหาเราในเวลาที่เราไม่รู้
ถ้าเรารู้ เราก็คงจะเตรียมตัวอย่างดี แน่นอน
พระองค์ยกตัวอย่างอีก
เรื่องของโนอาห์ พระเจ้าทรงเตือนประชาชนทุกคนถึงความตาย การพิพากษา ถึงการทำลายล้าง
(น้ำท่วม) แต่คนส่วนใหญ่ ไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้า
คนส่วนใหญ่ไม่ฟังเสียงของพระเจ้าที่เตือน บอก และสอน ให้เป็นคนดี
และมีสติในการดำเนินชีวิต มีเพียงครอบครัวของโนอาห์เท่านั้น ที่ได้ยินเสียงของพระเจ้า
ส่วนคนอื่น ๆ ก็ไม่สนใจ ไม่แคร์ คงจะอีกนานกว่าโลกนี้จะแตก
คงอีกนานกว่าที่เราจะตาย คงอีกนาน.. เป็นเรื่องของอนาคต อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
ไม่สนใจ..ปัจจุบัน กินดื่ม เที่ยว เสพสุข ทำให้เต็มที่ก็พอแล้ว.. นี่คือ
ท่าทีของคนที่ไม่คิดอะไรมาก ดำเนินชีวิตไปเรื่อย ๆ
ดำเนินชีวิตไปตามสัญชาตญาณของการที่ต้องมีชีวิต
มีชีวิตไปวัน ๆ ไม่มีเป้าหมายใด.. สุดท้ายคนพวกนี้ก็ต้องตายเพราะการกระทำที่เมินเฉยและไม่สนใจที่จะกลับใจ
หรือเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต.. รอดพ้นมีเพียงโนอาห์ ผู้ยำเกรงพระเจ้า เท่านั้น
พี่น้องที่เคารพรัก “จงทำเวลานี้ให้ดีที่สุด
ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน ในฐานะที่เราเป็นผู้มีความเชื่อ” พร้อมกับมีสติในการดำเนินชีวิต
นักบุญเปาโลสอนเราว่า “เราจงละทิ้งกิจการแห่งความมืดมนเสีย จงสวมเกราะของความสว่าง
จงดำเนินชีวิตเหมือนกับเวลากลางวัน”
นั่นคือ การเตรียมตัวเองให้พร้อม กลางวัน เรามีสติ กลางคืนเราขาดสติ..
กลางวันเราควบคุมตัวเองได้ กลางคืน ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย..
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น