BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

สัมมนาผู้ให้การอบรมในบ้านเณร




สัมมนา
“การสร้างและพัฒนาผู้อภิบาล ตามแผนอภิบาล ค.ศ. 2010-2015” ครั้งที่ 2
แผนกสามเณราลัยและกระแสเรียก
วันที่ 24 – 25 เมษายน ค.ศ. 2012  ณ ศูนย์ฝึกอบรมงานอภิบาล “บ้านผู้หว่าน”
สามพราน นครปฐม

หัวข้อสัมมนา


  • บ้านเณรในฝัน


(ไม่รู้ว่าจะฝันไปทำไม?  น่าจะเปลี่ยนเป็นว่า บ้านเณรในอนาคต ซึ่งจะเต็มเปี่ยมด้วยความหวังมากกว่าที่จะเป็นความฝัน เพราะฝันที่เป็นจริงนั้น ยาก..เพราะฝันก็คือฝัน ไม่มีความจริงใจฝัน)

คพ.สมเกียรติ  ตรีนิกร เน้นย้ำถึงถ้อยแถลงของผู้ให้การอบรมฯ

เน้น บ้านเณร ต้อง เป็น บ้าน  มากกว่า เป็นสถาบัน
เพราะสถาบันจะเป็นสิ่งที่ จากภายนอก ไปสู่ภายใน
แต่ บ้าน  เป็นสิ่งที่ ออกมาจากภายใน สู่ภายนอก..


  • เล่าสู่กันฟัง

ปัญหาที่พบในบ้านเณร และวิธีแก้ไข

ความใจดี ความประนีประนอม การให้โอกาส และเวลา เป็นเสมือนเครื่องมือ หรืออุปกรณ์ที่สำคัญ
สำหรับการตัดสินกระแสเรียก


  • ปัญหา Pedophilia

มีสาเหตุดังนี้

1. ผู้กระทำผิดมีบุคลิกภาพไม่สมวัย ไม่สามารถสร้าง หรือรักษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับคนอื่นไว้ได้ ซึ่ง อาจเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่นเรื่อยมา หรืออาจเพิ่งมาเป็นช่วงวัยผู้ใหญ่ หรือในช่วงปัจจุบันก็ได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้บุคคลที่มีอาการ Pedophilia หันเหความพึงพอใจไปที่ตัวเด็กที่ตนรู้จัก หรือมีความคุ้นเคยแทน

2.ผู้กระทำผิดเคยมีวัยเด็กที่เก็บกดจากการเลี้ยงดู เช่น ถูกเข้มงวดเรื่องเพศจากครอบครัวมากเกิน
ไป ถูกสอนไม่ให้ยุ่งกับเพศตรงข้าม และถูกลงโทษเพื่อกระทำผิด สิ่งเหล่านี้ทำให้มีพัฒนาการทางเพศที่บกพร่องขัดแย้งภายในใจ รวมทั้งมีความเก็บกดเรื่องอารมณ์ทางเพศตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งกรณีนี้พบเห็นได้บ่อยในเมืองไทยเพราะมีกฎเกณฑ์เรื่องเพศ เรื่องการแต่งกาย การไว้ทรงผมที่ค่อนข้างเคร่งครัด และทำให้เด็ก ๆ กดดัน รู้สึกเหมือนถูกบีบมากเกินไป ดังนั้นเมื่อเด็ก ๆ บางคนเติบโตขึ้นในลักษณะที่ฝังใจ บุคลิกภาพเป็นไปไม่สมวัย เมื่อถูกกระตุ้นด้วยเหตุการณ์ เช่น คนรักปันใจให้ชายอื่น และไปเห็นภาพเปลือยของเด็ก หรือภาพเด็กน่ารัก ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพจริง ตามป้ายโฆษณา ในหนังสือ หรือในสื่อต่าง ๆ จะถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ทำให้เกิดความรู้สึกต้องการทางเพศโดยฉับพลัน
ทั้งนี้ ผู้กระทำผิดกลุ่มนี้ จะแตกต่างจากกลุ่มแรก ตรงที่เด็กผู้หญิงที่ถูกกระทำ อาจไม่ใช่เด็กที่รู้จักคุ้นเคยกันดี

3.ผู้กระทำผิดมีจิตทราม (psychopathics) มักมีภูมิหลังต่อต้านสังคม ก้าวร้าว อันธพาล ปฏิเสธ
การทำผิด ติเตียนเหยื่อ โดยคนกลุ่มนี้จะแสวงหาความตื่นเต้นเร้าใจ ก้าวร้าว มักพบในรูปแบบของผู้อุปถัมภ์ ซื้อ
บริการโสเภณีเด็ก

4.ผู้กระทำผิดชนิดติดเงื่อนไข (conditioned) หมายถึง ผู้ที่เคยกระทำความรุนแรง ละเมิดทางเพศ
เด็กมาแล้วและเกิดความพึงพอใจจึงได้กระทำต่อมาเรื่อยๆคนกลุ่มนี้มักพบได้ในเมืองใหญ่

5.ผู้กระทำผิดมีปมด้อยเกี่ยวกับความเป็นชาย เช่น อวัยวะเพศเล็กเกินไป จึงไปสนใจเด็กมากไป

6.ผู้กระทำผิดเกิดความรู้สึกก้าวร้าว อาฆาตแค้นผู้หญิงในจิตไร้สำนึก เช่น ถูกภรรยาดุด่า ดูถูก จน
เกิดอารมณ์เก็บกดนำไปสู่ความวิปริตทางเพศ และการกระทำรุนแรงทางเพศ รวมทั้งก่อปัญหาข่มขืนขึ้นมาได้



เป็นเรื่องที่ต้องเอาใจใส่และระมัดระวังไม่ให้เกิดขึ้นในบ้านเณร










บ้านเณร เป็นบ้านแห่งการบ่มเพาะ
บ้านเณร เป็นเสมือนแปลงสำหรับต้นกล้าอ่อน
บ้านเณร เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นและการปลูกฝังชีวิตพระสงฆ์

บ้านเณร จึงเป็นหัวใจของมิสซัง และพระศาสนจักร




วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

สัมมนาสงฆ์หนุ่ม 2012

สัมมนาชีวิตสงฆ์หนุ่ม รุ่น 1-10 ปี
ระหว่างวันที่ 17-19 เมษายน 2012
ณ สักการสถาน สองคอน


โดยมุ่งเน้นที่งานอภิบาลในรูปแบบวิถีชุมชนวัด (BECs)


นี่คือบรรยากาศของพิธีบูชาขอบพระคุณ
ในช่วงเช้าของวันที่ 18 เมษายน ณ สุสานศักดิ์สิทธิ์ของบรรดามรณสักขี
เป็นบรรยากาศง่าย ๆ เรียบ ๆ สงบ ๆ และมีความสุข

โฉมหน้าของบรรดาพระสงฆ์หนุ่ม ๆ ทั้งหลาย
ตั้งแต่ 10 ปีบวช ลงมา จนถึง เพิ่งบวช















สิ่งที่เป็นเนื้อหาของการสัมมนา

เริ่มต้นด้วย คพ.วิโรจน์ โพธิ์สว่ง ได้บรรยายถึง การอภิบาลครอบครัวโดยเน้นที่วิถีชุมชนวัด
เป็นเสมือนการจุดประเด็น และกระตุ้น บรรดาพระสงฆ์ให้ตระหนักถึงงานอภิบาลที่มีความสำคัญ
และมีความจำเป็นในปัจจุบันนี้

พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 เน้นย้ำว่า ครอบครัวเป็นอนาคตของมนุษยชาติ
                                                                   ครอบครัวเป็นอนาคตของพระศาสนจักร

พระสงฆ์มีบทบาทสำคัญที่จะสร้าง ปลูกฝัง และผลักดันให้ครอบครัวคริสตชน
เติบโต และก้าวหน้าในความเชื่อ จนสามารถ แบ่งปันชีวิตครอบครัวของตนเอง
ไปสู่ครอบครัวอื่น ๆ ได้..

อีกเวลาต่อมา

คุณพ่อสุพล  ยงบรรทม  ได้เล่าถึงประสบการณ์ของการทำงานอภิบาลจากอดีตสู่ปัจจุบัน
รวมทั้งวิธีการที่จะทำงานอภิบาลอย่างไรให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน
รวมทั้งได้บอกวิธีการทำงานอภิบาลของคุณพ่อเองด้วย

ในวันต่อมา

คุณพ่อทวีชัย  ศรีวรกุล  ได้เล่าถึงประสบการณ์การทำงานอภิบาลที่่ทุ่มเท เอาใจใส่ เหมือนกับ
นายชุมพาบาลที่ดี ในการดูแลฝูงแกะของตนเอง และให้ชีวิตที่เป็นแบบอย่างในการทำงาน
ในการเอาใจใส่อย่างเต็มที่   การอยู่กับชาวบ้าน การจุ่มตัวเองกับชาวบ้าน
เป็นเหมือนวิธีการที่เกิดผลที่จะเอาชนะใจชาวบ้าน..

อีกเวลาต่อมา

อ.นิทัศน์ เสมอพิทักษ์ และ อ.ดาวิด พุทธิไสย ได้แบ่งปันประสบการณ์ของสัตบุรุษในการมอง
พระสงฆ์ในงานสร้างวิถีชุมชนวัด และได้พูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ณ เวลาปัจจุบันนี้
เพื่อสร้างความตระหนักและความเอาจริงเอาจังในการทำงานอภิบาล

สุดท้าย

พระคุณเจ้าหลุยส์ จำเนียร ได้ให้โอวาทในการทำงานของพระสงฆ์หนุ่มนี้ โดยเน้นให้เอาใจใส่และทุ่มเท
เพื่อให้เกิดผล ในงานของพระเจ้า และพระศาสนจักร
พระสงฆ์หนุ่มเป็นเสมือนพลังที่ผลักดันมิสซังให้ก้าวหน้าและก้าวเดินไป

พระคุณเจ้ายังรับฟังปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งรับฟังความคิดและมุมมองของสงฆ์หนุ่มทั้งหลาย
ด้วยความเป็นบิดาที่แท้จริง...



วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

สมโภชปัสกา 2012


วัน อาทิตย์ ที่ 8 เมษายน 2012


สุขสันต์วันปัสกา!  พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว!


ภาพที่มา: http://lavignadelsignore.blogspot.com/




เวลาแห่งแสงสว่างมาถึงแล้ว
ทุกอย่างสำเร็จบริบูรณ์แล้ว.. ทั้งความตายด้วย
แขนทั้งสองข้างของพระเยซูเจ้าที่กางออกบนไม้กางเขน 
ยังคงกางออกเช่นนั้นเพื่อเปิดออก เพื่อต้อนรับทุกคนที่หมดหวัง ทุกคนที่หลงทาง 
ทุกคนที่ถูกทอดทิ้ง ทุกคนที่ทรยศ ทุกคนที่มีความเชื่อ และทุกคนที่ไม่มีความเชื่อ

หัวใจที่นิ่งสงบของพระองค์ที่ถูกแทงด้วยหอก จะไม่ปิดเลย ต่อความเมตตา ต่อความทุกข์ทรมาน 
และต่อการทรยศ ไม่มีความทุกข์ทรมานใดจะคงอยู่ตลอดไป พระองค์จะเปิดรับต่อหัวใจที่เปิดออกเสมอ

ทุกอย่างสำเร็จแล้ว เวลาของความทุกข์ในสวนมะกอก เหงื่อที่ไหลออกมาเป็นเลือด 
และน้ำตาที่ไหลออกมาให้กับเยรูซาเล็ม 
การปฏิเสธ การดูถูก การเหยียดหยาม การหัวเราะเยาะ ความขมขื่น และเหนือสิ่งอื่นใด เวลาแห่งความมืดมิด.. 
มันจบสิ้นแล้ว.. เวลานี้มาถึงแล้ว เวลาแห่งแสงสว่าง

พระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นแสงสว่าง ผู้ทรงเป็นชัยชนะ และ ผู้ทรงกลับคืนชีพ ได้เข้าไปสู่พระสิริรุ่งโรจน์ 
ความชื่นชมยินดีซึ่งพระบิดาประทานให้อย่างสมบูรณ์

พระเยซูเจ้า ผู้ทรงเป็นกษัตริย์ และองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งจักรวาลได้กลับคืนพระชนมชีพอย่างแท้จริง
ด้วยความสุภาพ ด้วยการยอมรับความตายบนไม้กางเขน

พระเยซูเจ้าได้ไปเตรียมสถานที่สำหรับพวกเรา พระคูหาที่ว่างเปล่าเป็นพยานว่า ไม่มีความเน่าเปื่อยในร่างกายของพระองค์ นั่นคือ ร่างกายแห่งการกลับคืนชีพ ซึ่งเป็นคำตอบได้ดีที่สุด

ร่างกายที่รุ่งโรจน์และกลับคืนชีพนี้ เผยแสดงให้เราเห็นด้วยว่า เป้าหมายของร่างกายของเราในช่วงเวลาที่
สิ้นสุดของชีวิตของเรานั้น เราจะสวมใส่และจะเปลี่ยนไปสู่พระสิริรุ่งโรจน์ในพระเจ้า

และพระคูหาที่ว่างเปล่าของพระองค์นี้เผยแสดงให้เราเห็นว่า รวมทั้งเราด้วยจะอยู่ในคู่หาแห่งนี้ 
และเราก็จะกลับชีพในพระองค์

ในพระองค์ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ เราจำเป็นต้องหันหน้า
และชีวิตของเราไปสู่พระองค์ ด้วยความหวังในพระองค์

เราอาจจะอ่อนแอ และล้มลง แต่พระเจ้าก็อยู่เคียงข้างเราเสมอ

พระองค์ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ


Buona Pasqua a tutti voi




วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์

พิธีตื่นเฝ้า




ในค่ำคืนนี้ เราเฉลิมฉลองชัยชนะของพระเยซูเจ้าผู้พิชิตความตาย เป็นชัยชนะที่เด็ดขาดของพระผู้สร้าง
และของสิ่งสร้างของพระองค์ ตั้งแต่แรกเริ่มและเป็นศูนย์กลางของชีวิตของเรา

ในวันนี้ มี 2 สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของการเฉลิมฉลองทางพิธีกรรมในการตื่นเฝ้าปัสกา นั่นก็คือ ไฟ และ น้ำ 
แต่สิ่งที่เป็นแก่นสาระในพิธีตื่นเฝ้านี้ด้วยก็คือ การฟังพระวาจาของพระเจ้าในพระคัมภีร์

พระศาสนจักรต้องการที่จะนำพวกเราโดยผ่านทางภาพของประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่
ที่เป็นเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์แห่งความรอด 
ตั้งแต่สร้างโลกโดยผ่านทางการเลือกสรรและอิสรภาพของชาวอิสราเอล
จนถึงการเป็นพยานของคำทำนาย 
และทุกอย่างในพันธสัญญาเดิมนี้เป็นประวัติศาสตร์ที่นำเรามุ่งไปสู่พระเยซูเจ้าอย่างชัดเจนมากที่สุด

ศูนย์กลางของการตื่นเฝ้า อยู่ที่ องค์พระเยซูเจ้า

พระเยซูเจ้าทรงเป็นแสงสว่างของชาวเรา
             แสงสว่างแห่งความรัก และการให้อภัย 
             แสงสว่างแห่งสันติสุขและความสงบ

พระเยซูเจ้าทรงนำความรอดพ้นมาสู่มนุษยชาติ
             พระองค์ทรงชนะความอ่อนแอ ความทุกข์ และความตาย
             พระองค์ทรงเป็นความหวังในความชื่นชมยินดี

พระเยซูเจ้าทรงเป็นชีวิตใหม่
           ชีวิตที่พระเจ้าอยู่กับเรา
           ชีวิตที่สนิทสัมพันธ์กับพระองค์
          ชีวิตที่พระองค์ทรงปกครองและดูแล

พระเยซูเจ้าทรงเป็นการขอบพระคุณ
            ขอบพระคุณในทุกกรณี
            ขอบพระคุณในทุกชีวิตและวิถีทาง..





วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์




วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์  ที่ โคโลเซียม








บทเทศน์ 


ความทุกข์ทรมานเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ 
มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอในชีวิตของเรา เราไม่สามารถเป็นนักบุญได้ 
หากเราไม่ผ่านความทุกข์ทรมาน หรือ ความทุกข์ยากต่าง ๆ ในชีวิตของเรา 
หากเราหลบหนี หรือหันหลังให้กับความทุกข์ยาก ความลำบากในชีวิต 
เราก็ไม่มีวันที่จะสามารถเอาชนะมันได้

พระเยซูเจ้าสอนเรา โดยผ่านทางพระทรมานของพระองค์ 
ให้เราพร้อมที่จะต่อสู้ พร้อมที่จะฝ่าฟัน พร้อมที่จะเผชิญหน้า ด้วยความอดทน ไม่พอ 
จะต้องนำความรักใส่เข้าไปด้วย นั่นหมายความว่า 
การต่อสู้กับความยากลำบากในชีวิตไม่ใช่ด้วยความอดทน แต่พร้อมกับความรัก

ในหัวใจของพระเยซูเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ระหว่าง
ความทุกข์ทรมานและความรัก
อาศัยพลังแห่งความรัก..จะสามารถเอาชนะทุกสิ่งได้ แม้แต่บาป 
แม้แต่ความตาย ก็สามารถเอาชนะได้..

เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในพระทรมานของพระเยซูเจ้า

การจับกุมและไต่สวนพระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้ายู่ต่อหน้าอันนาส
ท่านด้วยที่เป็นศิษย์ของเขาใช่ไหม? ข้าพเจ้าไม่ใช่?
อาณาจักรของเราไม่ใช่โลกนี้
โปรดช่วยให้รอดด้วยเถิด กษัตริย์ของชาวยิว
เอาไป เอาไป เอาไปตรึงกางเขน
พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขนพร้อมกับอีกสองคน
พวกเขาได้แบ่งเสื้อของเรา
นี่คือลูกของท่าน นั่นคือแม่ของเจ้า
ทันทีเลือดและน้ำก็ไหลออกมา
เขาได้นำร่างกายของพระองค์และห่อพระศพ และน้ำมันชะโลม

ความตายของพระเยซูเจ้าไม่ใช่การเป็นพยานแห่งความจริง 
แต่เป็นพยานแห่งความรักของพระองค์ต่างหาก  

ความรักนี้พระองค์ได้สร้างขึ้น ทำให้มันเกิดขึ้น 
ไม่มีความรักใดยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตเพื่อมิตรสหาย 
ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่ให้ชีวิตสำหรับเพื่อนและให้ชีวิตสำหรับศัตรูด้วย

ทำไมพระบุตรของพระเจ้าต้องตาย?

ความตายมาจากบาปของพวกเราหรือ? พระองค์ตายเพราะบาปของเราหรือ? 
พระองค์ตายเพื่อคนบาปหรือ? คำตอบก็คือ 
พระองค์ตายเพราะทรงรักเรา 
พระองค์ทรงรักข้าพเจ้าและได้มอบชีวิตของพระองค์เพื่อข้าพเจ้า น.เปาโลได้พูดเช่นนี้

ความรักของพระเจ้าเป็นการมอบให้เปล่า ๆ อย่างไม่มีขอบเขต 
ไม่มีเหตุผลใดที่จะมาอธิบายหรือจำกัดอิสรภาพของความรักของพระเจ้าได้ 
ฉะนั้น พระเยซูเจ้าจึงทรงสิ้นพระชนม์ด้วยความสมัครใจ เพื่อความรัก 
ไม่ใช่เพราะความจำเป็นต้องตาย แต่เป็นการตายเพื่อความรัก

ดังนั้น กางเขนของพระองค์ เป็นเหมือนกับพระวาจาของพระองค์ ที่เป็น ความรัก...


วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555

บทเทศน์ พฤหัสศักดิ์สิทธิ์


บทเทศน์ วันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์
"มือของพระเยซูเจ้าและเท้าของบรรดาสาวก"

หากเราจินตนาการถึงใบหน้าของบรรดาอัครสาวก เราก็คงจะเห็นใบหน้าที่อึ้ง งง ประหลาดใจ 
ในการกระทำของผู้ที่เป็นอาจารย์ หรือ รับบี.. 
เพราะไม่เคยมีใครทำอย่างนี้มาก่อน

หลายคนอาจจะคิดว่า พระเยซูเจ้าที่เป็นอาจารย์หรือรับบีนี้ เสียสติไปแล้วหรือ?  
หลายคนเข้าใจว่าพระเยซูเจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?

ใช่แล้ว.. พระเยซูเจ้าคงจะเป็นบ้า หรือ เสียสติไปเสียแล้ว...


การล้างเท้าไม่ใช่แค่มีความหมายของการเป็นแบบอย่างเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเผยแสดงอีกด้วย 
เผยแสดงว่า ชีวิตของพระเยซูเจ้า หรือ พระเมสสิยาห์นั้น คือ 

การรับใช้ ความสุภาพ ความถ่อมตน และความรัก

พระเยซูเจ้าไม่เพียงต้องการที่จะให้ตัวอย่างสำหรับบรรดาศิษย์เลียนแบบชีวิตของพระองค์เท่านั้น 
พระองค์ไม่เพียงต้องการแสดงออกให้พวกเขาได้เห็นถึงความสุภาพ และความพร้อมที่จะรับใช้ 
เหมือนกับว่า สิ่งนี้จะต้องเป็นลักษณะหรือเอกลักษณ์ของพวกเขาเท่านั้น
 แต่ต้องการจะเปิดเผยให้พวกเขารู้ว่า ความรักของพระเจ้ามาถึงพวกเขาแล้ว..
แบบนี้แหละ...

พระเยซูเจ้าไม่ได้วางมือของพระองค์บนศีรษะของพวกเขา 
ที่เต็มไปด้วยความฝัน เต็มไปด้วยความคิด 
เต็มไปด้วยทัศนคติ และเต็มไปด้วยความปรารถนาต่าง ๆ

แต่พระองค์วางมือของพระองค์ที่เท้าทั้งสองข้างของบรรดาศิษย์ 
ที่ซึ่ง เท้าของพวกเขา สัมผัสโลก เหยียบแผ่นดิน ในความบอบบาง ในความอ่อนแอ และในความยากลำบาก

เท้าทั้งสองข้างของพวกเขาแบกน้ำหนักของร่างกายทั้งหมด และพาร่างกายเดินไป
เท้าทั้งสองข้างของพวกเขาบอกถึง ที่ที่พวกเขาจะไป และ ผู้ที่พวกเขาจะเดินไปพบ

ในค่ำของวันนี้ เท้าของบรรดาสาวก รวมทั้งของพวกเราด้วย อยู่ในมือของพระเยซูเจ้า 
ก่อนที่จะได้รับการล้างเท้าจากพระองค์

ต่อหน้าพระเยซูเจ้า เราจะต้องถอดตัวเองออกให้หมด เพราะว่า ต่อหน้าพระองค์ ไม่มีสิ่งใดปิดกั้นพระองค์ได้   
เพราะทรงล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในหัวใจของเรา

พระองค์ทรงรับรู้และเข้าใจถึงความยากลำบากและความเจ็บปวดของเรา 
พระองค์ทรงเข้าใจถึงความกระหายความจริง และอิสรภาพในการดำเนินชีวิตของเรา

พระองค์ทรงล้างทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา ด้วยความรักของพระองค์

พระองค์ปรารถนาให้เท้าของเราที่ได้รับการล้างจากพระองค์ เดินไปหาศัตรูของเรา 
เดินไปหาผู้ที่ทรยศเรา เพื่อนำความรอดจากความรักของพระองค์ไปให้พวกเขา

พวกเขาจะต้องไปเพื่อให้อภัย เพื่อที่จะรัก ในแบบของพระองค์ 
กระทำเหมือนกับพระองค์ไม่ใช่ในการประกาศตนอย่างโจ่งแจ้ง แต่ไป และ ทำในความเงียบ
เหมือนกับที่พระองค์ทรงกระทำในค่ำของวันนี้


มิสซารื้อฟื้นคำสัญญาและเสกน้ำมันฯ

วันพุธ ที่ 4 เมษายน 2012
เป็นวันพุธสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์

ในเช้าของวันนี้ เวลา 08.00 น. ที่อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ท่าแร่
ได้เป็นสถานที่สำหรับพิธีบูชาขอบเพื่อการรื้อฟื้นคำสัญญาของพระสงฆ์และพิธีเสกน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ คือ น้ำมันคริสมา น้ำมันคริสตังสำรอง และน้ำมันสำหรับผู้ป่วย

ปีนี้ เป็นปีพิเศษ เนื่องจากว่า ทุกปี อัครสังฆมณฑลท่าแร่ฯ รื้อฟื้นคำสัญญาของสงฆ์และจะเสกน้ำมัน..
ในวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ในตอนเช้า ซึ่งก็กระทำมาเป็นประเพณีกว่าสามสิบปีแล้ว..
ปีนี้จึงเป็นปีพิเศษ พระสังฆราชได้ประกาศให้วันนี้ เป็นมิสซารื้อฟื้นคำสัญญา..เสกน้ำมันศักดิ์สิทธิ์
โดยมีเหตุผลเพื่องานอภิบาล นั่นคือ

เป็นความปรารถนาของมิสซังที่ต้องการให้พระสงฆ์มีเวลาในวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ กับบรรดาสัตบุรุษ
สำหรับการเตรียมตัวเพื่อทำตรีวารปัสกา..

ดังนั้น..แม้จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ใช่สาเหตุทีทำให้พระสงฆ์ขาดความนบนอบ..















เราไม่สามารถคิดได้เลยว่า
หากขาดพระสงฆ์
โลกจะเป็นอย่างไร?
พระศาสจักรจะเป็นอย่างไร?
สังคมจะเป็นอย่างไร?
สัตบุรุษจะเป็นอย่างไร?

พระสงฆ์เป็นเสมือนตัวแทนของพระเยซูเจ้า

จงภาวนาให้พระสงฆ์
เพื่อเขาจะได้มุ่งสู่ความศักดิ์สิทธิ์ ครบครันมากยิ่งขึ้น

จงภาวนาให้พระสงฆ์
เพื่อเขาจะได้ดำเนินชีิวิตที่เป็นแบบอย่างแห่งความรักมากขึ้น

จงภาวนาให้พระสงฆ์
เพื่อเขาจะได้เป็นพยานถึงชีิวิตของพระคริสตเจ้า

จงภาวนาให้พระสงฆ์
เพื่อเขาจะได้เข้มแข็งและสามารถแบ่งปันชีวิตแก่พี่น้องได้


วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

เข้าเงียบเดือนเมษายน

วันอังคาร ที่ 3 เมษายน 2012
เป็นวันเข้าเงียบประจำเดือนของพระสงฆ์อัครสังฆมณฑลท่าแร่ฯ

เทศน์ โดยพระคุณเจ้าหลุยส์จำเนียร  สันติสุขนิรันดร์

สิ่งที่พระคุณเจ้าต้องการบอกกับพระสงฆ์ เพื่อกระตุ้นและเตือนจิตเตือนใจก็คือ

อย่างแรก... การเทศน์ 

พระเจ้าทรงเรียกพระสงฆ์มาให้ทำหน้าที่แทนพระองค์
เป็นปาก เป็นเสียงแทนพระองค์ เพื่อประชากรของพระองค์

การเทศน์ต้องมาจากชีวิตของพระคริสตเจ้า ที่เราจะต้องเรียนรู้ ที่เราจะต้องสัมพันธ์
               และที่เราจะต้องเอามาเป็นแบบอย่างและชีวิตของเรา

เราได้รับสารมาจากพระเจ้า มิใช่มาจากสิ่งอื่น
เราจึงไม่เทศน์เป็นแบบลม ๆ แล้ง ๆ แต่ต้องเสนอชีวิตของพระเยซูเจ้า และคำสอนของพระองค์

พระคัมภีร์... จึงเป็นแหล่งข้อมูล และแหล่งที่มาของชีวิตพระสงฆ์ ที่ต้องเทศน์สอน คำสอน
                     และความรักของพระเจ้า
                   
                    คนของพระเจ้าจะต้องเทศน์คำของพระเจ้า ที่มาจากพระเจ้า

ดังนั้น การอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน..จึงเป็นเสมือนการเตรียมตัวอย่างดี
                                                   เพื่อนำพระวาจาของพระเจ้าไปสู่ประชากรของพระองค์
                                                   จึงเป็นเสมือนการทำให้พระวาจาเป็นชีิวิตของตนเอง

อ่านพระคัมภีร์ทีละน้อย และรำพึงให้มากมาก จะทำให้ความเชื่อของผู้เทศน์เพิ่มมากขึ้น
อ่านพระคัมภีร์ จะเปิดหู เปิดตา  เปิดใจ  เปิดจิตวิญญาณ ของเราสู่พระเจ้า

อย่างที่สอง... การสอนคำสอน
                   
ไม่มีใครสามารถสอนคำสอนได้ดีเท่ากับพระสงฆ์
ไม่มีใครสามารถถ่ายทอดความเชื่อได้ดีเท่ากับพระสงฆ์
ไม่มีใครมีอิทธิพลทางความเชื่อได้เท่ากับพระสงฆ์
ไม่มีใครสอนคำสอนได้แม่นยำได้ดีเท่ากับพระสงฆ์

การสอนคำสอน..เป็นการสอนด้วยการเป็นพยาน
                           พยานแห่งชีวิต เป็นคำสอนที่มีค่ามากที่สุด


พระสันตะปาปายอห์นปอลที่สอง "ถ้าคนหนึ่งแบ่งปันความเชื่อให้คนอื่น ความเชื่อของเขาก็จะ
                                                      เข้มแข็งมากขึ้น"




วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2555

อาทิตย์พระทรมาน

วันอาทิตย์ใบลาน


พี่น้องที่เคารพรัก พระทรมานของพระเยซูเจ้าเริ่มต้นด้วยการที่พระองค์ถูกจับ 
โดยคำสั่งของบรรดาหัวหน้าสมณะ พร้อมกับผู้อาวุโส ธรรมจารย์ และบรรดาสมาชิกของสภาสูงทุกคน  
พวกเขาส่งให้ปิลาต และพระองค์ก็ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการตรึงบนไม้กางเขน 
ด้วยคำสั่งของปิลาต บรรดาผู้นำทางศาสนา และบรรดาชาวยิว 
และพระองค์ก็ต้องแบกกางเขนไปตรึงตัวเองที่เนินเขากัลป์วาลิโอ  
ที่สุดพระองค์ก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหว จึงสิ้นพระชนม์

หากจะถามว่า 
ทำไมพระเยซูเจ้าจึงต้องได้รับการทรมาน 
ทำไมพระองค์จึงไม่หนี 
ทำไมพระองค์จึงไม่แสดงปาฏิหาริย์ 
ทำไมพระองค์จึงไม่เอาตัวรอดเสียก่อน

คำตอบก็คือ ความรักต่อมนุษย์ 
พระองค์ต้องการชี้ให้มนุษย์เห็นว่า บาปนั้นน่ากลัวเพียงไร 
การตัดขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากเพียงไร  
รวมถึงการหันหลัง  การปฏิเสธ การไม่ยอมรับ การเมินเฉยต่อพระเจ้านั้นมันทรมานเพียงไร   
แต่ความรักของพระเจ้าก็ยิ่งใหญ่  ยิ่งใหญ่เกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจได้  
เกินกว่าสติปัญญาของมนุษย์จะหาเหตุผลได้ มนุษย์จึงได้แต่ร้องว่า ทำไม.. ทำไม..  
เพราะว่าไม่มีความผิด ไม่มีความบาปใดที่ไม่สามารถให้อภัยได้ในความรักของพระเจ้า

หากเราจะถามอีกว่า มีใครบ้างที่เป็นสาเหตุทำให้พระองค์ได้รับความทรมาน ความเจ็บปวดในครั้งนี้  
บรรดาผู้ที่เป็นศัตรู  
บรรดาผู้ที่ปฏิเสธพระองค์ 
ผู้ที่คิดจ้องจะทำร้ายพระองค์ 
และที่ทำให้พระองค์เจ็บปวดมากขึ้นก็คือ บรรดาผู้ใกล้ชิดพระองค์ 
โดยเฉพาะผู้เป็นศิษย์ของพระองค์ ยูดาส ขายพระเยซูเจ้า  
เปโตร ปฏิเสธพระองค์ 3 ครั้ง 
รวมถึงบรรดาศิษย์ทุกคนต่างก็พากันวิ่งหนีพระองค์หมดเลย  
และที่เจ็บปวดมากกว่านั้นอีกคือ  เราคริสตชน ผู้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รักพระเยซูเจ้า 
ทุกครั้งที่เราทำบาป ทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับพระประสงค์ของพระองค์ 
นั่นคือ มงกุฎหนาม  การเหยียดหยาม  การดูถูกพระองค์  
เหมือนกับที่พระองค์ได้รับจากบรรดาทหาร บรรดาศัตรูของพระองค์  
มีคำพูดว่า ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดก็คือ บุคคลที่อยู่ใกล้ชิดที่สุด  
หรือ บุคคลที่ทำให้เราเจ็บปวดมากที่สุดก็คือ บุคคลที่รักเรา นั่นเอง

พี่น้องที่เคารพรัก พระทรมานของพระเยซูเจ้ามีความหมายต่อชีวิตของเราอย่างไร?

พระองค์ต้องการเป็นพลังแรงใจ เป็นกำลังใจ และเป็นความหวังให้แก่เรามนุษย์ผู้ที่มีความทุกข์ยาก 
มีความลำบาก มีความกลัว มีความกังวลใจ ว่า ผ่านทางความทุกข์เหล่านี้ เรายังมีความหวัง 
เรายังจะได้รับความสุข เราจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในพระองค์

พระองค์ต้องการให้เราเห็นถึงพลังแห่งความรักของพระเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข 
และพลังนี้ก็เรียกร้องให้เราทุกคนแสดงออกในความรักต่อกันและกัน 
แม้จะอยู่ในภาวะแห่งความยุ่งยาก ความลำบากในชีวิตก็ตาม เราสามารถรักทุกคนได้เสมอ