BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

อาทิตย์ 25 ธรรมดา A


บทเทศน์

พี่น้องที่เคารพรัก วันนี้เป็นวันของพระเจ้า เป็นวันครอบครัวคริสตชน คือ ครอบครัวของพระเจ้า เราจึงพากันมาสรรเสริญ นมัสการพระองค์ พร้อมกับขอพรจากพระองค์ และมอบถวายครอบครัวของเราไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
วันนี้พระวาจาของพระเจ้าตรัสอะไรกับเรา อยากจะเน้นย้ำเรื่อง “ความรักความเมตตากรุณาและความใจดีของพระเจ้าไม่มีเงื่อนไข” พระวรสารเราได้ยินอุปมาเรื่องพ่อบ้านไปหาคนงานมาทำงานในสวนองุ่น เริ่มตั้งแต่เช้า คือ เวลาทำงานปกติ ก็พบคนงาน และตกลงค่าจ้าง 1 เหรียญ สาย ๆ เที่ยง ๆ บ่าย ๆ และสุดท้าย เย็น ๆ เหลือเวลาอีก 1 ชั่วโมง พ่อบ้านก็ได้เชิญให้มาทำงานในสวนองุ่นของตน และตกลงจะจ่ายค่าจ้างตามสมควร
เมื่อถึงเวลาจ่ายค่าจ้าง คนสุดท้ายที่ทำงานแค่ชั่วโมงเดียว ได้ 1 เหรียญ คนอื่น ๆ ก็ได้เหมือนกัน เพราะเป็นค่าจ้างตามสมควร คือ ขึ้นอยู่กับพ่อบ้าน ขึ้นอยู่กับเจ้าของสวนจะพอใจ ส่วนคนที่ทำงานตลอดทั้งวัน พ่อบ้านก็จ่ายให้ 1 เหรียญเช่นกัน ตามที่ตกลังกันไว้ตั้งแต่เริ่มต้นว่า จะได้ค่าจ้าง 1 เหรียญ
สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้คนที่ทำงานหลายชั่วโมง ไม่พอใจ และบ่นต่อว่า พ่อบ้าน คล้ายๆ กับน้อยอกน้อยใจว่า ทำไมคนอื่นจึงได้ค่าจ้างเท่ากับตัวเอง คือ น้อยใจในส่วนของคนอื่น และผิดหวังคิดว่าตนที่ทำงานมากกว่าคนอื่นจะได้เพิ่มขึ้น จะได้มากกว่าเดิมที่ตกลงกันไว้  แต่เขาก็ได้แค่ 1 เหรียญ
พ่อบ้านจึงอธิบายว่า “ฉันไม่ได้โกง และฉันไม่มีสิทธิที่จะใช้เงินของฉันหรือ?” สิ่งที่สำคัญกว่านั้นอีกคือ “ท่านอิจฉาริษยาเพราะเราใจดีหรือ”
บทสอน
พระเจ้าทรงความยุติธรรมกับทุกคน  สะท้อนให้เห็นว่า พ่อบ้านออกไปหาคนงานมาทำงานในสวนองุ่นตลอดเวลา เท่าที่มีเวลา นั่นหมายความว่า พระเจ้าทรงเอาพระทัยใจต่อมนุษย์ทุกคน พระองค์เรียกร้องให้มนุษย์ทุกคนเข้ามาในสวนของพระองค์ ทรงเชื้อเชิญทุกคนให้เข้ามาสู่พระอาณาจักรของพระองค์  เมื่อทุกคนตอบรับการเรียกและการเชื้อเชิญ พ่อบ้านก็จ่ายค่าจ้างตามที่ได้ตกลงกันไว้ นี่คือ ความยุติธรรม  ทุกคนที่กระทำความดี ทุกคนที่ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ แน่นอนว่า ทุกคนจะได้รับรางวัลอย่างแน่นอน นั่นคือ เมืองสวรรค์
พระเจ้าทรงรัก เมตตากรุณา ใจดีอย่างไม่มีขอบเขตด้วย เราจะเห็นว่า พ่อบ้านได้จ่ายเงินค่าจ้าง 1 เหรียญให้กับคนที่ทำงานเพียงแค่ชั่วโมงเดียว นี่คือ ความใจดีของพ่อบ้าน และความใจดีของพระเจ้าก็ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ไม่ติดอยู่กับเวลา แต่ความใจดีของพระองค์มีให้มนุษย์ตลอดเวลา ขอเพียงอย่างเดียวก็คือ คนชั่วจงละทิ้งทางของตน  คนอธรรมจงละทิ้งความคิดของตน และจงกลับมาหาพระเจ้า ขอแค่มนุษย์สำนึกผิด ขอแค่มนุษย์กลับใจ ไม่ขึ้นกับเวลาน้อยหรือเวลามาก พระเจ้าก็ให้อภัยเขาแล้ว พระเจ้าก็ประทานรางวัลแต่เขาแล้ว คนชั่วกลับใจเป็นคนดีก่อนตาย เขาจะได้รางวัลจากความดีของเขา ถ้าคนดีหันกลับไปทำความชั่วก่อนตาย เขาจะตายเพราะความชั่วของเขา
บทเรียน เตือนจิตใจ
จงเลียนแบบหัวใจของพระเจ้า คือ จงรักกันและกัน ใจดี มีเมตตาต่อกันและกัน  ในครอบครัวของเรา จงใช้ความรักให้มากกว่า จงหมั่นเพิ่มพูนความรักให้แก่กันและกันเสมอ นั่นคือ รู้จักให้อภัยเมื่อทำผิด รู้จักขอโทษเมื่อทำไม่ถูกต้อง
จงระวังความอิจฉาริษยา  เพราะมันเป็นเหมือนสนิมที่เกาะและกัดกินใจของเราโดยเราไม่รู้ตัว และมันจะเป็นตัวที่ทำลายความรัก ความสัมพันธ์ที่ดี ที่เรามีต่อกันและกันได้ ไม่ว่าจะเป็นสังคม ชุมชน หรือ ในครอบครัว หรือหมู่คณะก็ตาม








วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

เก็บภาพ เข้าเงียบประจำปี 2014

จะเอาทรงผมอะไรดีน้อ??



บรรยากาศการเล่นฟุตบอล
ระหว่างสงฆ์หนุ่มกับสงฆ์อาวุโส













ในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ











วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

วัน 4 เข้าเงียบประจำปี 2014

วันพฤหัสบดี ที่ 11 กันยายน 2014

บทเทศน์ในมิสซา

คำสั่งที่พระเยซูเจ้าสั่งก็คือ ให้เรารักกันและกัน จงรักกันเหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงรัก
ไม่ใช่เรื่องความประพฤติทางศีลธรรม แต่เป็นเรื่องของการตอบสนองต่อเอกลักษณ์
ของชีวิตของมนุษย์

จงรักศัตรู และจงภาวนาให้ผู้ที่เกลียดชัง... นี่เป็นเรื่องของความเชื่อ เราเชื่อในพระเจ้า
ผู้ทรงเป็น คงอยู่ ไม่มีขอบเขต พระองค์ทรงสร้างเรามา นี่คือพระเจ้าของเรา เราเชื่อในพระเจ้า
เราหวังในพระองค์ เราจึงสามารถทำในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำได้
นั่นคือ จงรักกันและกัน เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักเรา

บนไม้กางเขน พระเยซูเจ้าทรงโดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยว เจ็บปวด หิวน้ำ ทุกข์ทรมาน
ถูกเยาะเย้ย ถูกเหยียดหยาม.. แต่พระองค์ทรงภาวนาต่อพระบิดา ขอให้ภัยทุกคน
ทุกคนที่ได้กระทำต่อพระองค์..

09.00 น.

ว่าด้วยคำอวยพร
คำไทย  ว่า  "ขอให้มีอายุมั่น ขวัญยืน"
คำลาว   ว่า  "ขอให้ทุกคนมีอายุหลาย ๆ ตายยาก ๆ เด้อ"

คำเขียนเตือนใจ (บทความ)
พระสันตะปาปาฟรังซิส "พระศาสนจักรคือ ประชากรที่รับใช้พระเจ้า เมื่อเรารับใช้คนอื่น
เราต้องเลิกนิสัยอิจฉา แบ่งพรรคแบ่งพวก และนินทากัน  การรับใช้พระเจ้าที่ดีคือ การภาวนา
และการเฝ้าศีล

พระสังฆราชเตือนใจว่า
1. ลูกต้องซื่อสัตย์ต่อการภาวนาของลูก
2. ลูกต้องเฝ้าศีลเสมอ
3. ลูกอย่าปะสายประคำ มารดาของลูก


วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

วัน 3 เข้าเงียบประจำปี 2014

วันพุธ ที่ 10 กันยายน 2014

09.00 น.

มีพระสงฆ์ท่านหนึ่งสอนคำสอนคริสตชน และถามว่า "พระเป็นเจ้ากินข้าวกับอะไร?"
มียายคนหนึ่งตอบว่า กินกับลาบปลาตอง มีหมากพริก มีหมากลิ้นไม้..
อีกคนตอบว่า ปิ้งปลาเซือม (แซบที่สุด)
(ขำ ขำ)

เนื้อใน :

พระสันตะปาปาฟรัสซิส ตรัสว่า "ความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสาร เติมเต็มชีวิตทั้งชีวิต
ของทุกคนที่แสวงหาพระเจ้า.."

พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ย้ำเสมอให้ประกาศพระวรสาร ประกาศข่าวดีถึงพระคริสตเจ้า

เราจะต้องรู้จัก อ่าน  รำพึง  นำไปปฏิบัติ  และแบ่งปันชีวิต ในพระวาจาของพระเจ้า จึงจะเกิดผล
หากเราไม่ทำเช่นนี้ ผลที่ตามมา ลำบาก..

การประกาศพระวรสารแบบใหม่ ไม่ใช่การทำพระวรสารขึ้นใหม่  แต่เป็นการหมายถึง "การดำเนิน
ชีวิตแบบใหม่ การเทศน์สอนแบบใหม่ การหมุนชีวิตใหม่" เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้
และเข้าใจ มีความเชื่อ และได้รับความรอดพ้น จากองค์พระคริสโตเจ้าของเรา

พระสงฆ์ผู้ประกาศข่าวดี ให้เราถามตัวเอง รำพึงตลอดเวลา ว่า พระเยซูคริสโตเจ้า เป็นพระวาจา
ของพระเจ้าแท้จริงหรือเปล่า?  เรามั่นใจแค่ไหน?  เราเชื่อมั่นแค่ไหน? หากเรามั่นใจ 100 เปอร์เซ็น
แน่นอนว่า การประกาศพระวรสาร จะมีชีวิตชีวา และมีความมั่นใจมากขึ้นหลาย

เนื้อใน : เรื่องการกลับใจ
มีครูบา (พระภิกษุ)ท่านหนึ่งเห็นพระสงฆ์มิสชันนารีในหมู่บ้าน ได้ไปเยี่ยมเยียนชาวบ้าน ทุกบ้าน
ไม่ว่าจะเป็นคริสต์ เป็นพุทธ เอาใจใส่ ขึ้นบ้านนั้น บ้านนี่ คุยกับเด็กน้อย เล่นกับเด็ก ๆ บ่ได้รังเกียจ
บ่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง ทุกคนเท่าเทียมกัน
เห็นแบบอย่างเช่นนี้แล้วก็อยากจะคุย สนทนากับพระสงฆ์

จึงเกิดการสนทนาธรรมขึ้น โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าพระธรรมของใครดีกว่า แข็งกว่า กะให้คนนั้นสึก
และเปลี่ยนศาสนา

คุณพ่อกะได้ตกลง มีการสนทนาธรรมกันในเรื่องศีลศักดิ์สิทธิ์ 7 ประการ กับดอกบัว 7 ดอก และเรื่องบาปต้น กับเรื่องศีล
ใช้เวลาสนทนาธรรมเป็นแรมเดือน ที่สุด ครูบา กะได้สึกออกมา พร้อมกับเปลี่ยนศาสนา เพิ่นนั่นกะคือ
ปู่ของพระคุณเจ้านี่เอง

บทสรุปของการสนทนา ก็คือ อาศัยกำลังของมนุษย์ไม่สามารถที่จะเอาตัวรอดพ้นได้ มนุษย์จำเป็น
ต้องอาศัยความรัก และความเมตตาของพระเจ้าจึงจะสามารถรอดพ้นได้...

เราจะเห็นว่า การกลับใจของคนคนหนึ่ง มาจาก

"แบบอย่างชีวิตอภิบาลของพระสงฆ์"

นี่คือสิ่งที่สำคัญ

15.00 น.  

เนื้อใน : ไม้กางเขนของพระคริสโตเจ้า

การเป็นแบบอย่างของขีวิตพระสงฆ์  เป็นการประกาศข่าวดี เป็นการแพร่ธรรมที่ดีที่สุด

พระสันตะปาปายอห์น 23 ตรัสว่า หน้าที่ของข้าพเจ้าคือ การรู้จักและรับใช้พระเจ้าเสมอ
และเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ของข้าพเจ้าก็คือ การช่วยมนุษย์ให้รอด

พระสันตะปาปยอห์น ปอล 2 ตรัสว่า "พวกลูกอย่ากลัว กางเขนเท่านั้นที่ให้ชีวิตที่แท้จริง
กางเขนคือชัยชนะ กางเขนเป็นยอดของความรักต่อมนุษยชาติ"

จงพิจารณาและรำพึง "ไม้กางเขนของพระคริสตเจ้าเสมอ"

ประสบการณ์การแพร่ธรรมในลาว..

กว่าที่ไม้กางเขนจะปักลงผืนดินประเทศลาว มีความยากลำบาก เพราะมีการเบียดเบียน
มีการต่อต้าน และมีการข่มเหง

มีประกาศว่า ให้ทุกหมู่บ้านที่ปักไม้กางเขนที่หน้าหมู่บ้านออก ถ้าไม่ทำจะต้องมีโทษ

หลายคนกลัวไม้กางเขน คนรัฐบาล กลัวไม้กางเขนของพระคริสโตเจ้า
พวกเขายอมรับไม่ได้

สุดท้าย ไม้กางเขนก็ได้ปักลงที่หัวใจ จิตใจ และจิตวิญญาณของชาวลาว
จนถึงกับว่า ไม่มีใครที่จะถอนออกไปจากจิตวิญญาณของเฮาได้เลย

ไม้กางเขนของพระคริสโตเจ้ามีไว้ แบก และติดตามพระองค์
หากเราไม่แบกกางเขน  ไม้กางเขนนั้นอาจจะล้มทับเฮากะได้เด้...



วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

วัน 2 เข้าเงียบประจำปี 2014

วันอังคาร ที่ 9 กันยายน 2014

ในมิสซา
พระคุณเจ้าปรีดา  ได้ยกเอาคำเทศน์ของพระสันตะปาปา มากล่าวว่า
"ให้เรามองดูพระเยซูเจ้าที่สวนเกทเสมนี เราจะเห็น 2 สิ่งทีสำคัญในตัวของพระเยซูเจ้า
สิ่งหนึ่งคือ น้ำใจอยาก น้ำใจของมนุษย์
สิ่งที่สอง คือ น้ำพระทัยของพระบิดาเจ้า

สองสิ่งนี้ ได้มาเผชิญหน้ากัน มาพบปะกัน สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ความนบนอบเชื่อฟัง
จากพระเยซูเจ้า

แต่ก่อนที่เพิ่นจะยอมรับได้ เหงื่อที่ไหลออกมาแทบจะกลายเป็นเลือด.. ขออย่าให้
เป็นไปตามใจข้าพเจ้า ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด

น้ำใจอยากของมนุษย์มันลึกในจิตใจ และน้ำพระทัยดีของพระเจ้าก็ยิ่งลึกกว่า
คนที่เลือกน้ำพระทัยของพระเจ้า เขาจะมีพลังที่จะสู้ทน ความทุกข์ ความยาก
ความลำบาก การเบียดเบียน ความทรมานต่าง ๆ
คือกันกับพระเยซูเจ้าบนกางเขน

หากพระเยซูเจ้าไม่รับเอาน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว กะคงทนไม่ไหว สู้ไม่ได้ แน่นอน
เพราะน้ำใจอยากของมนุษย์ สู้บ่ได้เลย...

ความนอบน้อมเชื่อฟัง.. จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับชีวิตสงฆ์
โดยเฉพาะการนบนอบต่อผู้แทนของพระเจ้าที่สามารถเห็นได้ในโลกนี้...

09.00 น.
15.00 น.
เป็นช่วงเวลาของการแบ่งปันประสบการณ์ของงานแพร่ธรรมในประเทศลาว
ผ่านทางพระสงฆ์มิสชันนารี ที่เป็นฝรั่ง และครูคำสอน

"เลือดของมรณสักขีที่ตกลงบนพื้นดิน เป็นเหมือนกับเมล็ดพืชที่หว่านลงไปในดิน"

มีพระสงฆ์ มากมาย หลายท่าน ได้หลั่งเลือดบนผืนแผ่นดินประเทศลาว
มีคริสตชนหลายคนที่สละชีวิตของตน เพื่อความเชื่อ

งานแพร่ธรรม หรือการประกาศข่าวดี เป็นชีิวิตของพระสงฆ์
แล้วฮู้บ่ว่า อะไรเป็นพลัง และเป็นผู้หล่อเลี้ยงชีวิตของพระสงฆ์
ที่ทำให้เข้าเหล่านี้ยอมตาย ยอมหลั่งเลือด..
คำตอบ กะคือ "พระเยซูเจ้า"

น่าคิดสำหรับเฮาว่า ชีวิตของเฮาเป็นชีวิตที่เป็นพยานในการประกาศข่าวดี
ของพระเยซูเจ้าอยู่เบ๊าะ?

------------------------------------------------------------

อ่าน สะกิดสงฆ์  (ต่อจากเมื่อวานนี้)

มองดูชีวิตของชาวประมงจับปลา กับชาวประมงจับมนุษย์

1. เขาจะต้องมีความเพียร คือ เรียนรู้การรอคอยด้วยความอดทน ด้วยความเพียรทน
เขาจะต้องไม่เคลื่อนไหวมาก เพราะจะทำให้ปลาหนีไปได้ .. พระสงฆ์ก็ต้องเรียนรู้
ความเพียรอดทน ในการทำงานอภิบาล ในการทำหน้าที่ของสงฆ์ ในการช่วยคนอื่นๆ
ผลสำเร็จ อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงวันเวลาของเราก็ได้

2. ต้องมีความมั่นคง คือ ชาวประมงที่ดีย่อมไม่ยอมเลิกง่าย ๆ หากเขาไม่ได้ผลดังที่
ตั้งใจเอาไว้ พระสงฆ์จะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ได้อย่างไร จะยอมแพ้กับการเข้าวัดน้อย
ของสัตบุรุษได้อย่างไร

3.ชาวประมงที่ดีต้องมีความพยายามมาก ๆ คือ จะได้ปลาก็ต้องพยายามทุกวิถีทาง..
พระสงฆ์จะต้องพยายามมาก ในการที่จะเผชิญกับความยาก ปัญหาต่าง ๆ ทุกรุปแบบ
ในการประกาศข่าวดี ในการทำงานร่วมกับคนอื่น

4. ชาวประมงที่ดีจะต้องรู้จักวันและเวลาที่จะจับปลา คือ เขาจะต้องรู้ว่า เวลาไหนควร
เวลาใดไม่ควร.. พระสงฆ์ต้องเรียนรู้ เวลาใดเหมาะสม เวลาใดควรหยุด หรือ
เวลาใดควรจะนิ่ง


การประกาศข่าวดี จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ และจำเป็นต้องเสียสละอย่างมาก
อุทิศตนเองให้ถึงที่สุด

บรรดาอัครสาวก เมื่อมาเป็นชาวประมงจับมนุษย์ พวกเขาได้ละทิ้งครอบครัว อาชีพ
การงาน มุ่งหน้าไปสู่การประกาศพระวรสารเท่านั้น
เพราะพวกเขาถูกเรียกมาก็เพื่อการนี้

พระเยซูเจ้าได้ทรงมอบภารกิจในการประกาศข่าวดีอย่างเป็นทางการ หรืออย่างสง่างาม
ในวันที่พระองค์เสด็จสู่สวรรค์

"ท่านทั้งหลายจงไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีแก่มวลมนุษย์"
"จงล้างบาปเขาในนามของพระบิดา พระบุตร และพระจิต"

พระสงฆ์ถูกเลือกมา ก็เพื่อ ภารกิจ นี้...

(อ่านต่อ)


วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

วัน 1 เข้าเงียบสงฆ์ประจำปี 2014

วันจันทร์ ที่ 8 กันยายน 2014


วันนี้เป็นวันเริ่มต้นเข้าเงียบประจำปีของพระสงฆ์อัครสังฆมณฑล ท่าแร่ฯ
เมื่อมีเวลา จึงได้คิดพิจารณาว่า "เวลาเงียบ" เราได้รับอะไรบ้าง? "เวลาเงียบ" เราได้สูญเสีย
อะไรไปบ้าง?

เวลาเงียบ เราได้พักผ่อน  เราได้สติ  เราได้ความคิด และเราได้หยุด
เวลาเงียบ เราได้สูญเสียเวลา สูญเสียตัวตนเดิมๆ สูญเสียงาน

มันก็เป็นไปได้นะ..

สำหรับพระสงฆ์..เมื่อเราเงียบ เราได้อะไร?
รื้อฟื้นการตอบรับเสียงเรียกของพระเจ้า "อยู่ครับ"
รื้อฟื้นความตั้งใจ คำสัญญาต่อพระเจ้า  "อยู่ครับ"
รื้อฟื้นความรักและการขอบคุณ  "อยู่ครับ"

เป็นเวลาเหมาะสม สักระยะหนึ่ง ที่เราแต่ละคนควรจะมีเวลา "เงียบ"
เป็นเหมือนช่วงเวลาที่จะรู้จักตนเอง ตัวตนของเราเอง 
และที่สำคัญเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ "พบปะ" กับพระเจ้า
ในเวลาที่เป็นอิสระจากสิ่งต่าง ๆ ในโลก...

อ่านหนังสือ "สะกิดสงฆ์" แปลโดยคพ.ยอห์นบัปติส นรินทร์  ศิริวิริยานันท์ 
หัวข้อแรก ชาวประมงจับมนุษย์

สิ่งที่สะกิดใจคือ

1. การเปลี่่ยนแปลงของมนุษย์คนหนึ่งมาจากการพบปะ หรือ สัมผัสกับพระเจ้า  
พระสงฆ์ต้องตระหนักเสมอว่า "ท่านไม่ได้เลือกเรา แต่เป็นเราต่างหากที่ได้เลือกสรรท่าน" (ยน 15:16)
ปราศจากพระเจ้าแล้ว เราไม่สามารถทำอะไรได้จริง ๆ

นักบุญออกัสติน จากชีวิตที่เหลวแหลก สุรุ่ยสุร่าย กลับเปลี่่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นคนใหม่ ท่านได้พูดว่า "ผมไม่ใช่คนที่คุณคิดอีกแล้ว"

่นักบุญเปโตร เป็นคนกลับกลอก ขี้โม้ ขี้คุย กลายเป็น ศิลา ที่แข็งแกร่ง กลายเป็นที่ตั้งพระศาสนจักร

นักบุญเปาโล เป็นคนเบียดเบียนศาสนา กลายเป็นนักแพร่ธรรมผู้ยิ่งใหญ่

เมื่อพระเจ้าทำงานในตัวของเรา จากสิ่งที่เราเป็น  กลายเป็น สิ่งที่เราเป็นมากกว่าอย่างไม่คาดคิด
วิถีทางของเจ้า ไม่ใช่วิถีทางของเรา..

เมื่อคนหนึ่ง ยอมให้พระเจ้าจัดการกับชีวิตของเขา แน่นอนว่า เขาจะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่
สำหรับพระเจ้า เพื่อคนอื่นจะได้สรรเสริญพระเจ้า

เราเองล่ะ? เรามาจากไหน? เราเคยเป็นใคร? 
และ บัดนี้ เราเป็นใคร? เป็นคนเดิม หรือว่า คนใหม่?

2. การละทิ้งชีวิตเก่าอย่างถอนรากถอนโคน 
นักบุญเปโตร ละทิ้งทุกอย่างและติดตามพระเยซูเจ้า ท่านไม่หันกลับไปทำสิ่งเดิมอีก 
แต่ทำสิ่งใหม่ในสิ่งที่เคยเป็น
นักบุญเปาโล ก็เช่นกัน
บรรดาอัครสาวก.. ทุกคนละทิ้งชีวิตเดิม ๆ และมุ่่งมั่น มุ่งหน้าสู่ชีวิตใหม่..
"ข้าพเจ้าละทิ้งทุกสิ่งติดตามพระองค์ แล้วจะได้อะไร?"

พระสงฆ์ไม่ใช่มีชีวิตเพื่อตัวเอง แต่ให้ชีวิตที่ตนมี อุทิศ เพื่อคนอื่น..


(อ่านต่อ)

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ฉลองพระคุณเจ้าหลุยส์ จำเนียร สันติสุขนิรันดร์ 2014

บรรยากาศ แห่งครอบครับสงฆ์
พ่อและลูก ๆ

ความสุข และความรักแบบครอบครัวเล็ก ๆ น้อย ๆ

สงฆ์หนุ่มแห่งท่าแร่ ได้รวมตัวกันมาขอพรและขอบคุณ พร้อมรับฟังโอวาท
เนื่องในโอกาสฉลองศาสนนามพระคุณเจ้าหลุยส์ จำเนียร  สันติสุขนิรันดร์
ที่สำนักมิสซัง ท่าแร่





บรรยากาศระหว่างการพบปะกับพระคุณเจ้า








ยิ่งมีสงฆ์หนุ่มมาก 
ความห่วงใยของพระสังฆราช ก็ยิ่งมีมาก

ที่สำคัญ "อย่ากลัวเลย"



โอกาสพิเศษ พระคุณเจ้าได้อวยพร
และให้ของขวัญ คนละ 1 กั๊ก




และร่วมกันขับบทเพลง Happy Feast Day





บรรยากาศของครอบครัวสงฆ์ท่าแร่





Salute a te!





นักบุญหลุยส์ ช่วยวิงวอนเทอญ




วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สมโภชแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ


ที่มาของภาพ พิพิธภัณฑ์วาติกัน
โดย Don Tommaso

บทเทศน์

คุณพ่อทั้งสอง เซอร์อธิการ คณะเซอร์ คณะครูที่เคารพ และลูก ๆ ที่น่ารักทุกคน วันนี้เราพากันมาร่วมจิตร่วมใจกัน เพื่อทำการสมโภช หรือฉลองใหญ่วันหนึ่ง นั่นคือ การสมโภชพระนางมารีย์ได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งร่างกายและวิญญาณ หรือ สมโภชแม่พระขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ นั่นเอง
วันนี้ ให้เราร่วมใจกันผ่านทางคำเสนอวิงวอนของแม่พระ เพื่อขอพระเจ้าได้อวยพระพรมายังเราทุกคนที่อยู่ที่นี่ มายังพ่อแม่ของเรา ทั้งบุคคลที่เรารักด้วย โดยเฉพาะแม่ของเรา เดือนนี้ ถือว่าเป็นเดือนของผู้เป็นแม่ ให้เราภาวนาเพื่อท่านเป็นพิเศษด้วย
ในบทอ่านที่ 1 เราได้เห็นเครื่องหมาย 2 ประการ  สตรีคนหนึ่ง และมังกรใหญ่สีแดง เกิดอะไรขึ้น สตรีกำลังจะคลอดบุตร และมังกรใหญ่สีแดงก็อยากจะกินเด็กที่เกิดมา แต่ก็กินไม่ได้ เพราะเด็กที่เกิดมาถูกนำตัวไปหาพระเจ้า หมายถึงอะไร
สตรีผู้สง่างาม ยิ่งใหญ่ มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ สวยสดงดงามกว่าหญิงใดใด ก็คือ แม่พระ แม่พระเต็มเปี่ยมไปด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า และบุตรของแม่พระ ก็คือ พระเยซูเจ้า
 “มังกรใหญ่สีแดง” มีเจ็ดหัว สิบเขา หมายถึง ปีศาจ มันจ้องจะกินเด็ก และจ้องจะกินพวกเราด้วย มันจะทำลายความงดงามของแม่พระ จะทำลายบุตรที่จะเกิดมา และจะทำลายเราทุกคนด้วย เรามนุษย์ไม่สามารถที่จะเอาชนะมันได้ เพราะมันจ้องจะกินเราตลอดเวลา ถ้าเราเผลอ  เราก็จะถูกกลืนอย่างแน่นอน
ปีศาจมันจะกินตรงไหนของเรา รู้ไหม? มันจะกินตรงหัวใจของเราแต่ละคน เหมือนกับมันจ้องกินเด็กที่จะเกิดมาจากสตรีผู้นั้น เพราะเด็กคนนี้เป็นเหมือนหัวใจของผู้เป็นแม่  คนที่ถูกปีศาจกินหัวใจก็คือ เกลียดชังคนอื่น  เคียดแค้นอาฆาตพยาบาท ไม่รู้จักให้อภัย ไม่ประนีประนอม ไม่มีความยุติธรรม  คนที่ใจแข็งกระด้าง ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ อีกทั้งคนที่ไม่สนใจเข้าวัดเข้าวา ไม่สนใจที่จะสวดภาวนา วัดพุทธ ก็ไม่ไป วัดคริสต์ก็ไม่สนใจ  คนเหล่านี้ หัวใจกำลังถูกปีศาจกิน..
แต่สุดท้าย ผู้ที่สามารถเอาชนะปีศาจได้ ก็คือ คนที่อยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า คนที่อยู่ฝ่ายพระเจ้า หรือ คนที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้า นั่นเอง
ในพระวรสาร แม่พระเป็นแบบอย่างแก่เราโดยเฉพาะในเรื่องของการรับใช้ผู้อื่น หลังจากได้รับข่าวว่า นางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ทั้งๆ ที่ชราแล้ว แม่พระก็ไปหาทันที เพื่อรับใช้ เพื่อให้ความช่วยเหลือ ด้วยหัวใจอิสระ และเต็มใจ นี่คือ คนที่อยู่ฝ่ายพระเจ้า อยู่ใกล้ชิดพระเจ้า ไม่ใช่แค่จากการสวดภาวนา แต่อยู่ในการรับใช้กันและกันด้วย
อยากให้เราเลียนแบบชีวิตของแม่พระด้วย โดยเฉพาะในเรื่อง การรับใช้ซึ่งกันและกัน พระเยซูเจ้าสอนเราว่า ผู้ใดอยากเป็นใหญ่ต้องรับใช้คนอื่น แม่พระรับใช้นางเอลีซาเบธ  ครูบาอาจารย์ รับใช้บรรดานักเรียน เฝ้าบอกเตือนสอน ชี้แนะนำ ให้กำลังใจ  แม่ของเรา ก็รับใช้เรา หาเงินหาทอง เลี้ยงดู ให้ความรัก ปกป้อง ดูแลเรา นี่คือ ผู้ที่ยิ่งใหญ่ เป็นหัวใจที่ยิ่งใหญ่
พระศาสจักรทำการสมโภชแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ในวันนี้ เป็นเหมือนกับภาพของความหวังและกำลังใจสำหรับเราทุกคนด้วยว่า สักวันหนึ่งเราจะเข้าสู่เมืองสวรรค์เหมือนกับแม่พระอย่างแน่นอน เมื่อเราผ่านหนทางแห่งการรับใช้ เมื่อเราผ่านหนทางแห่งกางเขน ความทุกข์ยากลำบากในชีวิต ผ่านด้วยความอดทน เพียรทน สวรรค์จะเป็นของเราอย่างแน่นอน เหมือนกับบรรดานักเรียน เมื่อผ่านการเรียนอย่างหนัก ผ่านการท่องอย่างหนัก แน่นอนว่า เราก็จะได้รับความรู้และจดจำในหลายๆ สิ่งแน่นอน ขอให้แบบอย่างของแม่พระเป็นกำลังใจให้กับเราทุกคน
และอีกประการหนึ่งก็คือ การที่แม่พระรับยกขึ้นสวรรค์นี้ แสดงให้เห็นว่า โลกนี้ไม่ใช่บ้านแท้นิรันดรของเรา บ้านที่แท้จริงของเราก็คือ สวรรค์ คนที่ทำความดีก็จะได้รับเมืองสวรรค์อย่างแน่นอน ให้เราหมั่นสร้าง ทำความดีเข้าไว้ ทำดีตามบทบาทหน้าที่สถานะของตนเอง
สุดท้าย เดือนนี้ตลอดทั้งเดือน อยากจะให้เราคิดถึงพระคุณของแม่ เป็นพิเศษ อยากจะให้เราทุกคนตั้งใจว่า เราจะเชื่อฟัง จะรัก และจะให้เกียรติ สำหรับแม่ผู้ให้กำเนิดเรา ให้เราตั้งใจด้วยความอดทน เพียรทนว่า เราจะเป็นลูกที่ดีของแม่ เราจะไม่ทำให้แม่เสียใจ



วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อาทิตย์ สัปดาห์ 19 ธรรมดา A

บทเทศน์


พี่น้องที่เคารพรัก วันนี้เราพากันมาร่วมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการเฉลิมฉลองการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า ให้เรามอบชีวิต กิจการงาน ความกังวลใจต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิตไว้กับพระองค์ ให้วอนขอความเชื่อ ความกล้าหาญที่จะดำเนินชีวิตในหนทางของพระองค์เสมอ

วันนี้พระวาจาของพระเจ้าตรัสอะไรกับเรา

ในบทอ่านที่หนึ่ง เราได้เห็น “การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าประกาศกของพระองค์ คือ อิสยาห์”  ก่อนที่หน้านี้ ประกาศกอิสยาห์ได้ถูกตามล่าจากกษัตริย์อาหับและพระนางเยเซเบล เพราะประกาศกอิสยาห์ได้สั่งให้ฆ่าพระที่นับถือพระบาบัลทั้งหมด ทำให้พระนางเยเซเบลไม่พอพระทัย จึงสั่งคนตามล่า ประกาศกจึงหนีไปยังถิ่นทุรกันดาร ท่านมีความรู้สึกอยากจะตาย เพราะทำดีเพื่อประชาชน แต่ก็ถูกตามล่า  พระเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์มาเลี้ยงดูท่าน นำอาหาร น้ำมาให้ท่าน ทำให้ท่านมีแรง เดินทางมาถึงภูเขาของพระเจ้า คือ ภูเขาโฮเรบ และที่นี่  ประกาศกอิสยาห์สัมผัสถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า ผ่านทางเสียงกระซิบเบา ๆ ไม่ใช่จากพายุแรงกล้า ความรุนแรง หรือแผ่นดินไหว หรือไฟที่ลุกเผาผลาญ

การที่ประกาศกได้สัมผัสถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าในชีวิต ทำให้ท่านมีความกล้าหาญที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับกษัตริย์ เผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น ท่านลงจากภูเขาและทำหน้าที่ของตนเอง

ในพระวรสาร นักบุญมัทธิวได้เล่าถึงชีวิตของพระเยซูเจ้า หลังจากที่ทวีขนมปังเลี้ยงคนแล้ว พระองค์ทรงบอกให้ศิษย์ล่วงหน้าไปก่อน ส่วนพระองค์ทรงส่งประชาชน และพระองค์ก็ เสด็จขึ้นไปบนภูเขา เพื่ออธิษฐานภาวนา ตามลำพัง พี่น้องจะสังเกตเห็นว่า พระเยซูเจ้าทรงภาวนาเสมอ พระเยซูเจ้าทรงภาวนในที่สงบเงียบ บนภูเขาบ้าง ในที่เปลี่ยวบ้าง พระองค์ติดต่อและใกล้ชิดกับพระบิดาเจ้าเสมอ

ส่วนบรรดาศิษย์ได้ลงเรือล่วงหน้าพระองค์ไป เกิดอะไรขึ้น พวกเขาต้องเผชิญกับลม คลื่นที่ซัด ปะทะเรืออย่างหนัก คงจะเต็มไปด้วยความสับสนและวุ่นวายอย่างมาก และเมื่อใกล้จะสว่างพวกเขาเห็นใครก็ไม่รู้เดินบนน้ำ กำลังเข้ามาใกล้พวกเขา ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ผีมา” พวกเขากลัวมาก เสียงดัง เอ็ดอึง

พระเยซูเจ้าตรัส “ทำใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” เปโตรกล้าพิสูจน์ ความเป็นจริง ว่าเป็นผี หรือ พระเยซูเจ้า จึงเดินบนน้ำไปหาพระองค์ตามคำเชื้อเชิญของพระองค์ แต่เมื่อเดินไปสักพัก ก็เริ่มจม เพราะเห็นว่าลมแรง แล้วสุดท้ายก็ร้องให้พระเยซูเจ้าช่วย.. พระองค์ไม่เคยปฏิเสธ จึงช่วยเปโตร และขึ้นบนเรือ

พี่น้องที่เคารพรัก ในบทอ่านที่ 1 เราพบว่า ในความสงบ  เราจะสัมผัสถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า เช่นนี้  เราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใด เช่นเดียวกับประกาศกอิสยาห์ ท่านกล้าที่จะเดินลงจากเขา และกับไปเผชิญหน้ากับศัตรูที่ต้องการฆ่าท่าน ท่านไปทำหน้าที่ที่พระเจ้ามอบหมายให้ท่านอย่างสิ้นสุดชีวิตของท่าน  ชีวิตของเราก็เช่นกัน มีปัญหาและความทุกข์ มีความยากลำบาก ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด ความไม่เข้าใจ  แม้กระทั่งความกลัว  เชิญชวนให้เราคริสตชน เงียบ และภาวนา ตระหนักถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าในชีวิต วางใจในพระองค์ นี่แหละคือขุมพลังในชีวิตของเรา

ในพระวรสาร พระเยซูเจ้า หลังจากทำกิจการงานเสร็จ พระองค์ทรงเสด็จไปภาวนา เงียบ ๆ ตามลำพัง นี่คือ แบบอย่างของชีวิตคริสตชนของเรา ซึ่งเราจะต้องภาวนาเสมอในชีวิต เป็นขุมพลังที่ไม่มีวันหมดสิ้น ที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่เรา ความเงียบและการภาวนา เท่ากับพลังในการขับเคลื่อนชีวิตของเรา เพื่อจะสามารถเอาชนะอุปสรรค์ ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต อาศัยพลังของการภาวนา ยิ่งภาวนา เราก็ยิ่งใกล้ชิดกับพระเจ้า ยิ่งใกล้ชิดกับพระเจ้า ชีวิตของเราก็ไม่ต้องกลังสิ่งใด

เราเห็นบรรดาศิษย์ที่แล่นเรือโดยปราศจากพระเยซูเจ้า พวกเขามีความยากลำบาก ต้องเผชิญ ลม พายุ คลื่น ที่โหมใส่เรือของเขา ทำให้มีความวุ่นวาย ความกลัว อย่างมาก จนมองไม่เห็นพระเยซูเจ้า จนไม่สามารถแยกแยะออกได้เลยว่า เป็นพระเยซูเจ้าจริง ๆ หรือไม่? คิดว่าพระองค์เป็นผีด้วยซ้ำไป  ชีวิตคริสตชนของเราเองก็เช่น ในโลกนี้ เราต้องแล่นเรือชีวิต เราต้องพาครอบครัว ลูกหลานของเรา ดำเนินชีวิต ที่ทวนกระแสของสังคม เราจะไหวไหม?  หากเราไม่มีแก่นในชีวิต กระแสสังคม สอนเรา สอนลูกเราให้มุ่งแสวงหาวัตถุนิยม  ความสุขนิยม ประโยชน์นิยม ความสบายนิยม หรือค่านิยมที่ไม่ดีต่าง ๆ เราไหวไหมที่จะพาลูก และครอบครัวของเราทวนกระแสลม.. หากเราปราศจากความเชื่อในพระเจ้า ปราศจากการภาวนา เราคงต้านทานต่ออิทธิพลของโลกไม่ไหวแน่นอน..

ดังนั้น การร้องหาพระเจ้า และ ภาวนา จึงจำเป็นสำหรับชีวิตของเรา และเราเห็นสภาพเรือของบรรดาศิษย์ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นมาประทับ ทุกอย่างสงบ เงียบ


ชีวิต และครอบครัวของเราก็เช่น ให้เราภาวนา เชิญพระเยซูเจ้ามาประทับในครอบครัวและชีวิตของเราเสมอ 


วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 17 ธรรมดา ปี A


บทเทศน์

คำถาม "อะไรคือสิ่งที่จำเป็น และสำคัญที่สุดในชีวิต?"
คำตอบ "การแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า"

พี่น้องที่เคารพรัก พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ บอกกับเราว่า  สิ่งที่สำคัญที่สุด เป็นอันดับแรก
ไม่ใช่สิ่งอื่นใด นอกจาก "พระเจ้า" เท่านั้น

สำคัญอย่างไร?

ในบทอ่านที่หนึ่ง กษัตริย์ซาโลมอน ได้รับการเชื้อเชิญ ท้าทายจากพระเจ้าว่า "ท่านต้องการอะไร?
ท่านอยากได้อะไร เราจะให้"

กษัตริย์ซาโลมอน ขอในสิ่งที่เราคิดว่า "ขอไปทำไม สิ่งที่ขอไม่จำเป็นเลยสักนิด" "ขอแบบโง่โง่" "
"ขอในเรื่องไม่เป็นเรื่อง"

กษัตริย์ ขอ "ความเข้าใจ" เพื่อจะได้ปกครอง และวินิจฉัยประชากรของพระองค์
พระเจ้าทรงพอพระทัย และประทานให้ พร้อมกับสิ่งอื่น ๆ ตามมาด้วย

อะไรคือความเข้าใจ? และมนุษย์ต้องการที่จะเข้าใจอะไร?
ความเข้าใจ หรือ ปรีชาญาณ เป็นของประทานจากพระเจ้า

สะท้อนไปถึง ต้นไม้แห่งรู้ดีรู้ชั่ว (มนุษย์ไม่ได้วอนขอจากพระเจ้า แต่ขโมย..ฝ่าฝืน ละเมิด
จึงต้องถูกลงโทษ ในความเข้าใจแห่งความชั่ว ในการทำผิดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า)

สะท้อนไปถึง พระคุณของพระจิตเจ้าประการที่แรก

คือพระคุณที่ทำให้เรารู้สึกในอรรถรสของพระเจ้าและสิ่งสร้าง ทั้งช่วยเราให้สามารถแยกแยะ
ความดีจากความชั่ว เมื่อเรารับพระเจ้า เราสามารถสัมผัสความรักของพระเจ้า 
และเห็นคุณค่าของทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างมาในธรรมชาติ  
เช่น เราจะรู้สึกว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดเราเมื่อเราได้ยินเสียงใบไม้ไหว 
หรือเมื่อมองเห็นดาวกระพริบอยู่บนท้องฟ้าในเวลากลางคืน

มนุษย์ไม่เข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างถ่องแท้ จึงไม่สามารถที่จะตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
ว่าจะซื่อสัตย์ต่อพระประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่?
หากมนุษย์เข้าใจว่า พระเจ้าทรงรักเขา
เขาย่อมดำเนินชีวิตในหนทางแห่งผู้ที่รัก และปรารถนาดีต่อเขา

กษัตริย์ซาโลมอน ขอพรจากพระ เพื่อจะสามารถแยกแยะ ดีชั่ว วินิจฉัย ตัดสินได้อย่างถูกต้อง
ตามพระประสงค์ของพระเจ้า มิใช่ตามความคิด หรือ ความรู้สึก หรือตามการกระทำ
ที่สืบต่อกันมา

นี่คือ กษัตริย์ซาโลมอนแสวงหา พระประสงค์ของพระเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก..

ในพระวรสาร เรื่องขุมทรัพย์และไข่มุก เป็นเรื่องของการรู้จึกคุณค่าของสิ่งหนึ่ง
แล้วพยายาม ออกแรง แสวงหา สิ่งมีค่านั้น..ทุ่มเท สุดจิต สุดใจ..

ชายคนหนึ่งพบขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในนา..เขารู้ว่า มันมีคุณค่า มีราคามาก มากที่สุด
หากชาวนาไม่รู้คุณค่าของขุมทรัพย์นี้ ..จะเกิดอะไรขึ้น.. เขาก็คงจะทำนาต่อไป
โดยไม่สนใจ โดยไม่แยแสต่อสิ่งมีค่านี้ อย่างแน่นอน..
แต่ชายคนนี้ รุ้คุณค่า เมื่อพบ จึงทุ่มเท ทุกอย่าง ขายสิ่งอื่น ๆ ที่มีค่าน้อยกว่า มีคุณค่าน้อยกว่า
เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่มีค่าสูงสุด

ขายสิ่งที่มีค่าน้อยกว่า เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่มีค่าสูงสุด

เรารู้ไหมว่า "อะไรคือสิ่งที่มีค่าสูงสุดในชีวิตคริสตชนของเรา?"

พ่อค้าคนหนึ่งแสวงหา "ไข่มุก" ก็เช่นกัน
เริ่มต้นด้วยการรู้จักคุณค่า ของ "ไข่มุก" ว่ามันมีค่ามาก
รู้จักคุณค่า และเริ่มแสวงหา ทุกวัน เสมอ
เมื่อพบไข่มุกที่มีค่ามากที่สุด ยอมขายทุกสิ่ง เช่นกัน เพื่อครอบครองสิ่งนั้น

เรารู้ไหมว่า "อะไรคือสิ่ที่มีค่าสูงสุดในชีวิตคริสตชนของเรา?"

ชายหนุ่ม กับ หญิงสาว มีสิ่งที่มีค่าอะไรที่จะมอบให้แก่กันและกัน
     มันคือ "ความรัก"  ทั้งสองมอบให้แก่กันและกัน

พ่อแม่ กับ บุตร ได้มอบสิ่งมีค่าอะไรให้แก่กันและกัน
    มันคือ "ความรัก" ที่ต้องมอบให้แก่กันและกัน

พี่น้อง เราเข้าใจไหมว่า "พระเจ้าทรงรักเรา" เป็นคุณค่าที่สูงที่สุด
ที่พระองค์ทรงมอบให้แก่มนุษย์

เราล่ะ?  แสวงหาอะไรในโลกนี้?..



วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สมโภชพระตรีเอกภาพ 2014


บทเทศน์


สมโภชพระตรีเอกภาพ
ข้อความเชื่อหลักของพระศาสนจักรคาทอลิก หรือ ของคริสตชน อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ ข้อความเชื่อเรื่องพระตรีเอกภาพ คือ สาม เป็น หนึ่ง หมายความว่า ความเชื่อของเรา เราเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว พระเจ้าของเรามีองค์เดียว แต่มี 3 พระบุคคล ประกอบไปด้วย พระบิดา และพระบุตร และพระจิตเจ้า ทั้งสามพระบุคคลนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน

            พระศาสนจักรสอนเราโดยผ่านทางคำสอนของนักบุญออกัสตินอธิบายว่า เพื่อที่เราจะเข้าใจพระตรีเอกภาพ ให้เราคิดถึง เรื่องความรัก.. โดยนักบุญอธิบายว่า ความรักจะสมบูรณ์ ย่อม ประกอบไปด้วย ผู้ที่รัก ก็คือ คนที่ริเริ่มรัก  ส่วนที่สองคือ ผู้ที่ถูกรัก คือคนที่เป็นเป้าหมายของเรา และส่วนที่สามคือ การแสดงออกของความรัก หมายความว่า เมื่อคนหนึ่งมีความรักก็ย่อมแสดงออก เช่น คริสตชนรักพระเจ้า คริสตชนก็ต้องแสดงออกถึงความรักต่อพระเจ้า คือ มาวัดมาวา สวดภาวนา หรือ พี่น้องรักกันก็ต้องแสดงออกถึงความรักนั้น แม้แต่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เราก็แสดงออกถึงความรักด้วยการภาวนาให้เขา ขอมิสซาให้เขา เป็นต้น

          ในพระคัมภีร์สอนอะไรแก่เราบ้างเรื่องพระตรีเอกภาพ

1.    มีพระเจ้าองค์เดียว
2.    พระตรีเอกภาพประกอบไปด้วยสามพระบุคคล
3.    แต่ละพระบุคคลแยกจากกัน
4.    แต่ละพระบุคคลเป็นพระเจ้า
5.    การสืบเนื่องมาจากกันและกัน
6.    ทั้งสามพระบุคคลมีงานที่แตกต่างกัน

            นี่คือ คำอธิบายถึงพระตรีเอกภาพในภาษาของมนุษย์ และจากการเปิดเผยในพระคัมภีร์ที่สามารถทำให้เราเข้าใจได้ แต่ในธรรมชาติที่แท้จริงของพระเจ้า เราไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมดแน่นอน แต่ก็ไม่ใช่ว่า เราจะไม่สามารถเข้าใจอะไรเลย การทำความเข้าใจว่า พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าเดียว แต่เป็นสามพระบุคคล ทำให้เรามั่นใจว่า พระองค์ประทับอยู่ในชีวิตของเราเสมอ

          พระตรีเอกภาพในชีวิตคริสตชน? ทุกครั้งที่เราทำสำคัญมหากางเขนที่หน้าผาก ที่อก และไหล่ทั้งสองข้าง ก็เป็นการยืนยันถึงความเชื่อในพระตรีเอกภาพ ทุกครั้งที่เราทำสำคัญมหากางเขนก็เป็นการแสดงออกถึงความสุภาพถ่อมตนของเราที่ยอมรับการปกป้องคุ้มจากพระเจ้า พระบิดา พระบุตร พระจิตเจ้า

            เราเคยไหม? ทำสำคัญมหากางเขนเมื่อตื่นนอน เมื่อทำงาน เมื่อขับรถ เมื่อทานข้าว เมื่อจบงาน เมื่อเข้านอน เมื่อออกกำลังกาย ทั้งต่อหน้าคนอื่น และลับตาคน   พี่น้อง..ความเชื่อของเราแสดงออกผ่านทางการทำสำคัญมหากางเขนนี่แหละ

การตอบรับต่อความรักของพระบิดาเจ้า
พระบิดาเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งรวมทั้งมนุษย์ทุกคนด้วยความรัก พระองค์เอาพระทัยใส่อย่างดีต่อทุกสิ่งและต่อทุกคน เราเองก็ต้องดูแลสิ่งสร้างของพระเจ้าด้วยความใจใส่เช่นเดียวกัน แม้กับเพื่อนบ้าน บุคคลรอบข้างด้วยความเคารพและให้เกียรติกันด้วย เราอยู่ในโลกนี้ เหมือนกับเราเป็นผู้ดูแลทรัพย์สมบัติของพระบิดาเจ้าที่ทรงฝากเราไว้ ไม่ว่าอะไรก็ตามเป็นของของพระเจ้า เราเป็นเพียงผู้ที่ดูแล และทำให้เกิดผลเท่านั้น

การตอบสนองต่อการเป็นคนกลางของพระบุตร
พระเยซูเจ้าสอนเราและชี้นำเราให้หนทางแก่เราเพื่อให้เราเป็นที่โปรดปรานของพระบิดาเจ้า ผ่านทางคำสอน พระวาจาของพระองค์ ให้เราร่วมมือกับพระองค์ และเดินตามเส้นทางที่พระองค์ทรงเปิดเผย นั่นคือ ให้เรารักกันและกัน ให้เราให้อภัยแก่กันและกัน และภาวนาให้แก่กันและกัน

เนื่องมาจากคำสัญญาของพระจิตเจ้า
เราจะต้องปล่อยให้พระจิตเจ้านำทางชีวิตของเรา โดยยึดความจริง ความถูกต้อง เป็นหลักในการดำเนินชีวิต และเราจะต้องฟังเสียงของพระองค์ที่ตรัสกับเราผ่านทางมโนธรรมที่ถูกต้องของเรา

แนวปฏิบัติ

จุดหลักและจุดเด่น และเอกลักษณ์ของพระตรีเอกภาพ คือ ความสัมพันธ์และความเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้จะแตกต่างกัน แต่พระองค์ไม่แตกแยกกัน เป็นหนึ่งเดียวกันเสมอ เราจะเห็นได้จากชีวิตของพระเยซูเจ้า ที่พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดาเสมอ แม้ในยามที่ยากลำบากที่สุด พระองค์ทรงไม่สูญเสียความสัมพันธ์หรือความเป็นหนึ่งเดียวกันเลย แม้ต่อหน้าความตาย ที่สวนเกตเสมนี หรือ บนไม้กางเขน พระองค์ยังคงไว้ในความเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดเวลา ไม่ว่าพระเยซูเจ้าจะทำอะไร พระองค์ก็ระลึกถึงพระบิดาเสมอ และพระจิตเจ้าก็นำทางชีวิตของพระองค์เสมอ


จุดเด่นและจุดที่เป็นเอกลักษณ์ของคริสตชนก็คือ ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งกับพระเจ้า และกับเพื่อนมนุษย์ นี่คือ จุดเด่นของเรา เราจะต้องสร้างให้เป็นจริงในชีวิตของเราเสมอ โดยการแสดงออกมาทาง ความซื่อสัตย์ต่อกันและกัน และความจริงใจต่อกันและกัน ซื่อสัตย์ต่อคนในครอบครัวของเรา จริงใจต่อคนที่เราพบปะด้วยเสมอ




วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557

13 มิถุนายน 2014 แห่แม่พระ


ทุกวันที่ 13 ของเดือน
บ้านเณรจัดให้มีมิสซาและแห่พระรูปแม่พระแห่งฟาติมา
โดยการริเริ่มของพระอัครสังฆราชหลุยส์จำเนียร  สันติสุขนิรันดร์

การเตรียมงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เว้นแต่ว่าต้องลุ้นว่า ฝนจะตกหรือไม่?
สุดท้ายแล้ว ฝนก็ไม่ตกลงมา
แต่เมื่อมิสซา และแห่แม่พระเสร็จเรียบร้อยแล้ว..ฝนก็เทลงมาจากฟ้า
ขอบคุณพระแม่ ที่ฟังคำเสนอวิงวอนของลูก ๆ

อาเว มารีอา

บรรยากาศทั่วไป






























เรามีแม่คนเดียวกัน
คือ
พระแม่แห่งฟาติมา