BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556

อบรมเตรียมเด็กรับศีลสง่า



ณ โรงเรียนเซนต์โยเซฟ ท่าแร่
9 มีนาคม 2013


เตรียมรับศีลสง่า (การรื้อฟื้นคำสัญญาแห่งศีลล้างบาป)

บทนำ
สวัสดีลูก ๆ คริสตชนที่รักทุกคน วันนี้เรามาเข้าเงียบเพื่อเตรียมจิตใจของเราในการที่จะรับศีลสง่า ซึ่งมีความหมายถึง การรื้อฟื้นคำมั่นสัญญาแห่งศีลล้างบาป ซึ่งเราได้รับเมื่อครั้งที่เราเป็นเด็กทารก
การมาเข้าเงียบ หมายถึง การมาเพื่อที่จะเงียบสงบ ทั้งกาย และ จิตใจ เพื่อจะได้อยู่กับตนเอง และอยู่กับพระ
การเงียบสงบทางกาย ก็คือ การไม่พูด ไม่คุยกัน เพราะจะทำลายบรรยากาศของความเงียบ เพระจะทำลายความสงบของเพื่อน ๆ ด้วย (ในเวลาที่เงียบ)
การเงียบสงบทางจิตใจ นั่นก็คือ การหยุดคิด หยุดฟุ้งซ่าน หยุดกังวลใจ แต่ให้หันจิตใจไปที่พระเจ้า หันจิตใจไปหาพระเจ้า เหมือนกับดอกทานตะวันที่หันไปตามดวงอาทิตย์
นี่คือ ลักษณะของการเข้าเงียบ

เนื้อหา

เมื่อเรามาที่นี่ วันนี้ แม้ว่าจะมาด้วยเหตุผลใดใดก็ตาม สิ่งสำคัญในเวลานี้ เรามีชีวิตอยู่ เราอยู่ที่นี่ เราอยู่กับเพื่อน ๆ คุณพ่ออยากให้เราคิด พิจารณาไตร่ตรองไปพร้อม ๆ กัน ในเรื่อง ชีวิตคริสตชนกับศีลศักดิ์สิทธิ์

ศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่พระเป็นเจ้าทรงสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางในการประทานพระพรสวรรค์  พระหรรษทาน  เป็นการประทานความช่วยเหลือจากสวรรค์ให้แก่มนุษย์  ให้มนุษย์แน่ใจว่ามนุษย์สามารถเอาตัวรอดไปสวรรค์ได้    ในขณะที่มนุษย์ยังดำเนินชีวิตอยู่ในหนทางของการประจญล่อลวง  เป็นเหมือนกับ การเดินเรือในทะเล  จากฝั่งนี้ไปสู่ฝั่งโน่น  ระหว่างที่อยู่กลางทะเลนั้นมีพายุมากมาย  อุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้เราเรียกว่าศีลศักดิ์สิทธิ์  ศีลศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เหล่านี้เอง  เป็นเหมือนเครื่องที่จะช่วยพยุง  ค้ำจุนมนุษย์หรือให้ความมั่นใจให้แก่มนุษย์ว่า  มนุษย์จะสามารถไปถึงอีกฝั่งหนึ่งอันเป็นฝั่งแห่งชีวิต  เวลาไปถึงฝั่งแห่งชีวิต  ความหมายคือ เราสามารถเข้าไปสู่สวรรค์ได้นั่นเอง 

ชีวิตคริสตชน กับศีลศักดิ์สิทธิ์  แยกออกจากกันไม่ได้เลย ทุกเวลาชีวิตของเราคลุกคลี และเป็นหนึ่งเดียวกับศีลศักดิ์สิทธิ์เสมอ ไม่ว่าจะเป็นอดีต หรือ อนาคต หรือ ปัจจุบันก็ตาม ชีวิตคริสตชนก็ผูกพัน และสัมพันธ์กับศีลศักดิ์สิทธิ์
ตั้งแต่เวลาเกิด เราก็ได้รับศีลล้างบาป และรับได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
เมื่อโตขึ้นมา เราก็ได้รับศีลมหาสนิท พระกายและพระโลหิตของพระคริสตเจ้า    ซึ่งเราต้องหล่อเลี้ยงเสมอในชีวิตครสิตชนของเรา พร้อม ๆ กับศีลอภัยบาป ศีลแห่งการคืนดีกับพระเจ้า
เมื่อโตขึ้น เราได้รับศีลกำลัง องค์พระจิตเจ้าเสด็จมาประทับอยู่กับเราอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับพระหรรษทานของพระองค์
เมื่อเป็นผู้ใหญ่ เราสามารถเลือกทางเดินชีวิตตามกระแสเรียก ไม่ว่าจะแต่งงาน หรือ บวชเป็นพระสงฆ์ พระพรของพระเจ้าก็อยู่กับเรา
แม้แต่ในเวลาที่เราใกล้จะตาย หรือ ป่วยหนัก อยู่ในสภาพที่อ่อนแอทางร่างกาย ศีลเจิมผู้ป่วย ก็ช่วยเยียวยาและทำให้เราได้รับพละกำลังจากพระเจ้า
ชีวิตคริสตชน จะปฏิเสธศีลศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เลย เพราะว่า พระหรรษทานของพระเจ้าลงมาเหนือเรา ลงมาสู่ชีวิตของเราในศีลศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์  เพราะฉะนั้น ศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นเหมือนประตูที่เปิดออกให้เราได้เข้าไปมีส่วนร่วมในชีวิตของพระเจ้า ในแต่ละช่วงและแต่ละเวลาที่แตกต่างกัน
หากเรามองในอีกแง่มุมหนึ่งของความหมายของศีลศักดิ์สิทธิ์ เราพบว่า ศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นการพบปะกับพระเจ้า เป็นวิธีการหนึ่งที่พระเจ้าจะช่วยมนุษย์ให้ได้พบกับความรักของพระองค์ ให้มนุษย์ได้มั่นใจว่า พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเขาเลย
เราจะตอบรับและปฏิบัติตนอย่างไร?

เราอยู่ ม. 3 เราได้รับศีลศักดิ์สิทธิ์มา 4 ศีลแล้ว คือ ศีลล้างบาป ศีลกำลัง ศีลอภัยบาป และศีลมหาสนิท สำหรับศีลอภัยบาป เป็นศีลแห่งการคืนดี และเตรียมจิตใจเรา ให้เข้าไปรับศีลมหาสนิท ซึ่งเราได้รับอยู่เสมอ ส่วนศีลกำลัง เราเพิ่งได้รับมาไม่กี่ปีนี้เอง แต่ว่า ศีลล้างบาป เราได้รับมานี่ก็กินเวลาประมาณ 15 ปีมาแล้ว สิ่งที่คุณพ่ออยากจะบอกกับเราในวันนี้ก็คือ อยากให้เราคิดพิจารณาถึงศีลล้างบาปที่เราได้รับ เมื่อ 15 ปีที่แล้ว อยากให้เราคิดว่า ศีลล้างบาป กับ ชีวิตของเราในปัจจุบันนี้ สอดคล้องกันหรือไม่? หมายความว่า เราดำเนินชีวิตสอดคล้องกับศีลล้างบาปที่เราได้รับหรือไม่?

คำสำคัญในศีลล้างบาป
1.    การลบล้างบาป
2.    การเป็นบุตรของพระเจ้า
3.    การเป็นสมาชิกของพระศาสนจักร
4.    การรับพันธกิจ 3 ประการ  การเป็นกษัตริย์  การเป็นสงฆ์  การเป็นประกาศก
ในข้อแรก ศีลล้างบาปได้ลบล้างบาปทั้งหมดของเราแล้ว เรากลายเป็นผู้บริสุทธิ์  แต่เวลานี้ เราสะสมความบาปเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน?  เราได้รับการชำระล้างจากความรักของพระเจ้า จากการตายบนไม้กางเขนของพระเยซูเจ้า ทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่มีบาป แต่ตายเพื่อลบล้างบาปของเรา เราได้ออกแรง หนีห่างจากบาปมากน้อยแค่ไหน?
ในศีลล้างบาป เราได้ปฏิญาณว่าจะละทิ้งปีศาจและกิจการทั้งสิ้นของมัน โดยผ่านทางปากของบิดามารดา และพ่อแม่ทูนหัว พร้อมกับญาติพี่น้องที่มาชุมนุมกันในวันรับศีลล้างบาป ในเวลานี้ หลายปีที่ผ่านมา เราได้ปฏิเสธหรือยอมรับการทำงานของปีศาจและกิจการของมัน โดยสมรู้ร่วมคิด สมรู้ร่วมปฏิบัติกับมันหรือ? เราปฏิเสธ เราละทิ้ง หรือเราสนับสนุนกิจการงานของมัน (เรื่องเล่า ที่บ้านเณรมีหมา 5 ตัว มีตัวหนึ่งที่อ้วนกว่าตัวอื่น ๆ และมีตัวหนึ่งที่ผอมที่สุด เหมือนกับหมาใน ฮายีนา คุณพ่อเฝ้ามองดูและเห็นตัว ตัวที่อ้วนนั้นมันได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากแม่ครัว คือ ป้อนมันด้วยตับหมู และตับไก่ ส่วนตัวที่ผอมนั้น มันได้กินแต่ข้าวเปล่า คุณพ่อมาคิดเปรียบเทียบว่า คนเรา ถ้าเราเลี้ยงปีศาจด้วยความชั่วต่าง ๆ ปีศาจก็คงจะอ้วนพี และแข็งแรง หรือ ถ้าเราทำดีมาก ๆ ความดีก็คงเติบโตและแข็งแรงอย่างแน่นอน...)
บาปนำความตายมาสู่ชีวิตของเรา บาปนำการลงโทษมาสู่เรา ทั้งในโลกนี้ และในโลกหน้า ดังนั้น เมื่อเรามีโอกาส หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างความดีกับความชั่ว เราต้องเลือกความดี และความถูกต้องเสมอ
อายุช่วงม.3 เป็นช่วงเวลาแห่งอิสรภาพ ที่เติบโตในหัวใจ เป็นช่วงเวลาที่อยากจะใช้อิสรภาพที่มีเต็มที่ อาจจะทดลองสิ่งต่าง ๆ โดยไม่คำนึง ไม่แคร์สิ่งอื่นใด (ตายเป็นตาย เพื่อได้มาซึ่งประสบการณ์ และความพึงพอใจ) หลายคนเสียคนในช่วงเวลานี้ เราจะต้องตระหนักเสมอว่า บาปคือนำความตายมาสู่ชีวิตของเรา
ข้อสอง การเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นเกียรติและศักดิ์ศรีที่พระเจ้าให้แก่เรา เราจะต้องรักษาเกียรติแห่งการเป็นบุตรของพระเจ้าเอาไว้ ไม่ใช่เอาไปแลกกับความสกปรก ความไม่ดีต่าง ๆ
คุณพ่ออยากถามเราว่า เราภูมิใจกับการที่เราเป็นลูกของพ่อแม่ของเราไหม? เราภูมิใจไหมที่มีพ่อแม่เป็นแบบนี้?  เราภูมิใจไหมที่พ่อเป็นคนขี้เหล้า เราภูมิใจไหมที่แม่ชอบบ่น จู้จี้จุกจิก เราภูมิใจไหมที่พอเป็นใบ้ พิการ เราภูมิใจไหมที่พ่อแม่ของเราทำงานเพื่อเรา เราภูมิใจไหมที่พ่อแม่ปล่อยให้เราอยู่กับตายาย.. หากเรารู้สึกอายที่จะเป็นลูกของพ่อแม่แบบนี้ แสดงว่า เราไม่สมควรที่จะเรียกท่านว่าพ่อแม่..
ลูก เป็นศักดิ์ศรีของพ่อแม่ และครอบครัวเสมอ ลูกเป็นหัวใจของครอบครัว และเป็นชีวิต เป็นอนาคตของครอบครัว ลูกที่ดี และซื่อสัตย์ย่อมทำให้พ่อแม่ดีใจ ภูมิใจ และสบายใจ
คริสตชนก็เช่น เราเป็นศักดิ์ศรีของพระเจ้า เราเป็นบุตรของพระเจ้า เรามีพระเจ้าเป็นบิดาของเรา แต่หลายครั้งเราทรยศ หักหลัง ทิ้งความเป็นลูก ตัดขาดความเป็นพ่อเป็นลูกกัน โดยการปฏิเสธ โดยการหันหลังไม่สนใจในคำสอนของพระองค์ วัดวาไม่เข้า ไม่แก้บาป รับศีล ประพฤติตนเสเพล  ทั้ง ๆ ที่บิดาแสนดี แต่ลูกกลับแสดงออกถึงความไม่สมเกียรตินั้น ๆ  ดังนั้นเราต้องตระหนักให้ดี ดี ก่อนจะทำอะไร เพราะเราเป็นคริสตชน ลูกของพระเจ้า
ในเรื่องการเป็นสมาชิกของพระศาสจักร แสดงออกให้เห็นว่า เราเป็นส่วนหนึ่งในพระกายของพระคริสตเจ้า หรือ เราเป็นพี่น้องกัน หรือ เราเป็นครอบครัวเดีวกัน
ในเรื่องพันธกิจในศีลล้างบาป การเป็นสงฆ์  การเป็นประกาศก การเป็นกษัตริย์ ถือว่าเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องกระทำ เพราะเรารับศีลล้างบาป พร้อมกับภาระและหน้าที่ตามมาทันที จะทิ้งไม่ได้
การเป็นสงฆ์  คือ การมีส่วนร่วมในศาสนพิธีกรรมต่าง ๆ
การเป็นกษัตริย์ คือ การมีส่วนร่วมในการเอาใจใส่ ดูแล ห่วงใยกันและกัน
การเป็นประกาศก คือ การประกาศถึงความรักของพระเจ้า ประกาศข่าวดีเพื่อคนอื่นจะได้รับความรอด เช่นเดียวกับเราที่ได้รับความรักและความรอด การประกาศข่าวดีในรูปแบบใหม่ ก็คือ การมีชีวิตที่เป็นพยาน การดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับความเชื่อ และการประพฤติตนตามคำสอนของพระคริสตเจ้า...

0 ความคิดเห็น: