BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ความชอบธรรมที่ดีกว่า

ความชอบธรรมที่ดีกว่า
มธ 5:20-26


บทเทศน์ โอกาสปิดปีการศึกษา

คณะสงฆ์ เซอร์อธิการ คณะเซอร์ ซิสเตอร์ และคณะครูที่เคารพ และสวัสดีนักเรียนที่น่ารักทุกคน วันนี้เราพากันมาร่วมจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อขอบคุณพระเจ้าสำหรับตลอดปีการศึกษาที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพรต่าง ๆ ที่เราเห็นได้และเห็นไม่ได้ที่ประองค์ประทานให้แก่เรา ผ่านทางคณะเซอร์ ครูบาอาจารย์ พี่ๆ เพื่อนๆ ของเรา และให้เราภาวนาให้แก่กันและกันด้วย

สำหรับคริสตชน หรือ คริสตสนา ในช่วงเวลานี้ เริ่มตั้งแต่วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลมหาพรต ด้วยการรับเถ้า ในเทศกาลมหาพรตบรรดาคริสตชนจะปฏิบัติ 3 เรื่องนี้เป็นพิเศษ คือ 1 การสวดภาวนา  2 การถือศีลอดอาหาร  3 การทำบุญให้ทาน  ในเรื่องของการถือศีลอดอาหาร พระศาสนจักรเชิญและเชื้อเชิญให้คริสชนอดเนื้อในวันศุกร์ตลอดเทศกาลมหาพรตนี้ (ไม่ใช่วันศุกร์ยิ่งกินเนื้อ เนื้อย่าง เนื้อหมุนบ้าง)

วันนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงมีพระประสงค์ให้จัดเป็นวันแห่งการอธิษฐานภาวนาและถือศีลอดอาหารเพื่อสันติภาพของโลก นั่นคือ เชื้อเชิญให้เราทุกคนภาวนา และอดอาหารเป็นพิเศษ เพื่อ มอบเป็นพิเศษให้กับประเทศคองโกและซูดานใต้ ที่แอฟริกา ซึ่งเต็มไปด้วยสงครามและความรุนแรง พร้อมกับการขาดแคลนอาหาร มีผู้อพยพมากมาย เราไม่สามารถทำสิ่งใหญ่โตได้ แต่สิ่งที่เราทำเป็นรูปธรรมได้ด้วยเริ่มจากตัวเอง พร้อมคำภาวนา

ให้เราตั้งใจเป็นพิเศษเพื่อพวกเขาเหล่านั้น

พระเยซูเจ้าตรัสในพระวรสารว่า เราจะต้องเป็นคนดี ดีกว่าคนหน้าไหว้หลังหลอก เราจะต้องเป็นดี ดีกว่าคนหน้าซื่อใจคด นั่นคือ พวกฟาริสี และธรรมาจารย์ เราจะไม่ได้รับรางวัลแห่งเมืองสวรรค์เลย ดังนั้น หากเราทำสิ่งใดจะต้องทำด้วยความจริงใจ ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ด้วยการเสแสร้ง แกล้งทำ

อย่าคิดแค่ว่า การฆ่าคน เท่านั้นจะต้องขึ้นศาล พระเยซูเจ้าเน้น ย้ำลงไปกว่านั้นนี้ว่า แม้แต่คนที่ “โกรธเคืองพี่น้อง” จะต้องขึ้นศาล แม้แต่คนที่ “ด่าพี่น้อง” เพราะการด่า มาจากจิตใจที่โมโห มาจากจิตใจที่เอาแต่ตัวเองเป็นหลัก มาจากจิตใจที่ดูหมิ่นและดูถูกคนอื่น “ด่าว่าไอ้โง่” “หรือ “ไอ้โง่บัดซบ” เป็นเหมือนการไม่ให้เกียรติกัน ดูถูกเหยียดหยามความเป็นเพื่อนกัน ที่สำคัญดูหมิ่นการเป็นบุตรของพระเจ้าในตัวคนอื่นด้วย

เราเป็นนักเรียน ก็เป็น 24 ชั่วโมง ไม่ใช่เป็นแค่ในโรงเรียน หรือช่วงเปิดเรียนเท่านั้น  หรือเป็นนักเรียนเวลากลางวัน ส่วนกลางคืนเป็นนักเที่ยว หากเราเป็นแค่นี้ แสดงว่า เราก็เหมือนพวกฟาริสี หน้าไหว้หลังหลอก เสแสร้งทำเป็นนักเรียน

โรงเรียนสอนเราให้เป็นคนดี เป็นนักเรียนตลอดเวลา เพื่อความดีของเราจะได้เป็นความดีต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

การเปิดเรียน เป็นโอกาสที่เราจะนำความรู้ วิชา คุณธรรมออกไปปฏิบัติกับครอบครัว กับหมู่บ้าน กับสังคมเพื่อให้ทุกที่ที่เราอยู่เต็มไปด้วยความดี  การมีเวลาอยู่กับครอบครัว มีเวลาใช้ชีวิตในสังคม อย่าอายที่ครอบครัวไม่มีอะไร อย่าอายที่จะอยู่กับพ่อแม่ อย่าอายที่จะทำงานบ้าน ช่วยพ่อแม่ ตายายของเรา


พระเจ้าอวยพรผู้ที่มีจิตใจกตัญญูรู้คุณเสมอ

วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

วันศุกร์ หลังวันพุธรับเถ้า

จำศีลอดอาหาร
มธ 9:14-15


มนุษย์จำศีลอดอาหารเพื่ออะไร?

การถือตามกฎบัญญัติและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ดีและสมควรอย่างยิ่งที่ต้องถือ ที่ต้องปฏิบัติ เพราะกฎต่าง ๆ ทำให้เราพัฒนาและเติบโตยิ่งขึ้น

แต่สิ่งสำคัญในการถือ ในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎทางศาสนา หรือกฎระเบียบต่าง ๆ ก็ตาม มนุษย์จะต้องเข้าถึงจิตตารมณ์ของกฎเกณฑ์หรือระเบียบนั้นๆ ให้ได้  หาไม่แล้ว กฎ จะกลายเป็น กด ซึ่งจะทำให้เราเห็นว่า เราถูก "กด" ให้รักษา "กฎ" หรือ เราถูก "กด" ให้ถือ "กฎ" 

เมื่อใดที่เราทำตาม "กฎ" ด้วยใจที่ขาดอิสรภาพและความจำยอม นั่นแสดงว่า เรากำลังถูก "กด" ด้วยตัวของเราเอง 

เมื่อใดที่เราทำตาม "กฎ" ด้วยใจอิสรภาพ เต็มเปี่ยม เข้าใจถึงสิ่งที่ทำและปฏิบัติ นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า เรากำลังเติบโต และรู้คุณค่าของชีวิตและคนอื่น

การถือศีลอดอาหาร เพื่อ อดอาหาร โดยไม่มีอิสรภาพ ขาดเจตจำนงอิสระ ก็เปล่าประโยชน์
การถือศีลอดอาหาร เพื่อ เพียงเพื่อให้เสร็จแล้วผ่าน ก็ไร้ประโยชน์

การถือศีลอดอาหารที่แท้จริงจะต้องออกมาจากใจ.. จากความเข้าใจถึงจิตตารมณ์ หรือ แก่นแท้ของการถือศีลอดอาหาร เราอดอหาร เพื่อให้เห็นว่า อาหารไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ขาดไม่ได้ แต่สิ่งที่เราจะขาดไม่ได้คือ การมีชีวิตในพระเจ้า การอยู่กับพระองค์

บรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าอยู่กับพระองค์ ติดตามพระองค์ ใกล้ชิดพระองค์ นี่คือสิ่งที่สำคัญ ส่วนกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ต้องนับหลังจากนี้ หลังจากที่อยู่กับพระเยซูเจ้าแล้ว เขาจะรู้ว่า ต้องทำอะไรสำคัญก่อนหลัง

ดังนั้น การอดอาหารจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เราใกล้ชิดกับพระเจ้า และใกล้ชิดกับเพื่อนมนุษย์ เพราะ เมื่อเราจำศีลออดอาหาร เรากำลังออกจากตัวเอง ออกจากโลก ออกจากวิถีชีวิตเดิม เพื่อเดินในเส้นทางของพระเจ้าที่สำคัญที่สุด

วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

14 กุมภาพันธ์ วันพุธรับเถ้า



วาเลนไทน์ “พระเจ้ารักคุณนะ”

สวัสดีวันแห่งความรัก 


หนุ่มสาวหลายคนรอคอยวันนี้ และถือว่าวันนี้เป็นวันแห่งความรัก เป็นวันพิเศษสำหรับความรัก นั่นคือ เป็นวันที่จะบอกรัก เป็นวันที่ต้องทำอะไรเพื่อคนที่รัก เป็นวันที่ทำให้ความรักเบ่งบาน ทำให้ความรักสดชื่น ผ่านทางดอกกุหลาบ ผ่านทางช๊อกโกเลต ผ่านทางรูปหัวใจ ผ่านทางสิ่งอื่นๆ อีกหลากหลายวิธีที่จะทำให้แก่กันและกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือ แสดงออกถึงความรัก แสดงออกให้รู้ว่า “รักนะ”


หนุ่มสาวหรือไม่หนุ่มไม่สาว หลายคนถือโอกาสเป็นวันที่ดีที่จะจดทะเบียนสมรสในหลากหลายสถานที่ ในเวลาที่ดีงาม เพื่อให้ความรักคงอยู่ตลอดไป สถานที่บางสถานที่ตกแต่งให้สวยงาม ที่บางแห่งประดับประดาให้สดใสและมีความหมาย “แห่งความรัก”


หากเรามองดูความหมายของการกระทำในวันวาเลนไทน์ เราจะพบว่า ชาย-หญิงคนหนึ่งพร้อมที่จะให้ พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อคนที่ตนเองรัก ทุ่มเทเพื่อให้เป็นวันที่มีความหมายอย่างแท้จริง แน่นอนความหมายนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก ต่างฝ่ายต่างให้และต่างฝ่ายต่างรับซึ่งกันและกัน เหมือนกับการเปิดตัวเองออกสู่กันและกัน ยอมรับกันและกัน
ความรักที่แท้จริงของหนุ่มสาว..ความรักเป็นประตูของหนุ่มสาวที่เปิดออกสู่กันและกัน ความรักเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้นที่คนหนึ่งจะเดินไปสู่อีกคนหนึ่ง  การตอบรับด้วยความรักไม่ใช่ความสำเร็จของชีวิต ไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นเพียงขั้นแรกของการที่จะสนใจ เอาใจใส่กัน การเรียนรู้จักกัน “ผมรักคุณ และฉันก็รักคุณ” ของหนุ่มสาวเป็นเพียงจุดเริ่มต้น และจุดเริ่มต้นคือ การเรียนรู้จักกัน (ไม่ใช่จุดเริ่มต้นด้วยการเสียตัว เสียความบริสุทธิ์ให้แก่อีกฝ่าย เพราะรักจึงยอมเสียตัว มันไม่ใช่นะ)


ความรักที่แท้จริงของคู่แต่งงานหรือคู่ชีวิต... เมื่อเดินเข้ามาในประตูของความรักต่อกันและกันแล้ว ขึ้นแต่ไปไปของความรักคือ การแต่งงาน หรือ เรียกว่า การสร้างครอบครัว การสัญญาที่จะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต ความรักยังคงหล่อเลี้ยงและหล่อหลอมกันและกัน ความรักไม่มีวันเก่า ไม่มีวันจืดจาง มีแต่กลายเป็นความเข้าใจ การยอมรับ ความอดทน และการให้อภัยต่อกันและกัน แต่ในทุกสิ่งมีความรักที่เป็นพื้นฐาน และในความรักของการแต่งงาน ได้สร้างชีวิตใหม่คือ การให้กำเนิดบุตร นี่คือ ครอบครัว..และครอบครัวจะดำเนินไปอาศัยความรักที่มอบให้แก่กันและกัน


ความรักในวันวาเลนไทน์จึงไม่ใช่เน้นที่วัตถุภายนอก ไม่เน้นความอยากได้ ความอยากมี ไม่เน้นการเสียตัว การเสียความบริสุทธิ์ แต่ความรักคือการถนุถนอมและดูแลเอาใจใส่ พร้อมกับการให้เกียติกันและกัน หากจะมอบสิ่งใดให้แก่กัน ก็ควรเป็นการแสดงออกถึงความรักอย่างแท้จริง ไม่ใช่มีเงื่อนไขของผลประโยชน์ซ่อนเงื่อนงำ หากมีผลประโยชน์แอบแฝง ย่อมมิใช่ความรักที่แท้จริง แต่เป็นการหลอกลวงและไม่จริงใจ


เหนืออื่นใด สำหรับคริสตชน “พระเจ้ารักเรานะ” พระองค์ทรงรักเสมอ ไม่มีเงื่อนไขใดใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงยอมทำเพื่อเรา เพื่อช่วยเรา เพื่อให้เราเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ผ่านทางชีวิตของพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระองค์ ในพระบุตรนี้เอง เราพบความรักของพระเจ้าที่เป็นจริง พระเยซูเจ้าทางลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ยอมตายเพื่อเราทุกคน และพระองค์ทำให้เรากลับคืนชีพ มีชีวิตในพระองค์ นี่คือความรักของพระเจ้า

ทุกวันเป็นวันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของพระเจ้า



วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เชื้อแป้ง

เชื้อแป้งคริสตชน
มก 8:12-18


เชื้อแป้งที่พระเยซูเจ้าหมายถึงคือ เชื้อแห่งการหน้าไหว้หลังหลอก เชื้อแห่งความไม่จริงใจ ใจแข็งกระด้าง เชื้อแห่งความรุนแรง เชื้อแห่งการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เชืัอของการทำตามกฏภายนอก ฯลฯ

ศิษย์ของพระเยซูเจ้าจะต้องระวังในเรื่องนี้ เพราะสิ่งเหล่านี้ตรงกันข้ามกับคำสอนของพระองค์ ในเรื่องความรัก ความจริงใจ ในเรืองของความไว้วางใจในพระเจ้า เรื่องของการถือกฎบัญญัติด้วยอิสรภาพและความรักอย่างแท้จริง เพราะพระองค์ทรงสุภาพอ่อนโยนและจริงใจเสมอ

สิ่งที่จะกำจัดเชื้อแป้งเหล่านี้อออกจากตัวของเราได้นั้น เราจะต้องยึดพระเยซูเจ้าเป็นศูนย์กลางของชีวิตผ่านทางการสวดภาวนา การอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ ผ่านทางการฝึกฝนตนเอง นำพระวาจามาปฏิบัติในชีวิต ทำให้ชีวิตเป็นพระวาจาอของพระเจ้า

ชีวิตคริสตชนเป็นชีวิตที่ติดตามพระเยซูเจ้า เป็นชีวิตแห่งการประกาศข่าวดีของพระองค์ เชื้อแป้งคริสตชน จะต้องเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตในโลกด้วยการยึดมั่นในคำสอนของพระเยซูเจ้า ไม่หลง ไม่ไหลไปกับกระแสของโลก ของสังคม ค่านิยมต่าง ๆ ของโลก แต่ยึดมั่นปฏิบัติคำสอนของพระ อย่างเคร่งครัดและไม่ยอมแพ้

เชื้อแป้งของคริสตชนมาจากพระเยซูเจ้า มาจากชีวิตของพระองค์ และเชื้อแป้งนี้จะต้องแผ่ไป ขยายออกไปจากครอบครัว สู่ชุมชนและสังคม 

เชื้อแป้งของคริสตชน คือ รุปแบบและแบบอย่างของชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยการภาวนา การซื่อสัตย์ต่อการงาน การสร้างความสุขและสันติสุขในชีวิตและคนรอบข้าง 

เราจะต้องเป็นเชื้อแป้งที่ดีที่ทำให้ทุกที่ที่เราอยู่เต็มไปด้วยความรักของพระเจ้า


วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

อาหารของลูก

อาหารของลูกๆ
มก 7:24-30


พระเยซูเจ้าทรงทำให้เราเห็นว่า พระองค์เสด็จมาในโลกนี้เพื่อช่วยทุกคนให้รอดพ้น ไม่ใช่เฉพาะชาวยิวที่เป็นประชากรที่ทรงเลือกสรรเท่านั้น แต่พระองค์มาเพื่อทุกคน ให้ทุกคนได้สัมผัสกับความรักของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา พระองค์มาเป็นความหวังสำหรับพวกเขาอย่างแท้จริง

วันนี้ พระเยซูเจ้าทรงทดลองความเชื่อของหญิงคนหนึ่ง ซึ่งหญิงคนนี้เป็นคนต่างศาสนา แต่นางมีความหวังและมั่นใจว่า พระองค์จะต้องช่วยนางอย่างแน่นอน

เรามาดูบทสนทนา

หญิง (อ้อนวอนพระเยซูเจ้าให้ขับไล่ปีศาจออกจากลูกสาวของนาง)
พระเยซูเจ้า   "ให้ลูกๆ กินอิ่มเสียก่อน เพราะไม่สมควรที่จะเอาอาหารของลูกมาโยนให้ลูกสุนัข"

จากเรื่องตรงนี้ แสดงให้เราเห็นว่า หญิงชาวซีโรฟีนีเซีย คนนี้ อาจจะได้ยินสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำในการขับไล่ปีศาจออกจากชาวยิวหลายคน และด้วยความเป็นแม่ นางไม่อาย นางไม่สนใจคนดูหมิ่น ด้วยความรักลูก นางจึงกล้าเข้ามาหาพระเยซูเจ้าและอ้อนวอนพระองค์ แต่คำพูดของพระเยซูเจ้า ที่บอกปฏิเสธอย่างแรง

"ให้ลูกๆ กินอิ่มเสียก่อน"  ชาวอิสราเอลหลายคนยังต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ และพระองค์มาเพื่อคนกลุ่มนี้เสียก่อน เพราะพวกเขาพร้อม พวกเขามีความเชื่อในพระเจ้าอยู่แล้ว จึงจำเป็นให้คนที่พร้อมก่อน พวกเขาจะได้เข้าใจถึงความรักของพระเจ้า

"ไม่สมควร..โยนให้ลูกสุนัข" พระพรของพระเจ้าเป็นสิ่งประเสริฐ ไม่สมควรอย่างยิ่งกับคนที่ไม่เห็นคุณค่า ไม่สมควรอย่างยิ่งกับคนที่ไม่รู้จักพระองค์  สิ่งมีค่าก็ควรจะอยู่กับคนที่มีค่า

คำตอบของพระเยซูเจ้าคงจะทำให้ชาวยิวหลายคนสะใจ เพราะเป็นเหมือนคำดูหมิ่นและเหยียดหยาม คนที่อยู่ใกล้คงจะดีใจในคำพูดของพระองค์ และคงจะเห็นด้วย  แต่ในเบื้องลึกแล้ว พระเยซูเจ้าต้องการที่จะพิสูจน์ถึงความเชื่อแท้ของนาง

หญิง  "แต่ลูกสุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะก็ยังได้กินเศษอาหารของลูกๆ"
ความเชื่อของหญิงคนนี้ มาจากความรักของนางที่มีต่อบุตรหญิง นางต้องการให้พระเยซูเจ้ารักษา แม้จะถูกปฏิเสธ แต่นางก็วอนขอเพียงส่วนน้อยนิด แค่นิดหน่อย บุตรนางก็จะหาย แค่พระองค์ตรัส บุตรนางก็จะรอดพ้น

พระเยซูเจ้า ชื่นชมและยกย่องคำพูดของนาง เพราะนางมีความเชื่อ ปีศาจจึงได้ออกจากบุตรของนางในเวลาที่พระองค์ทรงตรัส

ความเชื่อจะถูกทดลองเสมอ
ความเชื่อจะถูกเบียดเบียนเสมอ
ความหนักแน่นและความสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ
ความซื่อสัตย์และความต่อเนื่องเป็นสิ่งที่ทำให้ความเชื่อดำรงอยู่

วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ปากกับใจ

ปากกับใจของศิษย์พระคริสต์
มก 7:1-13

พระเยซูเจ้าทรงตำหนิบรรดาชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ในเรื่องของการนมัสการสรรเสริญพระเจ้า พระองค์ทรงตำหนิพวกเขาว่า พวกนี้หน้าซื่อใจคด นั่นคือ ปากกับใจไม่ตรงกัน ต่อหน้าอย่างหนึ่ง ลับหลังอย่างหนึ่ง จึงกลายเป็นคนเสแสร้งแกล้งทำ และเป็นคนไม่จริงใจ

ปากพูดอย่าง ใจอีกอย่าง การกระทำที่แสดงออกมาจึงผิดทุกอย่าง

การกระทำที่ถูกต้องก็คือ ใจ และ ปาก ตรงกัน สื่อภาษาเดียวกัน แสดงออกมาอย่างเดียวกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งครบ นั่นคือ ความจริงใจ

ความจริงใจ นี่แหละที่พระเยซูเจ้าทรงต้องการจากบรรดาศิษย์ของพระองค์ และแน่นอนว่า ทุกคนต้องการคนจริงใจ

มนุษย์สามารถแสดงออกภายนอกให้แตกต่างจากภายในใจได้ เพราะมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นถึงเจตนาที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตใจ บาปและการกระทำที่ชั่วร้ายมาจากความแตกต่างของสองสิ่งนี้ หมายความว่า ชีวิตมีการแปลกแยกกัน ไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน

หลายคนจึงยกย่องและชื่นชมกับคำพูดที่น่าฟัง และความเยินยอที่เสแสร้ง สำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์ย้ำว่า ต้องใจและกายตรงกัน "ประชาชนเหล่านี้ให้เกียรติเราแต่ปาก แต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา เขานมัสการเราอย่างไร้ความหมาย"  ทุกการกระทำที่ไม่ได้ออกมาจากใจ เป็นการกระทำที่ไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง หาคุณค่าในตัวเองก็ไม่ได้

ปากพูดออกมาจากใจ แม้จะเป็นคำพูดสั้นๆ หรือซ้ำ ก็มีความหมาย การสวดภาวนาของเราคริสตชนจะมีความหมาย และมีคุณค่าหากคำพูดนั้นออกมาจากใจ ภาวนาด้วยใจ อธิษฐานจากห้วงหัวใจ นี่คือคุณค่าที่แท้จริงของการภาวนา

ปากกับใจไม่ตรงกัน กลายเป็นสิ่งไร้ค่า


จดจำพระองค์

จดจำพระองค์ได้
มก 6:53-56

ประสบการณ์..ทำให้เราจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ
ประสบการณ์ร่วมกัน ทำให้เรากลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

ประชาชนได้มีประสบการณ์กับพระเยซูเจ้า ในการฟัง..การเทศน์สอนของพระองค์  ฟัง..ในการประกาศข่าวดีของพระองค์ ทำให้พวกเขาชอบและพอใจ ทำให้พวกเขามีความหวัง และทำให้พวกเขาเข้าใจถึงความรักของพระเจ้า

คนเจ็บป่วย..มีประสบการณ์กับพระเยูเจ้า ในการรักษา ในการเยียวยาของพระองค์ ผ่านทางความเชื่อมั่น และความไว้วางใจในพระองค์ พวกเขาหายจากโรคภัย ความทุกข์ทรมาน ความเจ็บป่วย ทำให้พวกเขามีความสุขในพระองค์

บรรดาศิษย์..มีประสบการณ์ของการอยู่กับพระองค์ พวกเขาติดตามพระองค์ ไม่ทิ้ง ไม่หนี ร่วมทุกข์ร่วมสุข เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์  ด้วยความหวังในการช่วยให้รอดพ้นของพระองค์

ประสบการณ์เหล่านี้ในชีวิต ทำให้พวกเขา จดจำพระองค์ได้ ไม่มีลืม

ทุกคนแสวงหาพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นศูนย์กลางของชีวิต พระองค์เข้ามาแทรกและเป็นหนึ่งในชีวิตของพวกเขา ผ่านทางประสบการณ์ที่ได้รับ และที่เกิดขึ้นในชีวิต

บรรดาคริสตชนผู้มีความเชื่อ ทุกวันเรารับศีลมหาสนิท ทุกวันเราสวดภาวนา ทุกวันเราได้รับพระวาจาของพระองค์ เรามีประสบการณ์กับพระองค์ทุกวัน และทุกเวลา

เราจำพระองค์ได้ไหม? ในเพื่อนพี่น้อง คนใกล้ชิด คนรอบข้าง..

วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

อาทิตย์ ที่ 5 เทศกาลธรรมดา ปี B

ภารกิจของพระเยซูเจ้า

มก 1:29-39

ตลอดวัน พระเยซูเจ้าทรงทำงาน ทำงานในเทศน์สอน รักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย และขับไล่ปีศาจให้ออกจากคน แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับพระองค์ คือ "การอธิษฐานภาวนา"

พระเยซูเจ้าใช้เวลาสำหรับคนอื่น และทุกคน แต่พระองค์ไม่เคยลืมเวลาที่จะอธิษฐานภาวนา สร้างความสัมพันธ์กับพระบิดาเจ้า เพราะพระองค์มาในโลกก็โดยพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า พระองค์ไม่ได้ทำตามใจตัวเอง

ชีวิตจะมีค่า เมื่อใช้เวลากับพระเจ้าและกับเพื่อนมนุษย์

ในบทอ่านที่1

โยบมองดูชีวิต ก็มี แค่นี้ คือ ชีวิตไม่มีคำว่า "อิ่ม" ไม่มีคำว่า "พอ" และไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรในโลกนี้ เพื่ออะไรกันแน่?  โยบมองดูชีวิตเหมือนไม่มีอะไรเลย และไม่มีคำตอบสำหรับโยบว่า เขาต้องการอะไร มีชีวิต อยู่เพื่ออะไร ชีวิตเหมือนไร้ความหมาย ตื่นขึ้นมา และก็นอนลงไป

แน่นอน ชีวิตสำหรับคนทั่วไปก็มีเพียงเท่านี้ ตื่นขึ้นมา ทำงาน หาเงิน ตื่นเพื่อจะทำงาน  ตื่นขึ้นมาทำงานตลอดทั้งวัน ค่ำลงก็เข้านอนด้วยความอ่อนเพลีย เพื่อตื่นขึ้นในวันใหม่ ชีวิตก็แค่นี้

สำหรับเราคริสตชน ชีวิตไม่ได้มีแค่ทำงาน ทำงาน หาเงิน หาเงิน ค่ำก็เข้านอน พักผ่อน แต่ชีวิตคริสตชนยังมีความหมายมากกว่านั้น เราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อทำงานให้กับตัวเอง สร้างตัวเองจากงานที่ทำ จากกิจการที่ทำ แต่เรามีชีวิตอยู่ในพระเจ้า เพราะชีวิตของเราไม่ได้มีเป้าหมายในโลกนี้ แต่มีเป้าหมายอยู่ที่ความสัมพันธ์กับพระเจ้า การเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า

พระวรสาร 

พระเยซูเจ้าเป็นแบบอย่างแก่เรา พระองค์มีเวลาทำงาน และเวลาอธิษฐานภาวนาเสมอ พระองค์มีเวลาทำงานและเวลาติดต่อสัมพันธ์กับพระบิดาเสมอ  พระองค์ไม่เคยมองเห็นงานสำคัญมากกว่าการอธิษฐานภาวนา พระองค์มีชีวิตงานและชีวิตภาวนาไปด้วยกันเสมอ

เพราะการภาวนาทำให้พระองค์รับรู้ถึงพระประสงค์ของพระบิดาเจ้าในเวลางานของพระองค์
เพราะการอธิษฐานภาวนาทำให้พระองค์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบิดา
  ทุกสิ่งที่พระองค์ทำ เท่ากับ พระบิดาทรงกระทำ
  ใครที่เห็นพระบุตร ก็เห็นพระบิดา

สำหรับเราคริสตชน จะต้องไม่หลงประเด็น และต้องไม่หลงทาง หมายความว่า คริสตชนจะต้องไม่มุ่งเน้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากกว่า แต่จะต้องประสานกลมกลืนกันอย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน

งานและการภาวนา เพื่อให้งานบังเกิดผลจากการอธิษฐานภาวนา

การอธิษฐานภาวนาจะเป็นเหมือนพลังภายในที่คอยขับเคลื่อนให้มนุษย์สามารถทำงาน ออกแรง มีกิจกรรมต่าง ๆ ได้ถูกต้องตามความจริงของพระเจ้า

บทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโครินทร์ ฉบับที่1

ได้เน้นย้ำว่า งานต่างๆ ที่เราทำเพื่อพระเจ้า รางวัลนั้น เป็นของพระเจ้าที่พระองค์จะประทานให้อย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะงานแห่งการประกาศข่าวดี พระเจ้าจะประทานรางวัลให้อย่างแน่นอน อย่างไม่ขาดหายไป เพราะงานประกาศข่าวดีเป็นงานของพระเจ้า มนุษย์เป็นเพียงเครื่องมือของพระองค์เท่านั้น
ดังนั้น ความภูมิใจของนักบุญเปาโล ไม่ใช่อยู่ที่ผลงานที่เกิดขึ้น แต่อยู่ที่ "ท่านได้ลงมือทำงาน ท่านได้ประกาศข่าวดีแก่ทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม" นี่คือความภูมิใจของข้ารับใช้ของพระเจ้า


จึงขอย้ำว่า

มนุษย์ต้องทำงาน

มนุษย์ต้องอธิษฐานภาวนา

มนุษย์จะต้องปฏิบัติ

มนุษย์จะต้องสัมพันธ์กับพระเจ้า


วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

จงมาพักผ่อนกับเรา

จงมาพักผ่อนกับเราตามลำพังเถิด
มก 6:30-34


เมื่อบรรดาศิษย์ได้กลับมาจากการประกาศข่าวดี ตามที่พระเยซูเจ้าทรงส่งพวกเขาออกไปแล้ว สิ่งที่พระองค์กระทำก็คือ เชื้อเชิญพวกเขามาอยู่กับพระองค์ มาพักผ่อนกับพระองค์ มาใช้เวลาหนึ่งกับพระองค์ ดูเหมือนว่า การอยู่กับพระองค์จะสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด

แปลกไหม?
พระองค์ไม่ได้ถามถึงผลงานของบรรดาศิษย์
พระองค์ไม่ได้ถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
พระองค์ไม่ได้ถึงว่าได้ทำอะไรบ้าง

สิ่งที่พระองค์ทำ ก็คือ การเชื้อเชิญให้บรรดาศิษย์มาอยู่กับพระองค์ตามลำพัง

งานเป็นของพระเจ้า  ผลงานก็เป็นของพระองค์ มนุษย์จะหลงและภูมิใจในผลงานของพระเจ้าหรือ? พระองค์ไม่ต้องการให้บรรดาศิษย์หลงประเด็น หรือจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังไม่ถูกต้อง แต่ต้องการให้เขาเห็นถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ "การอยู่กับพระองค์"

การเงียบในแต่ละวันสักนาที
การยกจิตใจขึ้นหาพระ สักนิดหนึ่ง
การเฝ้าศีลมหาสนิท
การอ่านพระคัมภีร์
การสวดภาวนา

ในเวลาทำงาน หรือ ในแต่ละวัน หากมนุษย์ตระหนักถึงสิ่งสำคัญคือ "การอยู่กับพระเจ้า" แน่นอนว่า สิ่งที่มนุษย์จะเป็นย่อมมากกว่าสิ่งที่มนุษย์จะมีเสียอีก

ดังนั้น การอยู่กับพระเยซูเจ้า จึงมีพลังที่เข้มแข็งสำหรับการทำหน้าที่ของตนในแต่ละวัน เพราะพรองค์เป็นพละกำลังของเราเสมอ

มีหลายคนที่เอางานมาเหนือพระเจ้า  มีหลายคนแสวงหางานมากกว่าพระเจ้า มีหลายคนทำงานมากกว่าอยู่กับพระเจ้า เช่น ขาดวัดวันอาทิตย์ เพื่อไปทำงาน  หรือไม่อยากสวดภาวนา เพราะเหนื่อยจากงาน  ไม่มีเวลาไปวัด แต่มีเวลาไปเที่ยวในที่ต่าง ๆ

สำหรับคริสตชน "ความสัมพันธ์กับพระเจ้า ต้องมาก่อนหน้าที่การงานในโลกนี้เสมอ"

วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ฉลองการถวายพระกุมารในพระวิหาร

องค์พระผู้เป็นเจ้าแสดงองค์
ลก 2:22-32

Presentation of the Lord

พระมารดามารีย์และนักบุญโยเซฟ ได้นำพระกุมารมายังพระวิหารเพื่อทำพิธีตามธรรมเนียมของชาวยิว สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ ผู้เฒ่าซีเมโอน ได้เข้ามาอุ้มพระกุมาร และกล่าวยืนยันถึงพระกุมารว่า 

1. พระกุมารเป็นพระผู้ช่วยให้รอดพ้น 

2. พระกุมารเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับนานาชาติ

3. พระกุมารเป็นแสงสว่างเปิดเผยให้คนต่างชาติรู้จักพระเจ้า

4. พระกุมารเป็นสิริรุ่งโรจน์สำหรับอิสราเอล

ภายใต้การนำของพระจิตเจ้า ผู้เฒ่าซีเมโอนจึงรู้จักพระกุมารน้อย เพราะพระจิตเจ้าได้นำท่านมายังพระวิหารและได้เห็นความรอดพ้นมาสู่ทุกคนผ่านทางกุมารน้อย  ทั้งๆ ที่ท่านไม่เคยรู้จักกุมารนี้เลย และไม่รู้จักพระนางมารีย์ นักบุญโยเซฟด้วย  แต่เพราะพระจิตเจ้า ท่านจึงเห็นการช่วยให้รอดพ้น

เราจึงเห็นได้ว่า "ไม่มีใครอื่นใดที่จะช่วยโลกให้รอดพ้นได้ นอกจากพระเยซูเจ้า" นานาชาติที่ยังไม่รู้จักพระคริสตเจ้า จะต้องรู้จักพระองค์ เพื่อจะได้รับความรอดพ้น เพื่อจะได้เห็นแสงสว่างในการดำเนินชีวิต ในการเติบโตในความรักต่อกันและกัน

เราคริสตชนมีหน้าที่ในการ นำเสนอพระเยซูเจ้าต่อคนอื่น ต่อหน้าคนต่างศาสนา ถือว่าเป็นพันธกิจที่สำคัญสำหรับเรา