BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

เข้าเงียบครูโรงเรียนศรีสงคราม

วันที่ 20 มีนาคม 2013
ได้รับการทาบทาม และถูกเชิญให้ไปเทศน์หรืออบรมครู ที่โรงเรียนศรีสงคราม
1 วัน แต่เทศน์ 2 ช่วง..


มนุษย์ต้องทำงานเพื่อจะได้บรรลุถึงความสมบูรณ์

ในประสบการณ์ชีวิตของเรา เราจะเห็นว่า การทำงานเป็นการทำให้ชีวิตมนุษย์สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ชายวัยรุ่นขี้เกียจ-ไม่ยอมทำงาน/ ตายายแก่ ๆ ยังออกไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย

พระเยซูเจ้า ก็ต้องทำงาน
เป้าหมาย               คือ          ช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากบาปและความตาย
ภารกิจ                    คือ           ประกาศว่าพระเจ้าทรงเป็นบิดา
                                                ประกาศเรื่องพระอาณาจักรสวรรค์
วิธีการ                    โดย         เทศน์สอน (คำพูด)
                                                เป็นแบบอย่าง  (การกระทำ)
สิ่งที่ทำให้พระเยซูเจ้าทำงานของพระบิดาเจ้าสำเร็จก็คือ
การสำนึกถึงตัวตนของตนเอง นั่นคือ พระเยซูเจ้าสำนึกและตระหนักเสมอว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
พระเยซูเจ้าทำงานที่ได้รับมอบหมายจนสำเร็จ เพราะพระองค์ตระหนักเสมอว่า พระองค์ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า มีหน้าที่ และความรับผิดชอบ

พระเยซูเจ้าทำงานด้วยความอดทน
พระเยซูเจ้าทำงานด้วยความรับผิดชอบ
พระเยซูเจ้าทำงานด้วยความจริงใจ
พระเยซูเจ้าทำงานด้วยความรัก
พระเยซูเจ้าทำงานด้วยความทุ่มเท

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พระเยซูเจ้าจะทำให้ทุกคนเชื่อว่า พระองค์ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า (ทุกคนก็รู้ว่า พระองค์เป็นชาวนาซาเร็ท บ้านเกิดเมืองนอนของพระองค์ บิดามารดาคือ โยเซฟ กับมารีย์)
พระองค์ใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงความคิด และการยอมรับจากผู้คนว่า พระองค์คือ พระเมสสิยาห์ (หรือผู้ช่วยให้รอดพ้น) มีหลายคนยอมรับ และติดตาม แต่ก็มีหลายคนที่ปฏิเสธ
ดังนั้น การทำงานเพื่อปลูกฝังและสร้างจิตสำนึก หรือ สร้างจิตตารมณ์นั้นเป็นเรื่องที่ยาก และต้องใช้เวลา
ที่สุด ผ่านทางความตาย พระองค์นำการกลับคืนชีพมาให้มนุษย์ งานของพระองค์สำเร็จสมบูรณ์ บนไม้กางเขน ผ่านทางงานที่ได้รับมอบหมาย ทำให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพ นั่นคือ ความสมบูรณ์ของชีวิต





ทำไมมนุษย์ต้องทำงาน...  คำตอบก็คือ มนุษย์ต้องทำงานเพื่อความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
พระศาสนจักรสอนว่า การทำงานเป็นองค์ประกอบพื้นฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์บนแผ่นดินนี้ เพราะมนุษย์เป็นพระภาพลักษณ์ของพระเจ้า และมนุษย์เองก็ได้รับมอบหมายจากพระเจ้า พระผู้สร้างให้เป็นผู้ปกครอง และครอบครองโลกนี้ และโดยกระทำตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายอันนี้เอง มนุษย์ทุกคนจึงเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงกิจการของพระผู้สร้าง
โดยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ทุกสิ่งที่มีชีวิตย่อมเติบโตเพื่อมุ่งไปสู่ความสมบูรณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ  เช่น ธรรมชาติ ต้นไม้ สัตว์ ย่อมต้องเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ ในแต่ละวัน เพื่อจะได้สมบูรณ์  จากเมล็ดเล็ก ๆ กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ ผลิดอกออกผล เมื่อสมบูรณ์เต็มที่แล้วก็จะต้องตายไป เพื่อให้กำเนินหรือสร้างสิ่งใหม่  มนุษย์เองก็เช่นกัน จากทารก กลายเป็นเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ชรา และตายไป สำหรับชาวพุทธ เมื่อตายไปแล้วก็จะรับผลของกรรมดีและกรรมชั่ว เวียนว่าย ตายเกิด ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะบรรลุนิพพาน สำหรับชาวคริสต์ เราเชื่อว่า ชีวิตมนุษย์เป็นเหมือนการเดินทางเพื่อมุ่งไปสู่ความสมบูรณ์ครบครันมากยิ่งขึ้น ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์ได้ แต่ชีวิตของเราจะสมบูรณ์ จะครบครันเมื่อเราตายไปแล้ว และมีชีวิตอยู่กับพระเจ้า ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด มีชีวิตเพียงชีวิตเดียวในโลกนี้ และในโลกหน้าก็เป็นชีวิตที่สมบูรณ์มากกว่า
สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้ชีวิตมนุษย์พัฒนาและเติบโต ไปสู่ความสมบูรณ์ก็คือ การทำงาน (เป็นสิ่งหนึ่งในหลาย ๆ อย่าง) ทำงานด้วยความเอาใจใส่ และความรับผิดชอบ   
งาน.. ทุกอย่างที่ดี และสุจริต ทุกประเภท เป็นงานที่เสริมสร้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์มากขึ้น เรามีศักดิ์ศรีและคุณค่าเมื่อเราทำงานที่ดี และสุจริต
คนขายปลาส้มในตลาด กับคนที่เป็นราชการ หรือ คนที่เป็นส.ส. กับคนที่ทำงานกรรมกรแบกหาม ทำให้คนมีศักดิ์ศรีและคุณค่าที่เท่าเทียมกัน เสมอกัน แตกต่างตรงที่คนนั้นทำด้วยความรัก ด้วยความจริงใจหรือเปล่าเท่านั้นเอง แต่ในความเป็นจริง ในสังคมไทยของเรา มักจะให้เกียรติคนที่ทำงานดีดี มักจะยกย่องเทิดทูนคนที่เป็นข้าราชการ คนที่มีเงินมีทอง และมักจะดูถูกคนที่ทำงานต่ำต้อย กรรมกร เป็นต้น
สำหรับพระศาสนจักรคาทอลิกสอนว่า คนเป็นผู้ทำงานนั้นมีคุณค่าและศักดิ์ศรีมากกว่า งานหรืออาชีพ ที่คนนั้นกระทำ หมายความว่า พระศาสนจักรสนใจ และให้เกียรติคน มากกว่า งาน ดังนั้น ไม่ว่าเราจะทำงานอะไร เราจะมีอาชีพอะไร เราก็เป็นคนที่มีคุณค่า มีศักดิ์ศรี และเราจะไปดูถูก เหยียดหยามคนอื่นไม่ได้ เช่น อาชีพครู จะไปพูดจาดูถูกคนที่เป็นชาวนา คนที่ขายผักในตลาดไม่ได้
ปัญหาของคน กับ งาน ทุกวันนี้ก็คือ
คนมองงานเป็นแค่เรื่องค่าจ้าง หรือค่าตอบแทน คนทำงานต้องการเพียงแค่เงิน และอาหารเท่านั้น ไม่ได้มองถึงการพัฒนาตนเอง ไม่ได้มองถึงความสมบูรณ์ของชีวิต   มนุษย์ทำงานเหมือนกับเครื่องจักร ที่ทำงานตามวาระเวลา ทำงานตามหน้าที่ ทำงานโดยที่ไม่ต้องรับผิดชอบใดใดทั้งสิ้น ทำงานโดยที่ไม่มีความสำนึกในการเป็นเจ้าของ ไม่มีสามัญสำนึก และไม่รู้สึกมีความพึงพอใจกับงานที่ทำ หรือภูมิใจ และไม่เห็นคุณค่าของงานของตนเอง เช่น การเป็นครู  แต่ก่อนครูคือผู้เสียสละ ครูคือแม่พิมพ์ ครูคือผู้ให้ความรู้ และคุณธรรม  แต่ทุกวันนี้ ครู เป็นเพียงอาชีพหนึ่ง ที่กินเงินเดือน และมีสวัสดิการที่ดีเท่านั้น แต่ก่อนคนเป็นครู เพราะอยากจะอุทิศตนเพื่อเด็ก ๆ จะได้อ่านออกเขียนได้ แต่เดี๋ยวนี้ แต่ก่อนครูลำบาก นักเรียนได้ดี แต่เดี๋ยวนี้ ครูสบาย นักเรียนอ่านไม่ได้ เขียนไม่เป็น
และอีกปัญหาหนึ่งก็คือ มนุษย์แสวงหาความ มี มากกว่า การเป็น การมีในที่นี้หมายถึง การครอบครองทางด้านวัตถุ และสิ่งที่เป็นนามธรรม คนเราไม่ว่าเป็นใครก็อยากจะมีกันทั้งนั้น อยากมีเงิน มีทอง อยากมีรถ อยากมีทรัพย์สมบัติ  อยากมีชื่อเสียง อยากมีเกียรติยศ อยากมีหน้ามีตา เป็นต้น แต่หลายคนลืมคิดถึง การเป็นของตนเอง ว่าเราเป็นใคร เราเป็นอะไร เช่น เราเป็นคน เราเป็นครู หน้าที่และความรับผิดชอบก็คือ การสอน ให้ความรู้ คุณธรรมแก่นักเรียน  หลายคนขาย ความเป็นเพื่อจะได้มาซึ่ง การมี ถือว่าเป็นเรื่องตกต่ำ และน่าอับอายสิ้นดี บางคนขายจิตวิญญาณของครู เพื่อแลกกับเงินเดือนสูง หรือ แลกกับความสะดวกสบายเท่านั้น..
การมีมาก หากไม่ได้ช่วยให้เราสามารถพัฒนาความเป็นคนของเราให้สมบูรณ์มากขึ้นได้ การมีนั้น ก็เป็นสิ่งไร้ค่า เช่น มีเงิน มีความร่ำรวย มีหน้ามีตาในสังคม แต่การมีสิ่งเหล่านี้ มาจาก การเอารัดเอาเปรียบ หรือ การมีนี้ทำให้เราไม่สามารถที่จะแบ่งปัน ช่วยเหลือคนอื่นได้ละก็ การมีความร่ำรวยก็เป็นสิ่งไร้คุณค่า

สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2
ได้ตรัสถึงการทำงานของมนุษย์ใน พระสมณสาสน์เรื่องการทำงาน (Laborem Exercens) ว่า
1.       มนุษย์เป็นผู้ทำงาน (ข้อ 6) การทำงานเป็นเครื่องหมายเฉพาะของคนและความเป็นมนุษย์ มนุษย์ถูกกำหนดให้ทำงาน งานเป็นสิ่งที่ดี และมีค่าสำหรับมนุษย์ กล่าวคือเป็นสิ่งตอบสนองต่อเกียรติและศักดิ์ศรีของมนุษย์ รวมทั้งทำให้ศักดิ์ศรีเพิ่มขึ้น (ข้อ 9) การทำงานหมายถึงกิจกรรมทุกชนิดที่กระทำโดยมนุษย์ การทำงานเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์โดยธรรมชาติ พระองค์ยังตรัสอีกว่า พระศาสนจักรมีบทบาทและหน้าที่เรียกร้องให้ทุกคนคำนึงถึงศักดิ์ศรีและสิทธิของทุกคนที่ทำงาน ทั้งยั้งมีหน้าที่ประณามสถานการณ์ซึ่งละเมิดศักดิ์ศรีและสิทธิของมนุษย์และช่วยชี้แนะให้มีการพัฒนาที่แท้จริงให้แก่มนุษย์และสังคม
2.       การทำงานเป็นศักดิ์ศรีของบุคคล
พระประสงค์ดั้งเดิมของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงสร้างขึ้นมาตามภาพลักษณ์ของพระองค์ไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลง นั่นคือ ให้มนุษย์ปกครองดูแลแผ่นดิน การทำงานเป็นวิธีการที่มนุษย์ดูแลโลกอย่างเหมาะสม ในการที่มนุษย์เป็นนายเหนือแผ่นดิน
คนทำงานต้องประสบความยากลำบาก แต่การทำงานก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับมนุษย์ หรืออีกนัยหนึ่งคือเนื่องจากการทำงานต้องประสบความยากลำบากจึงเป็นสิ่งที่ดีสำหรับมนุษย์
การทำงานเป็นสิ่งที่ตอบสนองต่อเกียรติและศักดิ์ศรีของมนุษย์และทำให้ศักดิ์ศรีนั้นเพิ่มขึ้น อาศัยการทำงานนี้เอง มนุษย์ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงธรรมชาติให้สอดคล้องกับความต้องการของตนเท่านั้น แต่มนุษย์ยังได้พัฒนาเป็นบุคคลที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น หรืออีกนัยหนึ่ง มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น

สรุปก็คือ
การทำงานเป็นการส่งเสริมคุณค่าและศักดิ์ศรีของมนุษย์
การทำงานเป็นการพัฒนามนุษย์ให้มุ่งสู่ความสมบูรณ์ครบครันมากยิ่งขึ้น
การทำงานก่อให้เกิดความดีส่วนตัวและความดีของส่วนรวม
การทำงานเป็นการพึ่งพาอาศัยกันและกัน


0 ความคิดเห็น: