BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ผู้ล่วงลับ 2013


บทเทศน์

บทเทศน์ ผู้ล่วงลับ

ในเดือนพฤศจิกายาน  เราคริสตชนมีธรรมเนียมปฏิบัติก็คือ การระลึกถึงบรรดาบรรพบุรุษของเราที่ล่วงลับไปแล้ว 
ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนสนิทมิตรสหาย หรือแม้แต่บุคคลที่เราไม่รู้จัก 
เมื่อเขาตายไป เราก็คิดถึงเขา  การระลึกถึงผู้ล่วงลับ เราคริสตชนสามารถทำได้โดย 

การสวดภาวนาทั้งส่วนตัวและส่วนรวม คือ สวดในจิตใจคนเดียว หรือรวมกันสวดเป็นครอบครัว หรือเป็นกลุ่ม 
ก็สามารถทำได้ นอกจากนี้สุดยอดของคำภาวนาก็คือ 

การขอมิสซาสำหรับผู้ล่วงลับไปแล้ว พระศาสนจักรสอนว่า เมื่อเราร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ เราก็ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมล้ำลึกปัสกาของพระเยซูเจ้า นั่นคือ การรับทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพ  ในการมีส่วนร่วมของเราในมิสซานี้แหละที่เป็นผลไปถึงบรรดาผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย

ในเดือนนี้ เป็นเดือนที่เราระลึกถึงผู้ตาย ที่อยู่ในไฟชำระ คือ ผู้ที่รอคอยวันเวลาแห่งการชำระตนเองให้สะอาด 
เพื่อจะได้เป็นผู้เหมาะสมที่จะเข้าไปสู่สวรรค์ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระศาสนจักรสอนเราเรื่อง “สหพันธ์นักบุญ” 
หรือ “ความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวของผู้ศักดิ์สิทธิ์” มีอยู่ 3 ที่ด้วยกัน  นั่นคือ

 มนุษย์ที่มีชีวิตบนโลกนี้  
ผู้ล่วงลับที่อยู่ในไฟชำระ
 และผู้ล่วงลับที่อยู่ในสวรรค์ เราเรียกว่า นักบุญ

พระศาสนจักรย้ำเตือนเราเสมอว่า “อย่าลืมบรรดาผู้ล่วงลับทั้งหลาย
 เพราะเขาไม่สามารถทำกิจการใดใดได้เลยเพื่อช่วยตัวเองให้รอดพ้น”

พี่น้อง มีเพียงชีวิตบนโลกนี้เท่านั้น ที่จะกำหนด ชีวิตหลังความตายได้  ตายแล้วจะไปไหน? 
ไม่ต้องรอคำตอบจากคนตายให้กลับฟื้นขึ้นมาบอก ตายแล้วจะเป็นอย่างไร?
 ไม่ต้องรอให้วิญญาณญาติพี่น้องมาบอกในฝันหรือในนิมิต เรารู้ว่า เมื่อเราตายแล้วเราจะอยู่ที่ไหน 
เรารู้ได้ตั้งแต่เวลานี้ เรารู้จักตัวของเราดี ไม่ต้องห่วงคนอื่น เราความเป็นตัวของเราเองดี จากการกระทำของเรา 
พระเยซูเจ้าพระองค์ตรัสเสมอ “รางวัลของผู้ชอบธรรม หรือ รางวัลของคนดีมีศีลธรรม ก็คือ เมืองสวรรค์ 
ก็คือ การอยู่กับพระองค์ตลอดไป”

หากชีวิตของเราเคร่งครัดในการดำเนินชีวิตคริสตชน เอาจริงเอาใจใส่ต่อการถือตามคำสอนของพระเยซูเจ้า ใส่ใจในความรักความเมตตา การให้อภัย การแบ่งปันน้ำใจให้แก่กันและกันในโลกนี้  แล้วเมืองสวรรค์จะไปไหน? 
เมืองสวรรค์จะเป็นของใคร? ก็ต้องเป็นของเรา  

เมืองสวรรค์คงไม่ใช่รางวัลสำหรับคนที่กระทำดังต่อไปนี้

การผิดประเวณี ความลามกโสมม การปล่อยตัวตามราตัณหา 
การกราบไหว้รูปเคารพ การใช้เวทมนตร์คาถา การเป็นศัตรูกัน 
การทะเลาะวิวาท ความอิจฉาริษยา ความโกรธเคือง การแก่งแย่งชิงดี 
การแตกแยก การแบ่งพรรคแบ่งพวก  การเมามาย การสำมะเลเทเมา (กท 5:19-21)

คนที่ดำเนินชีวิตในเรื่องเหล่านี้ ไม่สามารถเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ หากเราจะถามต่อไปว่
 “ดังนี้แล้วใครจะรอดได้” พระเยซูเจ้าก็จะตรัสว่า “สำหรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไปได้”

หากเราจะสังเกต ตามที่นักบุญเปาโลได้ให้รายละเอียดของคนที่จะไม่ได้เมืองสวรรค์เป็นมรดกนั้น 
เราจะเห็นว่า เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องของ “การขาดความรักความเมตตาต่อกัน” 
หรือ “การไม่รักกันและกันเหมือนอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงรักเรา”
 สำหรับความรักความเมตตานั้น พระเยซูเจ้าสอนเราว่า 
“ท่านให้น้ำแก้วหนึ่งแก่คนเล็กน้อยหรือต่ำต้อยคนหนึ่ง ก็เท่ากับทำต่อเราเอง”

ดังนั้น ความรักความเมตตากรุณาต่อกันและกัน จึงเป็นเสมือนกุญแจสำคัญที่จะนำเราไปสู่เมืองสวรรค์
“จงเป็นคนดีบริบูรณ์เหมือนดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ทรงความดีบริบูรณ์”

พีน้องที่รัก พระสันตะปาปาฟรังซิสบอกเราว่า ชีวิตคริสตชนขอเรา จะต้องให้พระคริสตเจ้าเป็นศูนย์กลาง 
หากเราเอาชีวิตของเราเองเป็นศูนย์กลางเราก็ไม่ใช่คริสตชนที่แท้จริง เราเป็นคริสตชนจอมปลอมเท่านั้นเอง..

ทำไม่พระสันตะปาปาตรัสเช่นนี้ เพื่อที่จะดำเนินชีวิตให้อยู่ในหลักธรรมคำสอนของพระเยซูเจ้า
 หรือ เพื่อเราจะได้มีใจเมตตากรุณา ใจให้อภัย ใจที่เปี่ยมล้นด้วยความรักต่อกันและกันได้ 

จำเป็นต้องมีพระคริสตเจ้าในชีวิตของเรา เราจึงจะสามารถเอาชนะความลามกโสมมได้ 
สามารถเอาชนะความโกรธ การอิจฉาริษยากันได้ หรือแม้แต่การทะเลาะเบาะแว้ง 
เราก็สามารถเอาชนะได้ หากเรายึดพระเยซูเจ้าเป็นศูนย์กลางของชีวิต

พี่น้องที่เคารพรัก หากว่า ชีวิตนี้ของเรา เราไม่ต้องการพระเจ้า แล้วชีวิตในโลกหน้า
เราจะต้องการเจ้าหรือ? หากว่าในชีวิตนี้ เราไม่อยากเข้ามาหาพระองค์ ในชีวิตหน้า เราอยากจะอยู่กับพระองค์หรือ? 
คงเป็นไปไม่ได้

ดังนั้น ไม่ว่าท่านมีชีวิตอยู่หรือตาย ท่านก็เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า

..ราไม่จำเป็นต้องถามและรอคอยคำตอบว่า ตายแล้วจะไปไหน? ตายแล้วจะเป็นอย่างไร? 

พระศาสนจักรสอนเราว่า “ตายแล้วเราจะไปอยู่สวรรค์ ตายแล้วเราจะมีความสุขตลอดนิรันดร 
สำหรับผู้ที่เป็นคนดีในสายตาของพระเจ้าเท่านั้น”




0 ความคิดเห็น: