BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

บทเทศน์เตรียมโปสตูลันต์ ท่าแร่





วันที่ 25 พฤษภาคม 2015

การรู้จักตนเอง
บทนำ
ความหมายของการเข้าเงียบ
-          นักบุญอิกญาซีโอ กล่าวว่า “การเข้าเงียบ คือ การเตรียมใจให้สงบ  รอคอยพระเจ้า ที่จะผ่านมาหา พอพระองค์เคาะประตู เราจะได้เปิดรับพระองค์ได้ทันที  ต่อจากนั้นเราและพระองค์จะได้อยู่ด้วยกันเป็นการส่วนตัว
-          นักบุญออกัสติน กล่าวว่า “โอกาสเข้าเงียบเป็นโอกาสพิเศษ เป็นโอกาสประเสริฐ ที่จะได้พบกับพระเจ้าตัวต่อตัว อย่างโมเสสบนภูเขา”
-          สำหรับคุณพ่อ คิดว่า “การเข้าเงียบเป็นช่วงเวลาที่เราหยุด และหันมามองตัวเอง ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ในความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ ในความสัมพันธ์กับธรรมชาติ  เพราะบ่อย ๆ ครั้งเราทำหลายต่อหลายสิ่ง จนลืมที่จะหยุดคิด หยุดทำ หยุดมอง  หากเราไม่มีเวลาหยุด เราก็จะเป็นเหมือนกับเครื่องจักร ที่ทำไปตามความเคยชิน เป็นกิจวัตรประจำวัน เป็นเหมือนหุ่นยนต์ 
o   เวลาเราสวดภาวนา เรารู้ไหมว่า ปากของเราขยับ ลิ้นของเราเคลื่อนไหว เสียงของเราออกจากลำคอ
o   เวลาเราเดินสวนทางกับเพื่อน เราเห็นรอยยิ้ม เราเห็นความทุกข์ เราเห็นความสุข เราเห็นเหนื่อยไหม
o   เวลาที่เราก้าวขึ้นบันได เราเคยนับไหมว่า บันไดมีกี่ขั้น
o   เวลาเราดื่มน้ำ เรารู้สึกไหมว่า น้ำไหลผ่านลำคอของเรา
o   เวลาเรามองดู เราเห็นสิ่งที่อยู่ข้าง ๆ สายตาเราบ้างไหม
-          ดังนั้น เราจึงต้องหยุด นิ่ง สงบ ทั้งกาย และจิตใจ มองดูความสัมพันธ์กับพระเจ้า กับเพื่อน ๆ และกับธรรมชาติ
o   กับพระเจ้า ผ่านทางการภาวนา การอ่านพระคัมภีร์ การรำพึงพระวาจา Lectio divina
o   กับเพื่อน ผ่านทางรอยยิ้ม เคียงข้าง
o   กับธรรมชาติ ผ่านทางการรดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน กำจัดวัชพืช
-          นิ่ง ใจ ขยับกาย เพื่อมองดูใจ และความคิด
-          นิ่งใจ นิ่งกาย เพื่อจะได้พบปะกับพระเจ้า

เนื้อหา
ก่อนที่เราจะเป็นอะไร? สิ่งสำคัญก็คือ การรู้จักตัวเอง ไม่ว่าเราจะเป็นพระสงฆ์ เป็นนักบวช เป็นมิสชันนารี เป็นฆราวาสแพร่ธรรม พื้นฐานที่สุดก็คือ การรู้ว่า เราเป็นใคร เราเป็นอะไร ยิ่งรู้จักตัวเองมาก ยิ่งทำให้เราจะเป็นสิ่งใดนั้นยิ่งมีความหมายและมีคุณค่า เราจะเป็นผู้ถวายตัวใช่ไหม? เวลานี้เราเป็นอะไร เราเป็นใคร? ต้องรู้จักตัวเอง

คุณพ่อเป็นใคร? (ผู้เทศน์)
ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวเองก่อน คุณพ่อชื่อ คุณพ่อวิโรจน์ โพธิ์สว่าง (พ่อหน่อง) เกิดที่บ้านนามน จ.นครพนม บวชเมื่อปี 2005 โดยพระคุณเจ้ายอด พิมพิสาร พร้อมกับคุณพ่อชัยวิชิต  บรรเทา จากนั้นก็เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสที่อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ท่าแร่ 1 ปี 6 เดือน จากนั้นปี 2007 ก็ได้ไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดนาคำ กับ นาทัน เป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน  ปี 2009 เดินทางไปเรียนต่อที่กรุงโรม อิตาลี วิชา เทววิทยาการแต่งงานและครอบครัว เป็นเวลา 2 ปี และในปี 2011 ก็กลับมาประจำที่บ้านเณรฟาติมา ท่าแร่ ในฐานะรองอธิการ 2 ปี และก็ได้เป็นอธิการ ปีนี้ก็เป็นปีที่ 3 แล้ว
เป็นคนแบบนี้ ส่วนหนึ่ง นิสัยใจคอ เป็นคนซื่อๆ (บื่อๆ)  เรียบ ๆ ง่าย ๆ จริงจัง ตรงไปตรงมา พูดขวานผ่าซาก จริงใจต่อสิ่งที่เป็น และรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำ เป็นต้น

ฉันเป็นใคร
การที่เราจะเป็นอะไรในอนาคต สิ่งสำคัญเราต้องรู้ว่า เราเป็นใคร? เป้าหมายของหนูคือ การเป็นซิสเตอร์ ถวายตนแด่พระเจ้า เป้าหมายของหนูคือ การเป็นผู้รับใช้พระเจ้า เป้าหมายของหนูคือ ผู้รับใช้ทุกคน   การเป็นอยู่ในปัจจุบันกับเป้าหมายจะต้องสอดคล้องกัน เช่นเดียวกับเม็ดมะม่วง  ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน มันก็ต้องเป็นต้นมะม่วง และออกผลเป็นมะม่วง เมื่อเรามองมะม่วงในมือของเรา เราก็เห็นต้นมะม่วงว่ามีลักษณะอย่างไร?  เราก็เห็นว่าเมื่อออกดอก ออกผลมันก็จะเป็นแบบนี้ที่อยู่ในมือของเรา
ดังนั้น ปัจจุบัน กับ อนาคตจะต้องสอดคล้องกัน ชีวิตของเราในปัจจุบัน กับชีวิตที่เราจะเป็นในอนาคตจะต้องสอดคล้องกัน หนูจะเป็นซิสเตอร์ แต่หนูก็ดำเนินชีวิตตามใจของหนู อยากกินอะไรก็กิน อยากนอนตอนไหนก็ทำ อยากคุยกับใครก็คุย เป็นต้น ชีวิตที่ถูกต้องก็คือ ชีวิตหนูเตรียมตัว ฝึกฝน และบังคับใจ ดำเนินชีวิตเป็นเสมือนการเป็นซิสเตอร์ในเวลานี้

บุคคลในพระคัมภีร์
1.      โมเสส  
a.      ต่อหน้าพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟ และเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า โมเสสยกมือขึ้นปิดหน้า ไม่กล้ามองดูพระเจ้า (อพย 3:6) เมื่อโมเสสเห็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์
b.      เมื่อพระจ้ามอบภารกิจให้ว่าจะส่งโมเสสไปหากษัตริย์ฟาโรห์ โมเสสทูลพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้ใดที่จะไปเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์ และนำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์” (อพย 3:11)
c.       โมเสสทูลตอบว่า “ชาวอิสราเอลไม่เชื่อข้าพเจ้า จะไม่ฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า” (อพย 4:1) พระเจ้าแสดงการอัศจรรย์ให้เห็น และโมเสสจะทำได้เช่นเดียวกัน
d.      “ข้าพเจ้าพูดไม่คล่องทั้งในอดีตและตั้งแต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์แล้ว ข้าพเจ้าก็ยังพูดไม่คล่อง ทั้งพูดช้าและตะกุตะกัก” (อพย 4:10)  พระเจ้าก็บอกว่า เราจะให้คนไปช่วย คือ อาโรน
e.      “ขอทรงอภัยข้าพเจ้าด้วยเถิด พระเจ้าข้า โปรดส่งผู้อื่นไปเถิด” (อพย 4:13) พระเจ้าโมโห เอาไม้เท้านี่ไป เพื่อใช้ทำเครื่องหมายอัศจรรย์
สรุป  โมเสสรู้ว่าตัวเอง เป็นคนธรรมดา ต่ำต้อย ไม่มีความสามารถอะไร เช่น พูดก็ไม่ค่อยจะเก่ง พูดไม่คล่อง (3 ครั้ง อพย 4:10,6:12,30) ทำอะไรก็ไม่ค่อยจะได้ มองดูตัวเองกับงานที่จะได้ทำ สิ่งที่ตัวเองจะเป็นผู้นำแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ (พูดไม่เก่ง แล้วจะให้เป็นผู้นำคนจำนวนมาก หรือต้องพูดกับคนเยอะๆ มันตรงกันข้ามกันจริงๆ) แม้จะมีคนช่วยทั้งพระเจ้า ทั้งพี่ชาย แต่โมเสสก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสม ไม่กล้า เพราะตัวเองก็เป็นแบบนี้ คงเป็นไปไม่ได้

สิ่งสำคัญคือ โมเสสไม่ทิ้งภารกิจ หรือ งานของพระเจ้า แม้ตนเองจะมีจุดอ่อน จุดบกพร่อง และความไม่พร้อมต่าง ๆ มากมาย ตามประสามนุษย์ โมเสสก็ยังคงทำภารกิจของพระเจ้าจนสำเร็จ เป็นเครื่องมือของพระเจ้าอย่างแท้จริง

สำหรับพระเจ้า พระองค์ให้เรารู้จักตัวเอง ไม่ใช่เพื่อให้เกิดความท้อแท้ใจ สิ้นหวัง หรือ เหนื่อยหน่าย หรือปอดแหก ไม่อยากทำงานของพระองค์ พระองค์ให้เรารู้จักตัวเอง เพื่อเราจะรู้ว่า เราต่ำต้อยแค่ไหน เราต้องพึ่งใคร

เรื่องเล่า  ชายหนุ่มอยากเป็นฤษี
วันหนึ่งจึงไปหาอธิการ ขออนุญาต อธิการบอกว่า “อยากสมัครเข้าคณะของเรา ก็ดี กลับไปบ้านเตรียมตัว ปีหน้ามาใหม่นะ” พอครบปี หนุ่มคนนี้กลับมาใหม่ อธิการถามว่า “ตลอด 1 ปี เจ้าได้ทำอะไรบ้าง” ชายหนุ่มตอบว่า “ตลอดปีที่ผ่านมา ผมได้เลี้ยงนกไว้ 2 ตัว” อธิการตกใจ “อะไรนะ เลี้ยงนก.. อะไรจะมาบวช จะมาเลี้ยงนกด้วยหรือ..ไป ๆๆ”  ชายหนุ่ม เดี๋ยวครับคุณพ่อฟังผมก่อน ผมเหนื่อยกับการเลี้ยงนกสองตัวนี้ทั้งวัน นอกจากนก 2 ตัวนี้แล้ว ผมยังเลี้ยงลา 2 ตัว เหนื่อยกับลานี้ไม่ใช่เล่น เพราะบุกเข้าสวนของคนอื่นตลอดเวลา  แล้วยังเลี้ยงงูไว้อีกตัว งูตัวนี้ก็ร้าย เลี้ยงไปโน้นไปนี่ คอยดึงเอาไว้แทบไม่อยู่ และมีม้าอีกตัว ม้าตัวนี้พยศมาก เอาผมลงข้างถนนนับครั้งไม่ได้” พอเล่าจบ อธิการบอกว่า “เลี้ยงแต่สัตว์แบบนี้ เป็นฤษีไม่ได้ อีกหน่อยอารามของฉันก็จะกลายเป็นสวนสัตว์เป็นแน่”  ชายหนุ่มตอบว่า “เปล่าครับ คุณพ่อ ผมจะอธิบายให้ฟัง นก 2 ตัว คือ ตาของผม 2 ลูกไง  ลา 2 ตัว คือ หูทั้งสองข้างของผม งูตัวนั้น ก็คือ ลิ้นของผม  ส่วนม้า ก็คือ ปากของผมเอง ผมเหนื่อยกับสิ่งเหล่านี้ทั้งปีเลย เพราะ ตาชอบดูจัง  หูชอบฟังจัง ลิ้นชอบกินจัง (กินแต่ของดีดี)  อธิการจึงตอบว่า เชิญ..




0 ความคิดเห็น: