BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

อาทิตย์สัปดาห์ที่ 26 ธรรมดา B


บทเทศน์


พี่น้องที่เคารพรัก  การเป็นคริสตชน การเป็นศิษย์ติดตามองค์พระเยซูเจ้านั้น นับว่าเป็นความโชคดีของเราเหลือเกิน โชคดี เพราะว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระทัยดี ผู้ทรงพระเมตตา ผู้ทรงรักเรา พระองค์คอยดูแลเราเสมอ   ทั้งศีลมหาสนิท  ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของเรา  ทั้งพระวาจาของพระเจ้า ที่เป็นเข็มทิศ นำทางชีวิตของเรา เพื่อเราจะได้เดินตรงมุ่งหน้าไปหาพระเจ้า อีกทั้งยังเป็นอุปกรณ์ปกป้องเราให้พ้นจากอำนาจของความชั่วอีกด้วย

ในบทอ่านที่ 1 หนังสือกันดารวิถี คำพูดของโมเสสที่พูดกับโยชูวาในวันนี้ว่า อันที่จริง เราอยากให้ประชาชนของพระเจ้าทุกคนเป็นประกาศก และให้พระเป็นเจ้าประทานพระจิตของพระองค์แก่ทุกคน  ในสมัยก่อนการเป็นประกาศกจะต้องได้รับการเลือกจากพระเจ้า การเป็นประกาศกจะต้องประกาศพระวจนะของพระเจ้า ประกาศความถูกต้อง ประกาศความดี ต่อต้านความชั่ว และอำนาจของปีศาจ คนที่จะทำเช่นนี้ได้จะต้องได้รับพระพรพิเศษจากพระเจ้า ไม่ใช่คนธรรมดาคนหนึ่งจะทำก็ทำได้ เพราะหน้าที่ของการเป็นประกาศกเรียกร้องความเข้มแข็ง เรียกร้องความกล้าหาญ และความอดทน  เพราะต้องพูดความจริง ต้องประกาศในสิ่งที่คนอื่นไม่ชอบ ต้องประกาศพระวาจาย้ำแล้ว ย้ำอีก เตือนแล้วเตือนอีก จนกว่าจะตาย หากไม่ได้รับพระพรพิเศษจากพระเจ้า ย่อมไม่สามารถทำได้

เราทุกคนได้รับศีลล้างบาป และได้รับพระจิตเจ้าแล้ว และเราทุกคนก็เป็นประกาศกของพระเจ้า เรามีพลังที่หนุนหลัง เรามีพระหรรษทานที่ช่วยเหลือเราอยู่  ฉะนั้นอย่ากลัวที่จะประกาศความจริง อย่ากลัวที่จะยืนยันความถูกต้อง

ในพระวรสาร ให้เราพิจารณาคำพูดของพระเยซูเจ้า พระวาจาของพระองค์ที่ตรัสแก่เราเพื่อสอนและเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของเราในวันนี้ 

ในภาคแรก   ยอห์นได้ห้ามคนหนึ่งที่ขับไล่ปีศาจในนามของพระเยซูเจ้า เพราะคนนั้นไม่ได้เป็นศิษย์ของพระองค์  และพระเยซูเจ้าบอกว่า ผู้ใดที่ไม่ต่อต้านเรา ก็เป็นฝ่ายเรา    ฝ่ายของพระเยซูเจ้าก็คือ ผู้กระทำความดี ผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในศีลธรรม ผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในความถูกต้อง ผู้ที่มีชีวิตอยู่ในความรัก ความยุติธรรม ความเห็นอกเห็นใจกันและกัน  สรุปแล้ว ทุกคนที่กระทำความดี และเลือกความดี ก็เป็นฝ่ายของพระเยซูเจ้า  ก็ไม่ได้ต่อต้านพระเยซูเจ้า  ดังนั้น ทุกคนจึงเป็นคนของพระคริสตเจ้า แม้จะไม่ใช่คริสตชนก็ตาม แม้จะเป็นคนต่างศาสนาก็ตาม หากเขาดำเนินชีวิตอย่างดีแล้ว เขาก็เป็นคนของพระเจ้า 
เราจะต้องไม่อิจฉาคนอื่นเมื่อเห็นเขากระทำความดี เราจะต้องไม่ขัดขวางคนอื่นเมื่อเขาจะทำถูกต้อง แต่เราควรที่จะใจกว้างต่อกันและกัน เราควรที่จะส่งเสริมและสนับสนุนการทำความดีและความถูกต้อง แม้ว่าคนนั้นจะไม่ใช่คริสตชน หรือเป็นใครก็ตาม

ภาคที่สอง  ถ้ามือข้างหนึ่งเป็นเห็นให้ท่านทำบาป  ถ้าเท้าข้างหนึ่งของท่าน หรือ ถ้าตาข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย จงควักมันออกเสีย ดีกว่าจะตกนรกทั้งร่างกาย นี่เป็นคำพูดที่รุนแรง และน่ากลัวมากทีเดียว ถ้าหากเราปฏิบัติตามตัวอักษร แน่นอนว่าหลายคนคงจะพิการไปแล้ว ถูกตัดมือ ตัดเท้า ถูกควักดวงตาไปแล้ว เพราะว่าเราทุกคนเป็นคนบาป มีความบกพร่อง มีความอ่อนแอ แต่ในความหมายที่แท้จริงก็คือ พระเยซูเจ้าต้องการจะบอกเราว่า เราจะต้องเอาจริงเอาจังในการที่จะระมัดระวังตนเอง เราจะต้องใส่ใจในการที่จะกำจัดสิ่งที่เป็น ต้นตอของความชั่วร้ายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมือ หรือเท้า หรือตาของเราก็ตาม ดีกว่าให้ร่างกายทั้งครบต้องตกนรก   ในสุภาษิตของชาวยิวกล่าวว่า  ตาและมือเป็นนายหน้าของบาป” “ตาและใจเป็นเครื่องมือของบาป

ตาเป็นส่วนของการมอง ขณะที่มือ และเท้าเป็นส่วนของการกระทำของมนุษย์ทั้งครบ นั่นคือ เป็นตัวแทนของการมองเห็นและการกระทำทั้งหมด โดยทางตาและมือ มนุษย์ทั้งครบสามารถถูกชักนำให้ทำบาป  ฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่ล่อลวงเราให้ทำบาปต้องถูกขจัดออกไปเสียจากชีวิตของเรา ถ้านิสัยบางอย่างสามารถนำไปสู่ความชั่วร้าย ถ้าการคบค้าสมาคมกับบางคนสามารถเป็นสาเหตุของการกระทำชั่ว หรือถ้าความพึงพอใจบางอย่างสามารถเปลี่ยนเป็นความหายนะ  สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ต้องถูกขจัดออกไปจากชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำจา ความคิด ความรู้สึก จิตใจที่ทำให้เรานั้นเป็นบาป เป็นมลทิน เราจะต้องขจัดมันออกไปเสีย

เราเป็นคริสตชน เราจะต้องทำให้ได้ เราจะต้องฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ และทุก ๆ วันด้วย เมื่อมีโอกาสที่จะทำบาป เราก็จะต้องฝืนและเอาชนะให้ได้
               
               ในบทอ่านที่2 จากจดหมายของน.ยากอบถึงกลุ่มคริสชน  ท่านพูดถึงคนมั่งมี คนที่ร่ำรวยที่ได้มาจากการเบียดเบียนคนอื่น ได้มาจากความอยุติธรรม หรือการคดโกง การเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ท่านบอกว่า บุคคลเหล่านี้จะพินาศ หากไม่เปลี่ยนแปลง เพราะความสุขที่เขาได้จากความทุกข์ของคนอื่นในเวลานี้จะเปลี่ยนเป็นความเศร้าโศกเมื่อเวลานั้นมาถึง   
               
          น.ยากอบต้องการให้เรามีใจกว้าง เปิดใจออก และมีใจเผื่อแผ่ต่อกันและกัน ที่สำคัญอย่ายึดติดกับทรัพย์สมบัติในโลกนี้มากจนเกินความพอดี เพราะจะทำให้เรามองไม่เห็นคนอื่น จะทำให้เราลืมความรัก ความเมตตาต่อคนอื่นไปได้ เพราะเมื่อเงินทองมาปิดตาของเราไว้แล้ว เราจะมองไม่เห็นอะไรเลย
               



วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

สัมมนาสงฆ์หนุ่มทั่วไทย 2012


สัมมนาสงฆ์หนุ่มทั่วไทย 2012
ระหว่างวันที่ 17-20 กันยายน 2012
ณ บ้านผู้หว่าน

คุณพ่อไพบูลย์  อุดมเดช  (C.Ss.R)


  • พระคริสตเจ้าในบริบทของการเป็นสงฆ์ของพระองค์

ก่อนอื่น..เราต้องรู้ว่า

  • พระเยซูเจ้าเป็นใคร?  (ในฐานะการเป็นสงฆ์)
  • ภารกิจของพระเยซูเจ้าคืออะไร? (ในฐานะการเป็นสงฆ์)
  1. พระเยซูเจ้าเป็นใคร?
ในมุมมองของจริยศาสตร์ มองว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็น คนดีบริบูรณ์
ดังนั้น การเป็นพระสงฆ์เราจึงต้องสะท้อนความดีบริบูรณ์ของพระเยซูเจ้าให้บรรดาสัตบุรุษได้เห็น
พระสงฆ์จึงต้องแสดงความดีของพระเยซูเจ้า ไม่ใช่ความดีของตัวเอง...

ในพระคัมภีร์ โดยเฉพาะในพันธสัญญาเดิม ได้พูดถึงพระเยซูเจ้าในลักษณะของคำทำนาย เช่น
อสย 7:14  
                   ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานเครื่องหมายให้ท่านด้วยพระองค์เอง
                   หญิงสาวผู้หนึ่งจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย
                   และนางจะเรียกเขาว่าอิมมานูเอลแปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา

มีคา 5:2
         ​แต่เจ้า เบธเลเฮม เอฟราธาห์เอ๋ยเจ้าเป็นเมืองเล็กๆ
                 ในบรรดาหัวเมืองของยูดาห์
                 จะมีผู้หนึ่งออกมาจากเจ้าสำหรับเรา
                 เป็นผู้ที่จะปกครองอิสราเอล
                 ต้นกำเนิดของเขามาจากอดีต  จากสมัยโบราณ

ในพันธสัญญาใหม่ มธ 1:23 ก็ได้ชี้ชัดให้เราเห็นถึงองค์พระเยซูเจ้า

​            หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และจะคลอดบุตรชาย  
                       ซึ่งจะได้รับนามว่าอิมมานูเอล
                       แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา

นี่แสดงให้เห็นว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็น พระ
สัตบุรุษมาหาคุณพ่อ.. เขามาพบพระเยซูเจ้า เขามาเพื่อพบความเป็นพระใตัวของคุณพ่อ
คุณพ่อต้องสะท้อนชีวิตของพระเยซูเจ้าให้กับชาวบ้านที่มาหาคุณพ่อ..

สิ่งที่ต้องพึงระวัง..   การโกหก (การหลอกลวง)
เมื่อใดก็ตามที่ชีวิตของพระสงฆ์เข้าใกล้กับการโกหก
เมื่อใดก็ตามหากชีวิตสงฆ์อยู่ในการโกหก
เท่ากับว่า  ชีวิตอยู่ในอันตราย
เราเป็นสงฆ์ต้องอยู่ในความจริง

หาก ชีวิตสงฆ์ อยู่ในการโกหก มโนธรรมจะบอกว่า คุณพ่อเทศน์  คือ ความโกหก
หรือ คุณพ่อสอน คือ การโกหก

สิ่งสำคัญ คือ เรื่องของเงิน
เรื่องเงิน เป็นเรื่องที่อันตรายสำหรับชีวิตสงฆ์

หาก เงิน กับ การโกหก อยู่ด้วยกัน  ชีวิตสงฆ์ต้องพังพินาศ อย่างย่อยยับอย่างแน่นอน

  • แค่นิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก
  • ยืมก่อน เดี๋ยวค่อยคืน
  • ก็เราเป็นเจ้าของนี่นา ทำไมจะทำไม่ได้
  • ไม่มีใครตรวจหรอก


เราเดินตามพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์ไม่เคยโกหก
พระองค์บอกเราเสมอว่า พระองค์ทรงเป็นความจริง..

ชีวิตสงฆ์ของเราสะท้อนความจริง
ชีวิตสงฆ์ของเราอยู่ในความจริง ของพระองค์หรือเปล่า?

ไตร่ตรอง..ตามความคิด

  • พระเยซูเจ้าทรงเป็นคนดีบริบูรณ์   
  • พระสงฆ์เป็นผู้สะท้อนความดีของพระเยซูเจ้า
  • พระสงฆ์เป็นผู้สะท้อนความจริงของพระเยซูเจ้า
ความดี กับ ความจริง ของพระเยซูเจ้าคืออะไรในชีวิตของพระสงฆ์?
พระสงฆ์ตี ความดีของพระเยซูเจ้าออกมาอย่างไร?
พระสงฆ์ตี ความจริงของพระเยซูเจ้าออกมาแบบไหน?

น่าสนใจที่ว่า ความดี และความจริง ต้องเป็นชีวิตของพระสงฆ์

หมายความว่า พระสงฆ์ต้องอยู่ในความจริงของพระเยซูเจ้า ไม่ใช่ความจริงของโลก ไม่ใช่ความจริงของตัวเอง ไม่ใช่ความจริงของคนหมู่มาก ไม่ใช่ความจริงจากที่อื่น

และพระสงฆ์ก็ต้องมุ่งไปสู่ความดีของพระเยซูเจ้า พร้อมกับพาบรรดาสัตบุรุษของตนเองหันไปสู่ความดีของพระเยซูเจ้า

นี่คือสิ่งที่ท้าทาย   สำหรับสงฆ์ยุคใหม่นี้...


วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

อาทิตย์สัปดาห์ที่ 23 ธรรมดาปี B


บทเทศน์

เอฟฟาธา จงเปิดเถิด

พี่น้องที่เคารพรัก
ตามประสบการณ์ของเรา เมื่อมีสิ่งที่ปิดอยู่ ถ้าเราอยากจะรู้ว่าอะไรซ่อนอยู่ภายใน เราย่อมเปิดมันออก เช่น ห้องที่ปิดอยู่ เราอยากจะเข้าไปข้างไป เราก็ต้องเปิดออก หรือ ทีวีที่ปิดอยู่ หากเราอยากจะดูรายการต่าง ๆ เราก็ต้องเปิด

เราจะสังเกตว่า สิ่งที่เปิดจากภายนอกไปสู่ข้างในนั้น มันเป็นสิ่งที่ง่าย แต่การจะเปิดจากข้างใน ออกมาสู่ภายนอกนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบาก

เพราะว่า การจะเคลื่อนจากภายนอกไปสู่ภายใน มันเป็นการกระทำของเราเอง เป็นเราเองที่ลงมือกระทำ มันเป็นความต้องการ และความปรารถนาของเรา มันจึงง่าย แต่การจะเปิดจากข้างในออกมาสู่ภายนอก มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอก แต่มันขึ้นอยู่กับคนนั้น ๆ ว่าจะต้องการเปิดตัวเองรับสิ่งภายนอกหรือเปล่า?

ประสบการณ์ในครอบครัวของเรา เราบอกเตือนสั่งสอนลูกของเราว่า ให้ทำดี ให้ไปวัดไปวา บอกให้ลูกของเราอย่าทำดื้อ อย่าซน ให้เชื่อฟัง ให้ว่านอนสอนง่าย แต่คือความปรารถนาดีของพ่อแม่  นั่นคือ จากภายนอก เข้าสู่ภายใน แต่ถ้าหากว่าภายในปิดอยู่ เราจะบอกจะเตือน จะสอนอย่างไร? มันก็เข้าไม่ถึง เพราะใจที่ปิดอยู่ ใจที่ไม่ต้อนรับ นี่คือความปรารถนาของลูก

ในประสบการณ์ทางศาสนาของเราก็เช่นกัน เราเรียนรู้จักคำสอน หนทาง วิถีชีวิตคริสตชน เราได้รับการอบรม เทศน์สอนหนทางของพระเจ้าจากบรรดาพระสงฆ์  เราได้รับความเชื่อที่ถูกถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษของเรา เราเห็นแบบอย่างของผู้มีความเชื่อ นี่ก็เป็นกระบวนการจากภายนอกเพื่อเข้าสู่ภายใน  แต่หลายครั้งเราก็ยังไม่ได้ทุ่มเทเต็มที่ ยังไม่ออกแรงเต็มที่ในการที่จะอุทิศตนเองเพื่อพระเจ้า และรับใช้เพื่อนมนุษย์ของเรา หลายครั้งเราก็ยังเป็นคนเดิม นิสัยเดิม ๆ มีชีวิตเดิม ๆ ทำตามกระแสของโลก ทำตามใจตนเอง ทั้ง ๆ ที่เราเป็นผู้มีความเชื่อ และได้รับศีลล้างบาป แต่เราก็ยังทุ่มเทชีวิตให้กับสิ่งอื่นมากกว่าพระเจ้าของเรา  

เพราะว่า มันไม่ใช่ออกมาจากภายในจิตใจของเรา หากจิตใจของเราตอบรับต่อความเชื่อ หากหัวใจของเราตอบสนองต่อความรักของพระเจ้าแล้ว แน่นอนว่า เราย่อมดำเนินชีวิตในหนทางของพระเจ้าได้โดยไม่มีเงื่อนไข เราจะสามารถรักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ได้โดยไม่มีข้อแม้ และไม่บ่น

วันนี้เราได้ยินเสียงของพระเยซูเจ้าตรัสว่า เอฟฟาธา จงเปิดเถิด เป็นคำสั่งที่พระเยซูเจ้าสั่งความใบ้และหูหนวกที่อยู่ในคนหนึ่งให้ออกไปจากตัวของเขา จงเปิดเถิด นั่นคือ เปิดตา เปิดหู และที่สำคัญเปิดใจของชายคนนั้น ให้เห็น ให้ได้ยิน และให้ได้สัมผัสถึงความรักของพระเจ้า เมื่อเขาพร้อมที่จะตอบรับต่อเสียงของพระเจ้า เมื่อใจของเราพร้อมที่จะฟังเสียงของพระเจ้า อัศจรรย์ก็เกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงจากภายในสู่ภายนอก ก็เกิดขึ้น เป็นอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงกระทำ โดยการร่วมมือของมนุษย์ในการตอบรับต่อเสียงของพระองค์

พี่น้องที่เคารพรัก  บางครั้งเราก็เป็นคนหูหนวก ทำเป็นไม่ได้ยินพระวาจาของพระเจ้า เพื่อจะได้ไม่ต้องกลับใจ เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างดี ไปเรื่อย ๆ  เราหูหนวก ไม่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเพื่อนมนุษย์ ไม่ได้ยินเสียงของคนอื่น เพื่อจะได้ไม่ต้องสูญเสียสิ่งใด

บางครั้งเราก็ทำตนเป็นเหมือนกับคนเป็นใบ้ ไม่กล้าที่จะพูดพระวาจาของพระเจ้า ไม่กล้าที่จะพูดความจริง ไม่กล้าบอก ไม่กล้าเตือนซึ่งกันและกัน ดีแต่นินทาว่าร้ายให้กันและกัน

พี่น้องที่เคารพรัก ภายนอกนั้นไม่สำคัญมากนัก แต่หากสภาพจิตใจของเราอยู่ในสภาพของคนหูหนวก เป็นใบ้ เราจะมองไม่เห็นถึงความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรา เราจะไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้าที่คอยบอกเตือน และชี้แนะแก่ชีวิตของเรา   ที่สำคัญ เรามองไม่เห็นความเป็นคนของคนคนนั้น นั่นแหละคือสิ่งที่น่ากลัวมากกว่า

น.เปาโลบอกเราว่า อย่าให้ความเชื่อของเรามีความลำเอียง หรืออย่าเลือกที่รักมักที่ชัง นั่นคือ โดยปกติ ตามธรรมชาติของมนุษย์ของโลกทั่วไป  เรามักจะต้อนรับคนที่แต่งกายดูดี งามหรู อย่างดี  ส่วนคนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ขาด สกปรก เราก็มักจะขับไล่ หรือแสดงออกถึงความรำคาญ ความรังเกียจ นี่แสดงว่าเรากำลังลำเอียง เพราะเรามองแต่บุคคลจากภายนอกมากกว่าจากภายใน  ถ้าจะต้อนรับแขกก็จะต้องต้อนรับทุกคน 

พระเยซูเจ้าให้เรารักทุกคน


วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

วันพฤหัสบดี 22 ธรรมดา ปี B



Gospel                                                                                                                 Lk 5:1-11




While the crowd was pressing in on Jesus and listening to the word of God,
he was standing by the Lake of Gennesaret.
He saw two boats there alongside the lake;
the fishermen had disembarked and were washing their nets.
Getting into one of the boats, the one belonging to Simon,
he asked him to put out a short distance from the shore.
Then he sat down and taught the crowds from the boat.
After he had finished speaking, he said to Simon,
"Put out into deep water and lower your nets for a catch."
Simon said in reply,
"Master, we have worked hard all night and have caught nothing,
but at your command I will lower the nets."
When they had done this, they caught a great number of fish
and their nets were tearing.
They signaled to their partners in the other boat
to come to help them.
They came and filled both boats
so that the boats were in danger of sinking.
When Simon Peter saw this, he fell at the knees of Jesus and said,
"Depart from me, Lord, for I am a sinful man."
For astonishment at the catch of fish they had made seized him
and all those with him,
and likewise James and John, the sons of Zebedee,
who were partners of Simon.
Jesus said to Simon, "Do not be afraid;
from now on you will be catching men."
When they brought their boats to the shore,
they left everything and followed him




บทเทศน์



พี่น้องที่เคารพรัก ความฉลาดที่สุดของมนุษย์ ก็ยังเป็นความโง่เขลาสำหรับพระเจ้าอยู่ดี มนุษย์มักจะคิดว่าตนเองฉลาด แต่สุดท้ายก็เป็นการแสดงความโง่เขลาออกมาต่อหน้าพระเจ้าเสมอ ชาวเมืองโครินทร์ก็เช่นเดียวกัน พวกเขาคิดว่าพวกเขานั้นเป็นฉลาด เป็นคนมีปรีชาญาณกว่าบุคคลอื่น  

น.เปาโลเตือนว่า คนฉลาดที่แท้จริงมิใช่คนที่โอ้อวดตนเอง ไม่ใช่คนที่จองหอง แต่เป็นคนที่สุภาพ ถ่อมตน เป็นคนที่นอบน้อมต่อพระประสงค์ของพระเจ้า เพราะความปรีชาฉลาดมาจากพระเจ้า มิใช่มาจากความสามารถของมนุษย์

ในพระวรสาร เราเห็นชีวิตของชาวประมงเป็นตัวอย่าง เมื่ออยู่ต่อหน้าพระเจ้าแล้ว ความฉลาด ความชำนาญ  ความเชี่ยวชาญต่าง ๆ ก็ไม่มีคุณค่าใดใด นอกจากจะยอมอ่อนน้อม เชื่อฟังพระประสงค์ของพระเจ้า

เปโตร อันดรูว์  ยากอบ และยอห์น มีอาชีพหาปลา พวกเขามีความชำนาญ มีความเก่ง ในการจับปลา พวกเขารู้ว่าตรงไหนมีปลาเยอะ  พวกเขามีประสบการณ์ในการจับปลา นั่นคือ การจับปลาเวลากลางวันต้องจับบริเวณน้ำตื้น  ส่วนบริเวณน้ำลึก ก็จะพากันจับปลาในเวลากลางคืน

เมื่อพระเยซูเจ้าทรงสั่งพวกเขาว่า จงแล่นเรือออกไปในที่ลึก และหย่อนอวนลงจับปลาเถิด เปโตรแสดงความคิดเห็นทันที พระอาจารย์ พวกเราทำงานหนักมาทั้งคืนแล้ว จับปลาไม่ได้เลย  จะเป็นไปได้อย่างไรก็ในเมื่อเราซึ่งเป็นชาวประมงยังจับปลาไม่ได้สักตัว อีกอย่างนี่เป็นเวลากลางวัน จะจับปลาต้องบริเวณน้ำตื้น  ส่วนพระองค์ เป็นชาวนาซาเร็ธ  เป็นช่างไม้ จะรู้เรื่องการจับปลาได้อย่างไร นี่เป็นความคิดตามประสามนุษย์ นี่มนุษย์แสดงถึงความฉลาดของตนเอง แสดงความชำนาญเชี่ยวชาญของตนเอง

แต่เมื่อพระองค์มีพระดำรัส ข้าพเจ้าก็จะลงอวน  แล้วพวกเขาก็จับปลาได้มากมาย จนอวนแทบจะขาด จึงต้องเรียกเพื่อในเรือลำอื่นให้มาช่วย 

หากมนุษย์หยิ่งจองหอง ภูมิใจในความสามารถของตนเอง  หากมนุษย์สำนึกเสมอว่าตนเองเก่ง ตนเองฉลาด มนุษย์จะพบกับความว่างเปล่า จะพบกับความผิดหวังอย่างแน่นอน  เหมือนกับ เปโตรและเพื่อน

แต่เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ยอมอ่อนน้อมถ่อมตน เปิดใจของตนเองออกต่อพระวาจาของพระองค์ ต่อพระประสงค์ของพระองค์แล้ว เชื่อฟังพระเจ้าแล้ว เขาจะได้รับในสิ่งที่เกินความหวังของเขา

เปโตรและเพื่อนจับปลาได้มากมาย มิใช่เพราะความเก่งของตนเอง แต่เพราะเขาเชื่อฟังพระเยซูเจ้า  น้ำลึกจะจับปลาได้อย่างไร?  น้ำลึกจับได้ก็ลำบาก? แต่ถ้าเชื่อฟังพระเจ้า และไว้วางใจในพระองค์ทุกสิ่งย่อมเป็นไปได้เสมอ

พระเยซูเจ้าทรงท้าทายเราคริสตชนทุกคน ให้ออกจากที่ที่เคยอยู่บ้าง.. นั่นคือ จากการดำเนินชีวิตธรรมดา ๆ  จากการดำเนินชีวิตแบบเดิม ๆ ไปสู่การดำเนินชีวิตในรูปแบบใหม่ ที่ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในความสัมพันธ์กับพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้นในความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ วันนี้แค่ยิ้มให้กัน  พรุ่งนี้เริ่มทักทาย  วันต่อไปสนทนากัน  วันต่อไปไปเยี่ยมเยียนกัน  วันนี้สวด 10 เม็ด  พรุ่งนี้ 15 เม็ด  วันต่อไป 20 เม็ด  เป็นต้น

พี่น้องที่เคารพรัก  สำหรับผู้ที่ไว้วางใจในพระเจ้า  สำหรับผู้ที่เชื่อถึงพระเจ้านั้น อย่ากลัวที่จะทำในสิ่งใหม่ ๆ อย่ากลัวที่จะออกจากตัวเอง  อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง อย่ากลัวที่จะรักคนอื่น แม้คนนั้นจะไม่น่ารักก็ตาม



วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

วันพุธ 22 ธรรมดา ปี B


พระวรสาร



38พระเยซูเจ้าเสด็จจากศาลาธรรมเข้าไปในบ้านของซีโมน มารดาของภรรยา
ซีโมนกำลังป่วยเป็นไข้หนัก คนที่อยู่ที่นั่นอ้อนวอนพระองค์ให้ทรงช่วยนาง 
39พระองค์จึงทรงก้มลงเหนือนางและบังคับไข้ นางก็หายไข้ ลุกขึ้นมารับใช้ทุกคนทันที
40เมื่อดวงอาทิตย์ตก ผู้ที่มีคนเจ็บป่วยเป็นโรคต่าง ๆ นำผู้เจ็บป่วยเหล่านั้นมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงปกพระหัตถ์เหนือผู้ป่วยแต่ละคนและทรงรักษาเขาให้หายจากโรค
 41ปีศาจออกจากคนจำนวนมาก พลางร้องตะโกนว่า ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้าแต่พระองค์ทรงสั่งไม่ให้ปีศาจพูด เพราะมันรู้ว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า
42เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จออกไปยังที่สงัด ประชาชนต่างเสาะหาพระองค์จนพบ แล้วหน่วงเหนี่ยวพระองค์ไม่ยอมให้จากพวกเขาไป 
43แต่พระองค์ตรัสว่า เราต้องประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าให้แก่เมืองอื่นด้วย เพราะเราถูกส่งมาก็เพื่อการนี้” 
44พระองค์จึงทรงเทศน์สอนตามศาลาธรรมแห่งแคว้นยูเดีย




บทเทศน์


พี่น้องที่เคารพรัก  ภารกิจหรือเป้าหมายของพระเยซูเจ้า ก็คือ สร้างพระอาณาจักรของพระเจ้าบนโลกนี้
น.เปาโลได้เขียนจดหมายถึงชาวเมืองโครินทร์ว่า หากเรายังดำเนินชีวิตแบบนี้คือ ยังมีความอิจฉาริษยา  ยังมีการทะเลาะวิวาทกัน ยังมีความโกรธเคือง เกลียดกัน นี่ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่า เรายังดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ และดำเนินชีวิตเหมือนกับมนุษย์ทั่วไป

สำหรับเราคริสตชน เราจะต้องดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า ต้องดำเนินชีวิตตามพระวาจาของพระเจ้า การเสียสละ  การแบ่งปัน  การให้อภัย การมีน้ำใจ  ใจกว้าง ใจดี มีเมตตาต่อกันและกัน นี่แหละที่จะทำให้เมล็ดพันธุ์แห่งพระอาณาจักรของพระเจ้าบังเกิดขึ้นในโลกของเรา โดยเริ่มจากตัวเราเองก่อน

ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำให้เราเห็นเป็นแบบอย่างในการสร้างพระอาณาจักรของพระเจ้า นั่นก็คือ พระองค์พยายามรักษาความเจ็บป่วย โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ  ขับไล่ปีศาจที่สิงอยู่ในมนุษย์  นี่แสดงให้เห็นว่า การสร้างพระอาณาจักรของพระเจ้านั้น จะต้องมีการชำระตนเองจากความชั่วร้ายต่าง ๆ เสียก่อน  อำนาจแห่งความมืด อำนาจแห่งความชั่วร้าย อำนาจของปีศาจและอาณาจักรของมันจะต้องถูกขับไล่ออกไปจากมนุษย์เสียก่อน เพื่อให้พระอาณาจักรของพระเจ้าบังเกิดผล  เพื่อให้พระอาณาจักรของพระเจ้าเติบโตในตัว ในจิตใจของมนุษย์ได้

ตราบใดที่จิตใจของมนุษย์ยังเต็มไปด้วยความคิดที่ชั่วร้าย  ยังเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ไม่ดีต่าง ๆ ตราบนั้นพระอาณาจักรของพระเจ้าย่อมไม่มีทางที่จะเริ่มต้นขึ้นได้

น.เปาโลบอกว่า เราทุกคนเป็นไร่นาของพระเจ้า หากว่าที่นาของเราเต็มไปด้วยวัชพืช  เต็มไปด้วยก้อนหิน เต็มไปด้วยกอหนาม เมล็ดพันธุ์ที่ดีจะเกิดขึ้นได้อย่างไรเรา    และเราทุกคนเป็นอาคารของพระเจ้า เป็นที่ประทับของพระองค์ หากอาคารของเราเต็มไปด้วยหยักไย เต็มไปด้วยฝุ่น จะเหมาะกับการเป็นที่ประทับของพระเจ้าได้อย่างไร

จึงจำเป็นที่เราจะต้องปัดกวาด ชำระล้างจิตใจของเรา ด้วยการเสาะแสวงหาพระองค์อยู่เสมอ เหมือนกับชาวยิวในพระวรสารที่พวกเขาพยายามเสาะหาพระองค์ และพยายามหน่วงเหนี่ยวพระองค์ไว้ ไม่ให้จากพวกเขาไป

เราก็ควรที่จะยึดพระองค์ไว้ เกาะติดพระวาจาของพระองค์ไว้  ให้พระองค์เข้ามาสู่ความคิดของเรา  เข้ามาสู่ความรู้สึก  เข้ามาเป็นความปรารถนาของเรา เข้ามาอยู่ในตา เข้ามาอยู่ในปากเขาเราและเข้ามาอยู่ในใจของเราทุก ๆวัน ทุก ๆ เวลาของชีวิต

อาณาจักรของพระเจ้ามาถึงพวกเราแล้ว ให้เรามาสร้างอาณาจักรของพระเจ้าให้เกิดขึ้นบนโลกนี้ด้วยการดำเนินชีวิตในการเป็นคริสตชนที่ดี ยึดมั่นในพระวาจาของพระองค์  เริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน เมื่อแต่ละคนเริ่ม ทีละเล็กทีละน้อย พระอาณาจักรของพระเจ้าก็จะขยายออกไปจนสุดปลายแผ่นดินเอง




วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

วันจันทร์ 22 ธรรมดา ปี B

พระวาจา

มธ 4:16-30


บทเทศน์


พี่น้องที่เคารพรัก  ข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าโดยการบันทึกของน.มัทธิวได้จบลงแล้วด้วยท่าทีของการเตรียมพร้อม  การตื่นเฝ้าระวังตนเองเสมอ เพื่อรอรับเสด็จพระเยซูเจ้าซึ่งจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง 
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า เราจะได้ยิน ได้ฟังพระวาจาของพระเจ้าผ่านทางการบันทึกของน.ลูกา  ซึ่งท่านเขียนสำหรับกลุ่มชนที่ไม่ใช่ชาวยิว (คนต่างศาสนา) ที่ปรารถนาจะฟังข่าวดีและเข้าใจข่าวดีของพระเจ้า
ลักษณะที่น่าประทับใจมากที่สุดประการหนึ่งของพระวรสารจากน.ลูกา ก็คือ ท่านบรรยายถึงความอ่อนโยนของพระคริสตเจ้า  เช่น เรื่องแกะพลัดหลง  เรื่องลูกล้างผลาญ เน้น ความรักต่อคนบาป  เช่น หญิงคนบาป ที่เข้ามาร้องไห้ต่อพระบาทของพระเยซูเจ้า การให้อภัย และเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างความอ่อนหวานของพระเยซูเจ้าต่อผู้ต่ำต้อย  คนยากจน  กับ ความเข้มงวดต่อคนหยิ่งยโสและต่อผู้ที่ใช้ทรัพย์สมบัติของตนอย่างผิด ๆ
วันนี้ พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาที่บ้านเกิดเมืองนอนของพระองค์ คือ เมืองนาซาเร็ธ พระองค์ได้ประกาศการมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระองค์ท่ามกลางญาติพี่น้องและคนในหมู่บ้านเดียวกันว่า พระองค์นั้นคือ พระคริสตเจ้า ผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพระจิตเจ้า ผู้ซึ่งนำข่าวดีของพระเจ้ามาถึงทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนต่ำต้อย คนยากจน พระองค์มาเพื่อปลดปล่อยประชากรของพระเจ้าให้เป็นอิสระจากบาปและความชั่วร้าย พระองค์มาประกาศถึงความรักความเมตตาของพระเจ้าต่อประชากรของพระองค์
สิ่งที่พระองค์ได้รับก็คือ ทุกคนแปลกใจ และการปฏิเสธข่าวดีของพระองค์ พวกเขาไม่ยอมรับพระองค์
พระองค์จึงยกตัวอย่างของประกาศกเอลียาห์ ซึ่งพระเจ้ามีพระวาจาให้ไปช่วยเหลือหญิงหม้ายชาวศาเรฟัทให้พ้นจากการกันดารอาหาร  และยกตัวอย่างเอลีชาที่ได้รักษานาอามานชาวซีเรียให้หายจากโรคเรื้อน ซึ่งทั้งสองคนนี้เป็นคนต่างศาสนา เป็นพวกที่ชาวยิวไม่คบค้าสมาคมด้วย แต่ความรักของพระเจ้าก็ไปถึงพวกเขา มิใช่เฉพาะกับชาวยิวเท่านั้น เพื่อให้พวกเขาได้ตระหนักและเข้าใจว่า พวกเขาแม้ว่าจะเป็นประชากรของพระเจ้า แต่หากพวกเขามีใจไม่ยอมรับ และปฏิเสธ พระพรของพระเจ้าอาจจะถูกยกไปให้ สำหรับบุคคลอื่นก็ได้
เราเองก็เช่นเดียวกัน เรามีพระวาจาของพระเจ้า เราได้รับสิ่งดี ๆ ต่าง ๆ มากมายจากพระเจ้า แต่ถ้าหากเรามีจิตใจที่ดื้อดึง การมีทิฐิ การเป็นคนเชื่อยากนั้น ก็อาจจะต้องสูญเสียพระพร พระหรรษทานจากพระเจ้าด้วยก็ได้
เราจึงควรมีใจสุภาพ อ่อนน้อม ถ่อมตน พร้อมกับท่าทีแห่งการเปิดใจยอมรับข่าวดีของพระองค์เข้ามาสู่จิตใจของเรา เพื่อเราจะได้นำพระวาจา นำข่าวดีของพระองค์ไปสู่ทุกคน

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

อาทิตย์สัปดาห์ที่ 22 ธรรมดาปี B






บทเทศน์


หนังสือห้าเล่มแรกของพระคัมภีร์ ได้แก่ หนังสือปฐมกาล หนังสืออพยพ หนังสือเลวีนิติ หนังสือกันดารวิถี และหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ หนังสือเหล่านี้ได้บรรจุคำสัญญาแห่งความรักไว้  นั่นคือ คำสัญญาของพระผู้สร้าง คำสัญญาของพระเจ้า พระองค์ทรงสัญญาว่า พระองค์ทรงรักเราและต้องการที่จะอยู่กับเราเพื่อช่วยรักษาเรา เพื่อเราจะได้อยู่ดีมีความสุข และคำสัญญานี้ได้แสดงออกมาใน กฎบัญญัติของพระองค์ ที่บรรจุปรีชาญาณและความรักของพระองค์

กฎหมายของพระเจ้าบรรจุธรรมเนียมประเพณี และกฎระเบียบสำหรับการดำเนินชีวิตที่ดี  พระบัญญัติสิบประการเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมาย เป็นส่วนหนึ่งของคำสัญญาแห่งความรัก เป็นส่วนหนึ่งของพันธสัญญาระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เราจะสามารถปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย หากเราเข้าใจจิตตารมณ์ของกฎบัญญัติของพระองค์ แต่หากเรามองกฎบัญญัติเพียงภายนอก เป็นเพียงคำสั่ง เป็นเพียงสิ่งที่ต้องปฏิบัติ เรากจะไม่สามารถเข้าถึงจิตตารมณ์ของกฎบัญญัติได้ เพราะขีดจำกัดของความเป็นมนุษย์  แต่ถ้าเราเข้าใจว่า กฎบัญญัติเป็นเสมือนของประทานหรือของขวัญจากพระเจ้า กฎบัญญัติเป็นเหมือนกับแขนที่อ่อนนุ่มที่โอบกอดเรา ที่รักษาเรา ปกป้องเรา  เราก็จะสามารถปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย เพราะการปฏิบัติมาจากภายในใจ จากหัวใจของเรา
เช่น การมาวัดวันอาทิตย์ พระศาสนจักรสอนว่า คริสตชนต้องมาวัด ถ้าหาเรามองว่า การมาวัดเป็นการบังคับจากพระศาสนจักร เราก็จะสามารถเลือกที่มาก็ได้ ไม่มาก็ได้ เพราะเมื่อมีการบังคับ เราก็ไม่อยากจะมา  แต่ถ้าเราเข้าใจว่า การมาวัดวันอาทิตย์ เป็นการมาเพื่อแสดงออกถึงความรัก ถึงการขอบคุณพระเจ้าร่วมกันของผู้มีความเชื่อ เราย่อมมาด้วยใจอิสระและมีความสุข ไม่มีคำบ่นว่า เสียเวลาเปล่า ๆ เพราะการสรรเสริญพระเจ้า ไม่ใช่การเสียเวลา

โมเสสบอกกับประชาชนว่า จงฟังข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ และจงปฏิบัติ แล้วจะมีชีวิต  ต้องปฏิบัติตามอย่างซื่อสัตย์ การปฏิบัติตามพระบัญญัติทุกคนจะได้เห็นและเข้าใจว่า พระเจ้าของเราทรงสถิตอยู่ใกล้ชิดเรา

โมเสสบอกว่า ต้องฟัง ต้องรู้จัก ต้องทำความเข้าใจข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ เพื่อว่า กฎเกณฑ์นั้นจะได้ไม่ขัดใจ ไม่เป็นเหมือนนามทิ่มแทงจิตใจของเรา จะได้ไม่บีบบังคับเรา

เมื่อเข้าใจแล้ว จงปฏิบัติ ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์บัญญัติ ทำให้เป็นจริง ทำให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา  หลักในการปฏิบัติก็คือ ต้องปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์ ต้องทำด้วยความสม่ำเสมอ คือ เสมอต้น เสมอปลาย ไม่ใช่เป็นช่วง ๆ ขาด ๆ หาย ๆ

เพื่อว่า เราจะได้มีชีวิต เป็นชีวิตที่เราจะได้รับจากการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์  เป็นชีวิตที่มาจากพระเจ้า เป็นชีวิตร่วมกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าอยู่ใกล้เรา พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา  เมื่อพระองค์อยู่ใกล้เรา เราจะต้องกลัวสิ่งใด  เราจะยังขาดสิ่งใด และเรายังต้องการสิ่งใดอีกหรือ?

นักบุญยากอบ ก็บอกกับบรรดาคริสตชนเช่นเดียวกัน จงน้อมรับพระวาจา จงปฏิบัติตามพระวาจา มิใช่ฟังเพียงอย่างเดียว เท่ากับเป็นการหลอกตัวเอง มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำการแตกแยกในศาสนาคริสต์ของเรา เขาเน้นว่า ความเชื่อเท่านั้นที่จะช่วยให้รอดได้  แต่สำหรับเราคริสตชน จากคำสอนของนักบุญยากอบในวันนี้ เราจะเห็นว่า ความเชื่อจะต้องมีการกระทำด้วย เมื่อมีความเชื่อ แล้วละทิ้งหญิงหม้ายและเด็กกำพร้าได้หรือ?  การให้ความสนใจและเอาใจใส่ต่อความเดือดร้อนของกันและกัน นั่นแหละเป็นการแสดงออกของความเชื่อ การกระทำด้วยความเมตตา ความรักต่อคนอื่นที่ออกมาจากความเชื่อ จะทำให้เราเข้มแข็งและเติบโตในความเชื่อ ในความรักต่อพระเจ้านับวันยิ่งมากขึ้น

ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าเน้นย้ำว่า สิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทินนั้น เป็นสิ่งที่มาจากภายใน ไม่ใช่สิ่งที่มาจากภายนอก   สิ่งที่เข้าทางปาก ไม่เป็นมลทิน แต่ที่อยู่ในใจ และออกมาทางปาก นั่นแหละทำให้เป็นมลทิน  ดังนั้น จุดเริ่มต้นของความดีงาม หรือ ความบริสุทธิ์ หรือ ความชั่วร้าย หรือ มลทินบาป นั้นก็มาจากใจ มาจากเจตนา มาจากหัวใจของมนุษย์ทั้งสิ้น

เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ทั้งใบได้ตลอดชีวิตของเรา แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเองแต่ละคนได้ โดยเริ่มจากภายในตัวของเราเองเสียก่อน พระเยซูเจ้าต้องการให้เราเปลี่ยนแปลงหัวใจของเรา และดัดแปลงหัวใจของเราให้ตรงกับพระบัญญัติของพระเจ้า เพื่อที่จะสร้างจิตใจใหม่ ให้เป็นเหมือนกับจิตใจของพระเจ้า ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา การให้อภัย การแบ่งปัน และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

พี่น้องที่เคารพรัก เราถูกสร้างและถูกเรียกมาให้เป็นผู้กระทำ หรือ ผู้ปฏิบัติตามพระวาจาของพระเจ้า พวกเราไม่ได้ถูกเรียกมาเพื่อที่จะทำความพอใจของโลก  เราถูกเรียกมาให้เป็นบุตรที่ศักดิ์สิทธิ์ในฐานะที่เราเป็นอวัยวะอันศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสตเจ้า พวกเราถูกเรียกมาเพื่อที่จะกระทำกิจการศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือ ความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความใจดี ความใจกว้าง ความซื่อสัตย์ ความสุภาพและการรู้จักควบคุมตนเอง ไม่มีกฎหมายใดที่ต่อต้านความดีเหล่านี้

ให้เราตระหนักเสมอว่า  ผู้ที่เป็นของพระคริสตเจ้าย่อมตรึงร่างกายแห่งกิเลสตัณหาและความปรารถนาพึ่งพอใจทางร่างกายนี้ไว้กับไม้กางเขนของพระคริสตเจ้าแล้ว ถ้าเรามีชีวิตโดยอาศัยพระจิตเจ้าเป็นผู้นำทาง เราก็จงปล่อยให้พระองค์นำทางเรา ดังนี้ เราจะกลายเป็นผู้ปฏิบัติตามพระวาจาของพระเจ้าอย่างแท้จริง