BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อาทิตย์ 29 ธรรมดาปี C


บทเทศน์

การภาวนาและความเชื่อ

การภาวนาและความเชื่อจะต้องเคียงคู่กันไปเสมอ ในทำนองที่ว่า เป็นเพื่อนรักกัน เมื่อมีการภาวนา ก็ย่อมมีความเชื่อ เมื่อมีความเชื่อก็ย่อมภาวนา ไปด้วยกัน ไม่ทิ้งกัน เหมือนกับพระบัญญัติเอก คือ รักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง นี่ก็ไปเป็นคู่ ๆ จะทิ้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้

เราได้ชื่อว่าเป็นคริสตชน เป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า เป็นผู้มีความเชื่อ  เราไม่สามารถบอกได้ว่า เรามีความเชื่อ โดยปราศจากการสวดภาวนา หรือ เราภาวนาโดยไม่มีความเชื่อ ก็เท่ากับว่า เราพูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ เหมือนคนต่างศาสนา ไม่มีประโยชน์อะไร?

การภาวนาเป็นการเผชิญหน้ากับพระเจ้าแบบหน้าต่อหน้า เผชิญหน้าต่ออำนาจของพระเจ้า อำนาจแห่งความรักของพระองค์ ทุกครั้งที่เราภาวนา เราได้รับการหล่อเลี้ยงและหล่อหลอมจากความรักของพระองค์ที่ทรงห่อหุ้ม หรือ โอบล้อมชีวิตของเรา
ความเชื่อเป็นการเดินทางมุ่งไปสู่พระคริสตเจ้าและพบปะกับพระองค์ ในรูปแบบของปัสกา คือ กางเขนและการกลับคืนชีพ หลายครั้งการภาวนาของเรา เราไม่สามารถเข้าถึงกางเขนและการกลับคืนชีพกับพระคริสตเจ้าได้ เพราะว่ามีความจำเป็นหลายอย่างในชีวิต ทำให้เราเข้าถึงพระองค์ไม่ได้ เราเชื่อ เราภาวนาวอนขอแต่สิ่งที่จำเป็นหรับโลกนี้ เราภาวนาเหมือนกับว่าเราบังคับพระเจ้าได้ ต้องได้เดี๋ยวนี้ เวลานี้ และเราภาวนามีเงื่อนไขเสมอ.. นี่จะทำให้เราเข้าสู่ชีวิตของพระเจ้าไม่ได้

การภาวนา เป็นการแสดงออกถึงความเชื่อ ความวางใจ ในความรักของพระเจ้า ซึ่งท่าทีของการภาวนาจะต้องแสดงออกถึงความสุภาพ ถ่อมตน และรอคอยด้วยความหวังและความวางใจ และที่สำคัญ เราจะต้องภาวนาด้วยความเพียรทน..

พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ ในบทอ่านที่1 สงครามกับชาวอมาเลข สิ่งสำคัญคืออะไร? ไม่ใช่ความเข้มแข็งของกองทัพ ไม่ใช่ความเก่งกาจของแม่ทัพ ไม่ใช่เพราะจำนวนมากมายของนายทหาร แต่อยู่ที่มือทั้งสองข้างของโมเสส ซึ่งยกขึ้น แสดงออกถึงการภาวนาถึงพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ เป็นการภาวนาด้วยความเพียรพยายาม เราจะสังเกต โมเสสยกมือขึ้นตั้งเช้าจนถึงตะวันตกดิน และพวกเขาก็ได้รับชัยชนะ เป็นชัยชนะที่ได้รับมาโดยอาศัยพระเจ้า

ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าทรงสอนเราว่า “จำเป็นต้องอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย” และพระองค์ได้ทรงยกตัวอย่างของหญิงม่ายที่ต้องการความยุติธรรม โดยรบเร้าผู้พิพากษาคนหนึ่งให้ช่วยนาง ด้วยความเพียรทน และด้วยความอดทน พยายาม จนในที่สุดผู้พิพากษาคนนั้นก็ยอมว่าความและนำความยุติธรรมมาให้แก่หญิงม่ายคนนั้น เพราะเห็นแก่ความเพียร อดทน พยายามของนาง

เราจึงเห็นได้ว่า การภาวนาด้วยความเพียรทน เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเราคริสตชน เพราะการภาวนาเป็นการทำให้ความเชื่อของเราเติบโตในความวางใจและความรักที่เรามีต่อพระเจ้าของเรา ในพระวรสารตอนท้าย ๆ พระเยซูเจ้าทรงท้าทายเราว่า “เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาจะพบความเชื่อในโลกนี้หรือ?” พระองค์ทรงท้าทายเราว่า เมื่อพระองค์เสด็จมา เราจะยังคงมีความเชื่อในพระองค์อีกหรือ?  หากเราไม่ภาวนา แน่นอนว่า ความเชื่อของเราก็คงจะดับไป คงจะไม่เหลืออยู่อย่างแน่นอนในวันที่พระคริสตเจ้าเสด็จมาอีกครั้งหนึ่ง

พระสันตะปาปาฟรังซิส ย้ำเตือนจิตใจของบรรดาคริสตชนว่า “เราจะต้องภาวนาอยู่เสมอ ไม่ใช่ทำเป็นสวดภาวนาต่อหน้าคนอื่น” การภาวนานี้ พระสันตะปาปา หมายถึง การภาวนาจากใจ ภาวนาจากหัวใจ ด้วยความสุภาพ ถ่อมตน และด้วยความวางใจ การภาวนานี้ พระองค์ไม่ได้หมายถึงการภาวนาตามบทสวด ท่องตามบทให้มันผ่าน ๆ  แต่ไม่ได้เข้าลงลึกในหัวใจของเรา


การภาวนาเป็นการแสดงออกของความเชื่อ  การภาวนาเป็นเติมไฟในความเชื่อของเราให้เข้มแข็งและให้ลุกโชติช่วงอยู่เสมอ

0 ความคิดเห็น: