BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

บทเทศน์เตรียมโปสตูลันต์ ท่าแร่ 3



วันอังคาร ที่  26 พฤษภาคม 2015

เทศน์ 3
ฉันจะทำอย่างไร? (การดำเนินชีวิต)

มีเงื่อนไข 3 ประการ ในการติดตามพระเยซูเจ้า “จงเลิกนึกถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนทุกวัน และติดตามเรา” ( ลก 9:23)

จงเลิกนึกถึงตนเอง หมายความว่า การปฏิเสธแผนการของตนเอง เพื่อที่จะยอมรับแผนการของพระเจ้า สิ่งนี้เป็นหนทางแห่งการกลับใจ ซึ่งจำเป็นต่อชีวิตคริสตชน และทำให้นักบุญเปาโลกล่าวออกมาได้ว่า มิใช่ข้าพเจ้าที่มีชีวิต แต่เป็นพระคริสต์ที่ทรงชีวิตในข้าพเจ้า” (กท 2:20)
พระเยซูเจ้ามิได้ขอให้ปฏิเสธที่จะมีชีวิต แต่ให้ยอมรับชีวิตใหม่ ซึ่งพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงให้ได้ ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่เลือกติดตามพระคริสต์ต้องปฏิเสธการยึดตัวเองเป็นหลักในการวัดทุกสิ่ง เขาจะมองชีวิตว่าเป็นพระพรและการให้เปล่า  ไม่ใช่เป็นการเอาชนะและการครอบครอง  ชีวิตที่แท้จริงนั้นแสดงออกโดยการให้ตนเอง ซึ่งเป็นผลจากพระหรรษทานของพระคริสต์ เป็นชีวิตที่อิสระและเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ (เทียบ Gaudium et spes, 24)

หากการติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้ากลายเป็นคุณค่าสูงสุดแล้ว  คุณค่าอื่นๆ ก็ต้องด้อยค่าลงไป

จงแบกไม้กางเขนของตนทุกวัน เมื่อกางเขนถูกลดค่าลงเหลือเป็นแค่เครื่องประทับ การแบกกางเขนก็อาจจะกลายเป็นแค่วิธีพูดเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม ในคำสั่งสอนของพระเยซู พระวาจาประโยคนี้ไม่ได้เน้นเรื่องการพลีกรรมหรือการปฏิเสธเป็นอันดับแรก ทั้งมิได้หมายถึงความจำเป็นที่จะทนรับอุปสรรคปัญหาทั้งน้อยใหญ่ในชีวิตอย่างพากเพียรอดทนเป็นอันดับแรก   ยิ่งกว่านั้น พระวาจานี้มิได้ยกย่อความเจ็บปวดว่าเป็นหนทางที่พอพระทัยพระเจ้า  คริสตชนมิได้แสวงหาความทุกข์ทรมานเพื่อจะทุกข์ทรมาน แต่แสวงหาความรัก การยอมรับแบกกางเขนเป็นเครื่องหมายของความรักและการเสียสละตนเองอย่างสิ้นเชิง การแบกกางเขนติดตามพระคริสต์หมายถึง การร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ และด้วยเหตุนี้ จึงเป็นข้อพิสูจน์ถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เราไม่อาจพูดถึงกางเขนได้ โดยปราศจากการใคร่ครวญถึงความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรา เพราะเหตุว่าพระองค์ปรารถนาที่จะประทานแต่สิ่งที่ดีๆ ให้เรา  ในคำเชื้อเชิญของพระองค์ให้ติดตามเรานั้น พระองค์ได้ย้ำแก่สานุศิษย์ไม่เฉพาะแต่เพียงให้ยึดพระองค์เป็นแบบอย่างเท่านั้น แต่ให้แบ่งปันชีวิตและการตัดสินใจเลือกของพระองค์  และให้ใช้ชีวิตของเราพร้อมกับพระอง์ด้วยความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง เมื่อเป็นเช่นนี้ พระคริสต์ทรงเปิดหนทางแห่งชีวิตไว้เบื้องหน้าเรา ซึ่งน่าเสียดายที่หนทางนี้มักจะถูกคุกคามด้วยหนทางแห่งความตายอยู่เสมอๆ บาปเป็นหนทางที่แยกมนุษย์ออกจากพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ โดยก่อให้เกิดความแตกแยกและทำลายสังคมจากภายใน

ติดตามเรา ต้นแบบชีวิตคือ พระคริสตเจ้า รูปแบบชีวิตคือ พระคริสตเจ้า ผู้ที่เรากำลังติดตามคือ พระคริสตเจ้า นี่คือ รากแก้ว นี่คือ เสาเอก นี่คือ เสาหลักของชีวิตของเรา มิใช่ข้าพเจ้าที่มีชีวิต แต่เป็นพระคริสต์ที่ทรงชีวิตในข้าพเจ้า” (กท 2:20)

การติดตาม หมายถึง การเลียนแบบชีวิต เพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวกัน มิใช่เพื่อเลียนแบบ แต่เพื่อให้เป็นชีวิต

คุณธรรมความนบนอบ
สิ่งที่ต้องปฏิญาณตน คือ ความบริสุทธิ์(virginity) ความยากจน(poverty) และความนอบน้อมเชื่อฟัง(obedience) แต่เมื่อเราจะเป็น “ผู้ถวายตน” สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ การฝึกฝนคุณธรรมที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิต สิ่งที่ทำให้เราเข้มแข็ง ก็คือ เราจะต้องฝึกฝน “ความนบนอบ”
            ความนบนอบ เป็นคุณธรรมและฤทธิ์กุศลที่เด่นชันที่สุดที่เราจะต้องฝึกให้ได้ เพราะเป็นเสมือนการทลายใจตนเอง ละลายน้ำใจของตนเองเพื่อให้เกิดผล เพื่อให้เกิดความดีงาม
ในพระคัมภีร์
คำว่า นบนอบ ไม่มีบันทึก
คำว่า เชื่อฟัง มี 149 ข้อ
คำว่า ไม่เชื่อฟัง มี 53 ข้อ
คำว่า ปฏิบัติตามพระประสงค์ มี 16 ข้อ
สรุปแล้ว เราจะเห็นว่า การเชื่อฟัง สำคัญมาก ที่เราจะต้องเอาใจใส่และตระหนักอยู่เสมอ
 “พระเยซูเจ้า” แบบอย่างของความนบนอบจนถึงที่สุด   
1.    
  พระเยซูเจ้าดำเนินชีวิตในความนบนอบเชื่อฟังพระบิดาเจ้าสมบูรณ์ที่สุด
a.      พระเยซูเจ้าทรงซื่อสัตย์ต่อพระบิดาเจ้าด้วยการนบนอบเชื่อฟัง ศูนย์กลางชีวิตและงานทั้งหมด ทั้งหลายทั้งปวงของพระเยซูเจ้าคือ การเชื่อฟังพระบิดาเจ้า “ข้าพเจ้ามาเพื่อปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์” (ฮบ 10:7)
b.      “โลกจะต้องรู้ว่าเรารักพระบิดา และรู้ว่าพระบิดาทรงบัญชาให้เราทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น” (ยน 14:30) ชีวิตของพระองค์ Focus ไปที่พระบิดาเจ้าเท่านั้น
c.      ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเยซูเจ้าทำในชีวิตของพระองค์บนแผ่นดินนี้ ก็เพื่อให้สำเร็จไปตามพระคัมภีร์ที่ได้กล่าวไว้ นั่นคือ พระเจ้าตรัสผ่านทางพันธสัญญาเดิมถึงความเชื่อฟังของพระคริสตเจ้าอย่างสมบูรณ์ที่สุด “เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อพระดำรัสที่ตรัสทางประกาศกจะได้เป็นความจริง” (มธ 21:4) มากกว่า 10 ครั้งด้วยซ้ำไปที่ได้กล่าวไว้เช่นนี้

การเชื่อฟังของพระเยซูเจ้านำประโยชน์มาสู่ผู้มีความเชื่อ
a.       พระคัมภีร์บอกเราอย่างชัดเจนว่า พระองค์ทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมเชื่อฟัง เพื่อว่าจะองค์จะทรงเป็นพี่ชายคนโต และสมณสูงสุด “ถึงแม้ว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรก็ยังทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมเชื่อฟังโดยการรับทรมาน” (ฮบ 5:8) และพระองค์จะทำให้ความปรารถนาของเราสมบูรณ์

ความนอบน้อมเชื่อฟังสูงสุดของพระเยซูเจ้าก็คือ ความตาย
a.      บนไม้กางเขน เป็นความนบนอบจนถึงที่สุด  “ทรงรับสภาพดุจทาสเป็นมนุษย์ดุจเรา ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน” (ฟป 2:8)  

ความนอบน้อมเชื่อฟังนำชีวิตนิรันดรมาให้เรา แสดงออกในคำภาวนาของพระเยซูเจ้าที่สวนเกทเสมณี ที่ความตายอยู่ต่อหน้าพระองค์ แต่เพื่อช่วยทุกคน พระเยซูเจ้าภาวนาต่อพระบิดาว่า “พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์มีพระประสงค์ โปรดทรงนำถ้วยนี้ไปจากข้าพเจ้าเถิด แต่อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด” (ลก 22:42)

ทำไมการนอบน้อมเชื่อฟังต่อพระเจ้าจึงสำคัญมาก

การนอบน้อมเชื่อฟังเป็นการพิสูจน์ความรักของเราต่อพระเจ้า (1ยน 5:2-3)  แสดงออกถึงความซื่อสัตย์ของเราต่อพระองค์ (1ยน 2:3-6) ทำให้พระองค์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในโลกนี้ (1ปต 2:12)  และเป็นหนทางที่ทำให้เราได้รับพระพรจากพระเจ้า (ยน 13:17)
ความนบนอบเชื่อฟัง เป็นเหมือนหน้าที่ที่ต้องนบนอบต่อคำสั่ง ข้อกำหนด คำแนะนำ
ความสำคัญของความนบนอบเชื่อฟังที่แท้จริงเป็นเรื่องของจิตตารมณ์ (spirit) ไม่ใช่ (Act of obedience) กิจการ/สิ่งที่เราทำ ชาวฟาริสีเน้นที่การกระทำตามกฎ จนกลายเป็นว่า ตนเองกระทำเพื่อตนเอง ทำตามกฎเพื่อตนเองจะได้รับความเคารพนับถือจากคนอื่น และจะได้เมืองสวรรค์ “สวรรค์” สำหรับชาวฟาริสีก็คือ รางวัลจากการกระทำความดี ความเชื่อฟังไม่ใช่ตัวอักษรตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ  สำหรับพระเจ้า ความเชื่อฟังมาจากหัวใจ อิสระ และเต็มใจ นั่นคือ ความรัก
ความนบนอบเชื่อฟัง หรือการปฏิบัติตามพระประสงค์ ยิ่งใหญ่กว่าเครื่องบูชาใดใดทั้งสิ้น เครื่องบูชาประกอบด้วยผลไม้ ธูปเทียน สัตว์ เงิน ฯลฯ แต่เวลาที่เรานบนอบเชื่อฟังนั้น เราเสียสละตัวอง น้ำใจ และความจองหอง และกลายเป็นเครื่องบูชา (พระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์เหวียน วัน ถ่วน)
โลกอาจมองเรื่องความนบนอบว่า เป็นเรื่องโง่เขลา แต่สำหรับเรา เป็นคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ เพราะความนบนอบเป็นการเปิดโอกาสให้มีการริเริ่ม  การแสวงหาความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่กว่า  ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้มีการฟังอย่างตั้งใจ ให้ยอมรับคำแนะนำ และการปฏิบัติตามอย่างตั้งใจ
การยอมจำนน หมายถึง การยอมทำตามเพราะว่าหาทางสู้ไม่ได้ ขัดขืนไม่ได้ ขาดอิสรภาพ ไม่มีน้ำใจอิสระ ถูกบังคับในลักษณะที่ไม่สามารถต่อสู้หรือเอาชนะได้เลย แต่มีท่าทีที่ว่า สักวันหนึ่งเมื่อมีอำนาจก็จะเอาคืนทุกสิ่งที่ได้ยอมจำนนนั้น 
แต่ความนบนอบ เป็นการยินยอมด้วยน้ำใจอิสระ ไม่ได้ถูกบังคับ ด้วยการมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำ เต็มใจทำในสิ่งที่ขัดใจของตนเอง ยินดีที่จะทำแม้จะฝืนน้ำใจของตนเอง เพราะมีคุณค่าที่ซ่อนอยู่ คือ ความรักต่อพระเจ้า
ผลของความนบนอบก็คือ ความสุขและอิ่มเอิบใจ จากการหักหาญน้ำใจของตนเองได้ จากการสามารถรักพระเจ้าได้ จากการทำตามน้ำใจของคนอื่นได้  แต่ผลของการยอมจำนน คือ การเคียดแค้น การหวาดระแวง กังวลใจและทุกข์ใจ สรุปคือ ไม่มีความสุขในชีวิต นั่นเอง
เรื่องเล่า มีนักเขียนคนหนึ่ง ได้เขียนว่า ฉันได้พบกับคนที่ชื่อ Ruby free เธอเป็นคนเก่ง ฉันพบเธอเมื่อตอนไปเที่ยวแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ เธอเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมาก เป็นนักฟังที่ดี เป็นนักจัดการ เป็นนักแก้ไขปัญหา เป็นคุณแม่ของลูกสองคน เธอทำงานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และไม่เคยแสดงอากับกริยาอะไรออกมา เมื่อเผชิญกับปัญหาเธอก็นิ่งและสามารถจัดการได้ วันหนึ่งฉันอยากรู้ความลับของเธอจึงไปที่บ้านของเธอ และพบความลับของเธอ ที่เขียนไว้บนผนังที่อ่างล้างจานของเธอ อ่านว่า “ค่ะ พระเจ้า”  “Yes. My God

ตอบ “ค่ะ” เสมอ ทั้งกับพระเจ้า และกับเพื่อนพี่น้อง..นั่นแหละความนบนอบ

พระเยซูเจ้านบนอบเชื่อฟังต่อพระบิดาเจ้าจนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและทรงกลับคืนพระชนมชีพ..เวลาที่เรานบนอบต่อผู้ใหญ่ หรือเวลาที่เราทำตามใจคนอื่นในสิ่งที่ดีงาม ในการฝืนใจทำ ในการขัดใจตนเอง ในการไม่อยากทำ นั่นเรากำลังเผชิญหน้ากับคามยากลำบากใจ เหมือนพระเยซูเจ้า นั่นเรากำลังจะไปตายเหมือนกับพระองค์ เมื่อเราลงมือทำ แม้จะขัดใจ เรากำลังตายต่อตัวเอง ผลของมันก็คือ การมีชีวิตใหม่ ความสุข และความชื่นชมยินดี
องค์ประกอบของความนบนอบที่สมบูรณ์ ก็คือ น้ำใจอิสระ และ ความรัก

บรรดานักบุญกับความนบนอบเชื่อฟัง

ฉันรู้ว่าพลังของการเชื่อฟังทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นสิ่งที่ง่าย ๆ
--Saint เทเรซา
มันไม่ยากที่จะนบนอบเมื่อเรารักคนหนึ่งที่เราเชื่อฟังเขา
--Saint อิกญาซีโอ
โดยไม่ต้องสงสัยว่าการนบนอบเชื่อฟังเป็นรางวัลมากกว่าการลงโทษ
--St แคทเธอรีแห่งโบโลญา
"พลังของการเชื่อฟัง! ทะเลสาบ Gennesareth ปลาได้ปฏิเสธที่อวนของน.เปโตร ตลอดทั้งคืนเป็นความว่างเปล่า จากนั้น ด้วยความเชื่อฟัง เขาหย่อนอวนลงอีกครั้ง และเขาไม่สามารถนับจำนวนปลาได้ จงเชื่อเถิดว่า มีอัศจรรย์เกิดขึ้นทุกวันในชีวิตของเรา"
--St Josemaria Escriva
"ฉันมักจะคิดว่า ฉันไม่รู้ว่าจะทำตามกฎพระวินัยได้นานเท่าไร (แต่) พระเจ้าบอกฉันว่า: '. ลูกสาวความเชื่อฟังจะสร้างความเข้มแข็งให้"
--St เทเรซาแห่งอาวีลา
"ในแต่ละโอกาส ข้าพเจ้ากล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้พระประสงค์จงสำเร็จไป ไม่ใช่สิ่งนี้ หรือ สิ่งนั้นที่คนหนึ่งต้องการ แต่ในสิ่งที่พระองค์ทรงพอพระทัย” นี่คือความเข้มแข็งของข้าพเจ้า นี่คือศิลาที่แข็งแกร่งที่ส่งเสริมและให้กำลังใจข้าพเจ้า
--St จอห์น Chrysostom
"ปีศาจไม่กลัวความเข้มงวด แต่กลัวความนบนอบเชื่อฟังที่ศักดิ์สิทธิ์."
- นักบุญฟรังซิส เดอ ซาล
ไม่มีใครคนอื่นได้ นอกจากเขาจะได้เรียนรู้ว่าต้องนบนอบอย่างไร?
--Imitation ของพระเยซูคริสต์
ลูกสาวของฉัน จงรู้ว่า สิ่งที่ทำให้เราได้รับสิริรุ่งโรจนั้นมาจากการที่ลูกนบนอบเชื่อฟัง ไม่ใช่มาจากการสวดภาวนาทีเป็นเวลาที่ยาวนาน
--St Faustina พระเจ้าเมตตาในจิตวิญญาณของฉัน
อย่าเข้าไปในความท้อแท้/ความหมดหวัง หากคุณกำลังท้อแท้หรือหมดหวังแสดงเห็นว่า คุณหยิ่งจองหอง เพราะคุณไว้ใจในความสามารถของตนเอง จงนบนอบต่อความจริง นอบนอบด้วยความถ่อมตน ใจของคุณจะสงบ
- พระแม่เทเรซาแห่งกัลกาต้า
"การเชื่อฟังเป็นภาพแสดงของความสมบูรณ์แบบ ใครที่ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้การเชื่อฟังคำสั่ง ถ้าพวกเขาอยากที่จะก้าวหน้าในรูปแบบของพระเจ้า เขาจะต้องสละน้ำใจของตัวเองเสมอ และมอบทุกอย่างไว้ในมือของผู้ดูแลเขา
และถ้าใครที่ไม่ได้ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้การเชื่อฟังคำสั่ง ก็เท่ากับว่า เขาปิดตัวเองที่จะมุ่งไปสู่ความครบครัน กับดักของปีศาจก็คือ การยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง เขาจะไม่มีความปลอดภัยในชีวิต

 --Saint ฟิลิปเนรี

0 ความคิดเห็น: