บรรยากาศหลังมิสซา
เชิญอร่อยเด้อ...
เขียนโดย don Pietro Virote Phosawang ที่ 04:01 0 ความคิดเห็น
มิสซาคริสตมาส ที่ บ้านเณรฟาติมา
22 ธันวาคม 2013
มีเรื่องเล่าว่า นานมาแล้ว
มีพระมหากษัตริย์ที่ดีและฉลาดพระองค์หนึ่ง ปกครองประเทศเปอร์เซีย
พระองค์ทรงรักประชาชนของพระองค์อย่างมาก พระองค์ทรงต้องการที่จะทราบว่า
พวกเขาดำเนินชีวิตอย่างไร
ทรงต้องการที่จะรู้จักความยากลำบากที่พวกเขาต้องทน บ่อยครั้งพระองค์แต่งกายเป็นธรรมกร หรือคนขอทาน
และเสด็จเข้าไปในบ้านของคนยากจน
และไม่มีใครที่พระองค์เสด็จไปเยี่ยมนั้น จะรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของพวกเขา
เขียนโดย don Pietro Virote Phosawang ที่ 03:52 0 ความคิดเห็น
บทเทศน์
เขียนโดย don Pietro Virote Phosawang ที่ 15:22 0 ความคิดเห็น
วันพฤหัสบดี ที่ 14 พฤศจิกายน 2013
เวลา 09.00 น.
บทเทศน์
ณ ที่เรือนจำแห่งหนึ่งในประเทศบราซิล ซึ่งได้รับการดูแลจากคนที่เป็นคาทอลิก ผู้ตรวจเรือนจำกลาง พบว่า "ในห้องขังของนักโทษที่โหดร้าย ชั่วร้ายที่สุด มันจะต้องมีสิ่งที่น่ากลัว บรรยากาศที่เลวร้าย เพื่อให้เขาได้สำนึก เพื่อใช้โทษบาปผิดของเขาอย่างแน่นอน แต่ปรากฏว่า ในเรือนจำแห่งนี้ คุกที่ขังนักโทษที่ว่าชั่วร้ายที่สุด ปรากฎว่า ในห้องนั้น มีดอกไม้ มีแท่น และเหนือแท่น ก็มี กางเขน และมีป้ายเขียนไว้ว่า
"We are united" กางเขนของพระเยซูเจ้าจะบอกว่า เราเป็นหนึ่งเดียวกันนะ เราอยู่กับเจ้านะ..
การเลียนแบบพระเยซูเจ้า
เพื่อถ่ายทอดความรัก ความเมตตากรุณาของพระองค์
พระเยซูเจ้าทรงรับสภาพมนุษย์ดุจเรา เว้นแต่บาป พระองค์เป็นมนุษย์ เข้าใจมนุษย์ เข้าใจความอ่อนแอ
เข้าใจสภาพของมนุษย์ว่าต้องการความรัก ต้องการความเมตตา และพระองค์ก็ลงมาเพื่อมอบให้มนุษย์
พระเยซูเจ้าเข้ามาในโลก มีเพียงจุดประสงค์เดียวคือ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น อาศัยความรักควาเมตตา
กรุณาอันหาขอบเขตไม่ได้ของพระองค์
พระเยซูเจ้าทรงถ่ายทอดความรักความเมตตาของพระองค์
แม้ในขณะที่เราอยู่ในบาป แม้ในขณะที่เรายังเป็นคนบาป ยังอ่อนแอ
นี่คือ นิมิตใหม่ของความรักความเมตตาของพระเจ้าที่มนุษย์สามารถสัมผัสได้...
พระสฆ์ ต้องเลียนแบบ และ นำความเมตตาของพระเจ้า สำหรับพี่้น้อง
งานอภิบาลของพระสงฆ์ คืออะไร? ก็คือ การถ่ายทอดความรักความเมตตาของพระเจ้าให้กับพี่น้อง
บรรดาสัตบุรุษ เขาไม่ได้ต้องสติปัญญาของเรา แต่เขาต้องการการอยู่เป็นเพื่อนแม้ในเวลา
ที่เขาทำบาปหนัก แม้ในเวลาที่เขาอ่อนแอ
เขาต้องการความรักของพระเจ้า ผ่านทางชีวิตของเรา
ในพันธสัญญาเดิม
เทียบ อพย 32 "จงฆ่าผู้ที่ทำผิด ไม่ว่าใครก็ตาม... แล้วท่านจะเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า.."
เทียบ กดว 25 "ชาวอิสราเอลคนหนึ่งพาหญิงชาวมีเดียนเข้ามาในค่าย ฟิเนหัสใช้หอกฆ่าชายอิสเราเอลและหญิงคนนั้น.. แล้วพระเจ้าตั้งเขาให้เป็นสมณะ..
ในพันธสัญญาใหม่
พระวรสาร พระเยซูเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตาสงสาร
พระเยซูเจ้าต่อสู้กับบาปเสมอ แต่สงสารคนบาป
พระเยซูเจ้ามาเพื่อถ่ายทอดความรักของพระบิดาต่อมนุษย์
คนที่อยู่ห่างไกลจากเรา เราต้องติดตามเขาด้วยพระเมตตาของพระเจ้า
อย่างน้อยก็ทำตัวเป็นมิตรกับเขา
เพชรที่ตกลงไปในโคลน ก็ยังเป็นเพชรเสมอ แม้จะเปื้อนโคลนก็ตาม มนุษย์เป็นบุตรของพระเจ้า
แม้จะทำบาป ผิด ก็ตาม เพชรเปื้อนโคลนเราสามารถล้างออกได้ด้วยน้ำ มนุษย์ทำบาปก็สามารถเช็ด และล้างได้ด้วยความเมตตาของพระเจ้า และพระโลหิตของพระองค์
พระสันตะปาปายอห์น ที่ 23 ตรัสในวันเปิดประชุมสังคายนาวาติกันที่ 2 ว่า "เวลานี้ เจ้าสาวของพระคริสตเจ้า คือ พระศาสนจักร ต้องการ ยาแห่งความรักเมตตากรุณา มากกว่า ยาแห่งความเคร่งครัด"
พระสงฆ์ อ่านพระวรสารทุกวัน พูด เทศน์สอน...ได้อะไร?
สิ่งสำคัญคือ เราต้องเจริญชีวิตด้วย นั่นคือ ดำเนินชีวิตตามพระวรสาร ตามสิ่งที่เราเทศน์สอน ตามสิ่งที่เราพูด เพื่อถ่ายทอดความรักความเมตตาของพระเจ้า
เราเทศน์เรื่องความรักความเมตตา ในชีวิตจริงกลับเป็นคนขี้เหนียว ไม่คบค้าสมาคมกับใคร..แย่นะ
ศีลอภัยบาป
เป็นแหล่งที่มาของพระเมตตากรุณาของพระเจ้า เราเป็นสงฆ์ก็ต้องแสดงออกด้วยถึงความเมตตาของพระเจ้า เราจำเป็นต้องแก้บาปด้วย
คุณพ่อยอห์น มารี เวียร์ เนย์ "พ่อให้คุณทำกิจใช้โทษบาปไม่นาน เพราะส่วนที่เหลือนั้น พ่อทำเอง"
พระสงฆ์ต้องละม้ายคล้ายกับพระเยซูเจ้า
ในเรื่องความรัก ความเมตตากรุณาต่อคนบาป...
เขียนโดย don Pietro Virote Phosawang ที่ 07:36 0 ความคิดเห็น
วันพุธ ที่ 13 พฤศจิกายน 2013
เวลา 15.00 น.
บทเทศน์
เอกลักษณ์ของพระสงฆ์
เรื่องเล่า
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากในเรื่องฟิสิกส์ เขาได้บรรยายตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
มากมาย และเช่นเดียวกัน วันนี้ เขาก็จะไปบรรยายในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ขณะที่เขานั่งอยู่ในรถส่วนตัว
คนขับรถก็พูดว่า "นายรู้ไหมว่า ผมได้ยินเรืองที่นายบรรยายมาตั้ง 30 กว่าครั้งแล้ว ผมจำได้ทุกอย่าง และผมสามารถบรรยายแทนท่านได้ พูดเหมือนอย่างที่ท่านพูดได้" ไอน์สไตน์ ก็ถามว่า "จริงหรือ? ถ้าอย่างนั้น วันนี้ เจ้าบรรยายแทนเราก็แล้วกัน ส่วนเราจะเป็นคนขับรถ"
เมื่อไปถึงมหาวิทยาลัยดังกล่าว คนขับรถที่ทำตัวเป็นไอน์สไตน์ ก็วางท่าท่างเหมือนตัวจริงทุกอย่าง และไอน์สไตน์ ก็เดินก้มหน้า เพราะตัวเองเป็นคนขับรถ
เมื่อเข้ามาในห้องบรรยาย บรรดาคณาจารย์ และนักศึกษาต่างก็จดจ้อง มองเขา ฟังเขาบรรยายถึงกฎฟิสิกส์ต่าง ๆ เขาก็พูดด้วยความมั่นใจ เหมือนกับว่า เขามีความรู้จริง ๆ
พอบรรยายเสร็จ ทุกคนก็ปรบมือให้ และเมื่อถึงเวลาคำถาม อาจารย์คนหนึ่งก็ถามถึงปัญหาด้วยโจทย์เลขที่ยากและร่ายยาวมา คนขับรถที่ทำตนเป็นไอน์สไตน์ ก็บอกว่า "ปัญหานี่ง่ายมาก แม้แต่คนขับรถของผมก็ยังตอบได้เลย" เขาจึงเชิญคนขับรถ ที่เป็นไอน์สไตน์ตัวจริงขึ้นมาตอบคำถามนั้น ทุกคนต่างก็เชื่อว่า เขาเก่งจริง แม้แต่คนขับรถก็ยังทำได้เลย...
คุณพ่อมักซีเลียน ชาวโปแลนด์ ได้เสียสละชีวิตของตนเองเพื่อคนอื่น ในค่ายนาซี เมื่อทหารต้องเลือกคนหนึ่งขึ้นมาเพื่อที่ฆ่า เพราะมีคนสามารถหนีค่ายไปได้ ชายคนนั้นอ้อนวอน เพราะว่าเขามีลูก มีภรรยา
มีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู และเขายังไม่อยากตาย แต่ทหารไม่ฟัง คุณพ่อมักซีเลียนร้องว่า "ผมยินดีตายแทนคนนี้" ทหารถามว่า "ใครพูด มันเป็นใคร" คุณพ่อตอบว่า "ผมเป็นพระสงฆ์คาทอลิก ผมไม่มีภรรยา ไม่มีลูก ไม่มีครอบครัว ผมยินดีตายแทนคนนี้"
ศีลบวชทำให้เรามีความละม้ายคล้ายกับพระคริสตเจ้า เราได้รับมอบอำนาจเหมือนกับพระคริสตเจ้า
เราเป็นสมณราชตระกูลสงฆ์ เราเป็นผู้แทนของพระคริสตเจ้าผู้เป็นศีรษะ
ฉะนั้น ชีวิตสงฆ์ไม่ใช่อาชีพ ไม่ใช่บทบาทสำคัญทางการสังคม การเมือง แต่พระสงฆ์ เป็นผู้ที่แสดง
ตนถึงเอกลักษณ์แห่งการเป็นพระคริสตเจ้า
ในพิธีบวช การเป็นสงฆ์ของเรา มาจากพระบุคคลของพระคริสตเจ้า ไม่ใช่มาจากสิ่งของในโลกนี้
เราเน้นไปที่ พระสงฆ์เป็นใคร? คำตอบก็คือ พระคริสตเจ้า
การที่เรามองว่า เราเป็นใคร?
ทำให้เรามีความชัดเจนในการกระทำ เพราะการกระทำย่อมไหลออกมาจากสิ่งที่ เราเป็น
การเป็น จึงเป็นเอกลักษณ์ของเรา
เราเป็นพระสงฆ์ เราจึงกระทำอย่างที่เราเป็นพระสงฆ์
เราเป็นพระสงฆ์ เราจึงแสดงออกอย่างที่เราเป็นพระสงฆ์
เอกลักษณ์ของเรา ต้องปรากฎออกมา และเราก็ต้องกล้าที่จะยืนยัน เป็นอันดับแรกถึงการเป็นสงฆ์ของเรา เพราะนั่นคือชีวิตของเรา ตัวตนของเรา
เมื่อเราบวชเป็นพระสงฆ์ เราเป็นพระสงฆ์ตลอดชีวิต ไม่ว่าเราจะทำหน้าที่ได้หรือไม่ได้ก็ตาม ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เราเป็นสงฆ์เสมอ แม้จะเจ็บป่วยนอนบนเตียง เราก็เป็นพระสงฆ์
เราจะต้องมองเอกลักษณ์ที่เป็นภายในของชีวิตสงฆ์ นั่นคือ สิ่งที่เราเป็น
ภายในตัวของสงฆ์ มีตราประทับที่ไม่อาจจะลบเลือนได้ ไม่เหมือนกับแสตมป์ ที่สามารถถอนได้
แต่พระสงฆ์มีตราประทับของพระจิตเจ้า นับวันยิ่งซึมซับ และหยั่งรากลึกลงไปในจิตใจ
ในตัวตนของเรา ทำให้เรากลายเป็นพระคริสตเจ้า จนเราไม่สามารถแยกตัวเองออกจากตราประทับนี้ได้
ความละม้ายคล้ายคลึงพระคริสตเจ้า เป็นความละม้ายคล้ายภายใน ในการเป็น ไม่ใช่เหมือนพระเยซูเจ้าเพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอก ผมยาว หนวดยาว.. แต่ต้องเหมือนพระองค์ในความซื่อสัตย์
ความซื่อสัตย์แห่งการเป็นสงฆ์ ซื่อสัตย์ต่อความรักของพระองค์ นี่คือสิ่งที่สำคัญ
เราจงภูมิใจในความเป็นสงฆ์ของเรา
แม้จะมีความอ่อนแอ แต่พระเจ้าก็ใช้เราผู้อ่อนแอนี่แหละทำงานของพระองค์ สิ่งสำคัญคือ การสำนึกเสมอว่า เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า เพื่อจะสามารถเอาชนะความอ่อนแอของเราได้
เราต้องสำนึกว่า เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้า เราจึงไม่กลัวการประจญ ไม่กลัวการทดลอง
ไม่กลัวกลลวงของปีศาจ เพราะเรามีพระคริสตเจ้าอยู่กับเรา
ความซื่อสัตย์ จึงเป็นศักดิ์ศรี และเอกลักษณ์ของพระสงฆ์
เราต้องซื่อสัตย์ต่อพระบุคคลของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นเจ้าบ่าว และต่อพระศาสนจักร ซึ่งเป็นเจ้าสาว
เราซื่อสัตย์ต่อบุคคล ไม่ใช่ต่อสิ่งของสิ่งหนึ่ง และเราต้องสำนึกถึงความรักต่อพระศาสนจักร
ที่เป็นพระวรกายของพระคริสตเจ้า
ที่สำคัญ เราจะต้องคิดถึงพระเยซูเจ้าทุกวัน ทุกวัน และเสมอ
เรื่องเล่า
สามีภรรยาคู่หนึ่งใช้ชีวิตร่วมกันมาพอสมควร แต่ว่า เมื่อแต่งงานกันแล้ว สามีเป็นโรคจิต รักษาไม่หาย และเจ้าหน้าที่บ้านเมืองพยายามจะนำตัวชายคนนี้ไปรักษาที่สถานที่ที่รักษาโรคนี้ แต่ภรรยาไม่ยอม
นางบอกว่า "ฉันรักสามีของฉัน เขาต้องการฉัน และฉันก็ได้สัญญาเมื่อตอนแต่งงานว่า ฉันรักเขา และจะอยู่กับเขาเสมอ" แต่พวกเจ้าหน้าที่บอกว่า "เขาไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว" นางก็ตอบว่า "ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญว่า เขาจะรู้หรือไม่ แต่เขาเป็นสามีของฉัน ความรักของฉันที่มีต่อเขาไม่ได้มีน้อยไปกว่าในวันที่ฉันและเขาแต่งานกันใหม่ ๆ เลย และเขาเป็นสามีของฉันตลอดไป..."
เรากับพระคริสตเจ้าเป็นอย่างไร? เราเป็นพระสงฆ์เสมอนะ..
การภาวนา ทำให้เรามีความชัดเจนในความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา
"ปราศจากเรา ท่านไม่สามารถทำอะไรได้เลย"
"เราต้องติดกับลำต้นเสมอ"
พระสงฆ์ต้องการการภาวนามากกว่าสัตบุรุษ พระสงฆ์ต้องภาวนามากกว่าสัตบุรุษ เพราะความสัมพันธ์ของเรากับพระคริสตเจ้า เหมือนกับกิ่งก้านที่ติดกับลำต้น
เหมือนกับลมหายใจ กับอากาศ ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างที่แยกออกจากกันไม่ได้เลย
พระสงฆ์เป็นนักภาวนา นะ เพราะเราจะรับพระหรรษทาน ของประทานจากพระเจ้าผ่านทางการภาวนา
เพื่อนำสิ่งนี้ไปสู่เพื่อนพี่น้องสัตบุรุษ
พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ตรัสว่า "พ่อไม่เคยที่จะละเลยการถวายมิสซาทุกวัน" "มิสซาเป็นศูนย์กลางสูงสุดของชีวิต ทุกวันของชีวิตของพ่อ"
คนที่ต้องการศีลมหาสนิทมากที่สุด ก็คือ พระสงฆ์
พระสงฆ์แจกศีลมหาสนิท ก็เท่ากับว่า พระสงฆ์แจกตัวเองให้กับสัตบุรุษด้วย
เขียนโดย don Pietro Virote Phosawang ที่ 15:14 0 ความคิดเห็น
วันพุธ ที่ 13 พฤศจิกายน 2013
เวลา 09.00 น.
เขียนโดย don Pietro Virote Phosawang ที่ 08:07 0 ความคิดเห็น
วันที่ 12 พฤศจิกายน 2013
เวลา 15.00 น.
เขียนโดย don Pietro Virote Phosawang ที่ 15:41 0 ความคิดเห็น
วันอังคาร ที่ 12 พฤศจิกายน 2013
เขียนโดย don Pietro Virote Phosawang ที่ 15:04 0 ความคิดเห็น
11 พฤศจิกายน 2013
เวลา 20.00 น.
บทเทศน์
ที่ประเทศอียิปต์ ที่นั่นชาวบ้านมีอาชีพหาปลา คือเป็นชาวประมง
วันหนึ่งพวกเขาก็พากันสร้างหอประภาคารที่สูงที่สุดขึ้น เพื่อช่วยเหลือชาวประมง
ในเวลาที่เกิดพายุ จะได้ช่วยพวกเขาให้พ้นมาถึงฝั่งได้
ปกติแล้วก็จะเป็นหน้าที่ของชายชราคนหนึ่ง แต่ต่อมาเขาก็ได้เสียชีวิตไป ชาวบ้านก็ได้เลือก
ชายหนุ่มคนหนึ่งให้มาทำหน้าที่แทน
หน้าที่ของเขาก็คือ การเติมน้ำมันอยู่เสมอ เพื่อให้หม้อไฟส่องแสงสว่างได้ไกลๆ
ที่นั่นก็มีไหเก็บน้ำมันหลายใบ แต่ละใบก็มีน้ำมันเต็มไปหมด
ชายหนุ่มคนนี้เขาก็ทำงานเหมือนปกติทั่วไป คือ ไม่มีอะไรทำ เพราะไม่มีพายุ
เขาก็ทำตัวสบาย ๆ ฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ
ชาวบ้านแวะมาขอน้ำมันจากเขา เขาก็ให้ไปคนละลิตร สองลิตร เพราะเขาไม่ได้ใช้อยู่แล้ว
ให้ชาวบ้านที่ต้องการดีกว่า
วันหนึ่งมีคนมาบอกว่า พายุกำลังมา ต้องใช้ประภาคารส่องแสงสว่างให้ชาวประมงที่อยู่กลางทะเล
ได้รับรู้ และสามารถเข้ามาฝั่งได้
เขาก็รีบไปตักน้ำมันในไห ปรากฎว่า เจอแต่หยักไย น้ำมันไม่มีแล้ว
ผลที่ตามมาก็คือ ความเสียหลายที่เกิดขึ้น เรือของชาวบ้านได้รับความเสียหายอย่างมาก
คนที่ถูกตำหนิ ก็คือ ชายหนุ่มที่ไม่ทำหน้าที่ของเขาในการเฝ้าประภาคาร
การมาเข้าเงียบ...เป็นการมาอยู่กับพระเยซูเจ้า
บรรดาศิษย์เข้ารายงานถึงสิ่งที่ตนเองได้กระทำ แต่ไม่รู้ว่า พระเยซูเจ้าทรงฟังผลงานของเขาหรือเปล่า?
สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำก็คือ เรียกบรรดาศิษย์เข้ามา บอกว่า มา มา พักผ่อนกับเราเถิด..
พระเยซูเจ้าไม่ต้องการผลงานของเรา แต่พระองค์สนใจ และโฟกัสไปที่คุณภาพชีวิตของเรา
พระองค์สนใจ ชีวิตของเรามากกว่างานของเรา
หลายครั้งในชีวิตสงฆ์ของเรา..เหมือนกับ ชายหนุ่มที่เฝ้าประภาคาร
ชวิตที่เรียยง่าย ชีวิตที่สบาย สบาย ชีวิตที่ไร้ปัญหา
เราก็ละเลย เราก็เมินเฉย เราก็ไม่เตรียมตัวอะไร
แต่เมื่อปัญหามา เราจึงไม่สามารถแก้ไข หรือไม่สามารถต้านทานมันได้
เมื่อมีปัญหา เราก็เลยพ่ายแพ้
เพราะเราเตรียมตัวไม่พร้อมที่จะต่อสู้ หรือเผชิญกับปัญหา
ในเวลาปกติ เราไม่ได้เตรียมตัวให้ดี ให้พร้อม...
การเข้าเงียบ...
เป็นการมาดูชีวิตของเรากับพระเจ้า
คุณพ่อผู้เทศน์ เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้นเอง
สิ่งสำคัญก็คือ เรามาเข้าเงียบกับพระเยซูเจ้า เรามาฟังเสียงของพระองค์
เขียนโดย don Pietro Virote Phosawang ที่ 14:54 0 ความคิดเห็น
เขียนโดย don Pietro Virote Phosawang ที่ 14:55 0 ความคิดเห็น
บทเทศน์
เขียนโดย don Pietro Virote Phosawang ที่ 05:07 0 ความคิดเห็น