BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันพฤหัสบดี 12 ธรรมดาปี B

มธ 7:21-29


21คนที่กล่าวแก่เราว่า พระเจ้าข้า พระเจ้าข้านั้นมิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าสู่สวรรค์ได้  
22ในวันนั้นหลายคนจะกล่าวแก่เราว่า พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประกาศพระวาจาในพระนามของพระองค์ ขับไล่ปีศาจในพระนามของพระองค์ และได้กระทำอัศจรรย์หลายประการในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ’  
23เมื่อนั้น เราจะกล่าวแก่เขาว่า เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้กระทำความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา
24ผู้ใดฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเราและปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนมีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน  25ฝนจะตก น้ำจะไหลเชี่ยว ลมจะพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น บ้านก็ไม่พัง เพราะมีรากฐานอยู่บนหิน  26ผู้ใดที่ฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเรา และไม่ปฏิบัติตามก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาที่สร้างบ้านไว้บนทราย  
27เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว ลมพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น มันก็พังทลายลงและเสียหายมาก
28เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสถ้อยคำเหล่านี้จบแล้ว ประชาชนต่างพิศวงในคำสั่งสอนของพระองค์  29เพราะพระองค์ทรงสอนเขาอย่างผู้มีอำนาจ ไม่ใช่สอนเหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา



บทเทศน์


คำว่า พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า เป็นคำอ้อนวอน เป็นคำเรียกพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนม์ชีพ คำเรียกซึ่งแสดงนัยถึงความเชื่อในการเสด็จมาเพื่อพิพากษามนุษย์ทุกคนของพระองค์ และเป็นการสารภาพความเชื่อในพระคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย
คนหนึ่งกล่าวต่อพระเจ้าว่า พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า แต่จะไม่ได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ เพราะเขาไม่ได้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า
อีกคนหนึ่งที่กล่าวว่า พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า  แต่จะได้เข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์ เพราะเขาได้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดา
คนมีปัญญา/ฉลาด จะสร้างบ้านไว้บนหิน  เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว ลมจะพัดโหมเข้าใส่ บ้านก็ไม่พัง เพราะมีรากฐานที่มั่นคงแข็งแรง นั่นคือ มาจากการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า
คนโง่เขลาสร้างบ้านไว้บนทราย เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว ลมพัดโหมเข้าใส่ บ้านก็จะพังทลายและเสียหายมาก   ไม่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า เพราะว่า มนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองตามลำพัง
นี่คือบุคคล 2 ประเภทที่พระเยซูเจ้าทรงชี้ให้เราเห็นความสำคัญของการภาวนาอ้อนวอน (พูด) และ การปฏิบัติ ตามพระประสงค์/พระวาจาของพระเจ้า ซึ่งจะต้องสอดคล้องกัน ซึ่งจะต้องมาจากแหล่งเดียวกันก็คือ หัวใจของเรา
หากเราอ้อนวอน สวดภาวนาต่อพระเจ้า แต่เราไม่ได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ มันก็เป็นการสวดภาวนาแต่ลมปากเท่านั้น หามีประโยชน์อะไรเลยไม่  เป็นเหมือนกับเสียงนกแก้ว นกกาที่ร้องออกมาตามธรรมชาติเท่านั้นเอง  คนประเภทนี้เมื่อเจอปัญหา เจอพายุ  เจอลมแรง เจอความยากลำบาก ความกังวลใจ ก็ถอยหนี หรือละทิ้งความเชื่อก็มี   เมื่อฝนตก เราก็ไม่อยากจะมาวัดแล้ว  เมื่อแดดร้อน เราก็ไม่อยากจะมาเฝ้าศีลแล้ว  เมื่อเหนื่อยเราก็ไม่อยากจะเข้าวัดแล้ว
พี่น้องที่เคารพรัก ความทุกข์ยาก ความลำบาก ปัญหาอุปสรรค์เป็นเครื่องมือที่จะพิสูจน์ความเชื่ออันแท้จริงของเรา หากเราไม่เผชิญกับสิ่งเหล่านี้ เราจะไม่รู้ว่า เราเชื่อ เรารักพระเจ้ามากแค่ไหน? แม้จะมีปัญหาจนแก้ไม่ได้ หากเรายังสวดภาวนาได้ ก็ย่อมแสดงว่าเราเข้มแข้ง  หากฝนตกหนัก แต่เราก็ยังมาวัดได้ แสดงว่าเรามีความเชื่อที่มั่นคง

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดา คือ 
ผู้ที่ฟังพระวาจาของพระเยซูเจ้าและปฏิบัติตามพระวาจานั้น

จงน้อมรับพระวาจาที่ทรงปลูกฝังไว้ในท่าน พระวาจานั้นสามารถช่วยวิญญาณท่านให้รอดพ้นได้
จงปฏิบัติตามพระวาจา มิใช่แต่ฟังอย่างเดียว ซึ่งเท่ากับหลอกตนเอง
เพราะว่าถ้าผู้ใดฟังพระวาจาแล้วไม่ปฏิบัติตาม ก็เหมือนคนที่มองใบหน้าของตนในกระจกเงา 
เมื่อมองตนเองและจากไปแล้ว ก็ลืมทันทีว่าตนเป็นอย่างไร
ส่วนผู้ที่พิจารณาบัญญัติแห่งอิสรภาพ และยึดมั่นในบัญญัตินั้น มิใช่ฟังแล้วลืมเสีย แต่ฟังแล้วนำไปปฏิบัติตาม ผู้นั้นย่อมประสบความสุขในการปฏิบัตินั้น
ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน  ท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง


0 ความคิดเห็น: